สหพัฒน์ฯฟันธงเศรษฐกิจซึม3ปี
ผลจากค่าบาทแข็ง/ยันข้อมูลขายวันต่อวันชี้ว่ารากหญ้าไม่มีเงิน
โพสต์ทูเดย์ — ประธานสหกรุ๊ป ยันยังไม่เห็นสัญญาณฟื้น จีดีพีปีนี้ไม่ถึง 3%
ชี้บาทแข็งทุบเศรษฐกิจซึมยาว 3 ปีนายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานสหกรุ๊ป กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจหรือจีดีพีของประเทศไทย จะมีการขยายตัวไม่เกิน 3% ในปีนี้ หรือเท่ากับเศรษฐกิจโตแบบติดลบ
ซึ่งหากรัฐบาลปล่อยให้ค่าเงินบาทเทียบกับเหรียญสหรัฐแข็งต่อไปเช่นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศซึมยาวไปอีกไม่น้อยกว่า 3 ปีปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังซื้อระดับรากหญ้า ซึ่งเครือสหพัฒน์ดูตัวเลขยอดขายอยู่ทุกวัน ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังยังมองไม่ออก เพราะการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจนว่าจะมีขึ้นช่วงไหน และที่สำคัญที่สุดคือ ค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป ทำให้ภาคส่งออกมีปัญหา ไม่มีเงินจะไหลไประดับล่างเกิดปรากฏการณ์โจรปล้นแบงก์ ปล้นร้านทองเป็นรายวัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
“สำคัญที่สุดตอนนี้ แบงก์ชาติจะต้องเข้ามาดูเรื่องค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป โดยต้องดูประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่า ค่าเงินเขาเป็นอย่างไร เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไม่ใช่แค่อิงจากเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้ตกเร็วมาก เราต้องดูว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน เพื่อที่จะควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเราให้เหมาะสมได้” นายบุณยสิทธิ์ กล่าวปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือว่าแข็งเกินไป ที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ประมาณ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ การที่ค่าเงินบาทแข็งเกินไป ทำให้วัตถุดิบจากต่างประเทศไหลเข้า แทนที่จะใช้วัตถุดิบจากในประเทศ และเมื่อต้นทุนภาคส่งออกของไทยสูงขึ้น ผู้ซื้อก็หันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่น ซึ่งทำให้ต้นทุนเขาถูกกว่า ทำให้สูญผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งปัญหาตรงนี้รัฐบาลมองไม่ออก
“การที่ออกมาพูดครั้งที่แล้ว รู้สึกรัฐบาลจะไม่แฮปปี้ แต่มุมมองของเรากับรัฐบาลไม่เหมือนกัน เพราะเราดูตัวเลขแบบรายวัน แต่รัฐบาลต้องใช้เวลาในการรวบรวมตัวเลข ซึ่งยอมรับว่าเราอาจจะสะท้อนเร็วเกินไป ทำให้รัฐบาลตั้งหลักไม่ติด แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่ติดดิน ก็ต้องเอาข้อมูลตรงนี้ไปแก้ไข” นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ขณะนี้รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ การเข้าไปแก้ปัญหาราคาสินค้าประเภทข้าว ผลไม้ ที่มีราคาตกต่ำลงอย่างมาก เป็นเหตุผลที่ทำให้รายได้ของคนรากหญ้าไม่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ปัญหาภาคเศรษฐกิจในระดับบนอย่างเดียว ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาในภาพรวมมีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น ระหว่างคนระดับล่างและระดับบน
สำหรับปัญหาภาคส่งออกที่เกิดขึ้น ทำให้สหพัฒน์ต้องปรับตัวอีกครั้งในรอบ 10 ปี โดยสะท้อนผ่านการจัดงานแสดงสินค้าของเครือสหกรุ๊ป ซึ่งเดิมในช่วงวิกฤตปี 2540 ที่เริ่มจัดงานโดยเน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก มีการ ใช้ชื่องานว่า สหกรุ๊ป เอ็กซ์ปอร์ต แต่เมื่อภาคส่งออกมีปัญหา บริษัทต้องหันกลับมาเน้นตลาดในประเทศด้วย จึงใช้ชื่องานปีนี้ว่า สหกรุ๊ป เอ็กซ์ปอร์ต แอนด์ เทรด เอ็กซ์ซิบิชั่น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=175661 
เอาข่าวมาฝากกันครับ
มุมมองของ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานสหกรุ๊ป