หัวข้อ: What Do You Care What Other People Think? เริ่มหัวข้อโดย: p1i3c1h ที่ 25 พฤษภาคม 2009, 21:34:30 อ่านแล้วอยากอ่านหนังสือของเขาอ่ะครับ(What Do You Care What Other People Think?) ใครพอจะเคยเห็นไหมครับว่าเขาขายกันที่ไหน อยากได้มากๆเลยอ่ะครับ :P
อ้างอิงจาก anukpn.spaces.live.com ครับ อ้างถึง ที่บ้าน 23 พฤศจิกายน 2548 ริชาร์ดครับ ถ้าวันนั้นผมไม่ได้หยิบหนังสือชื่อตรงไปตรงมา ว่า What Do You Care What Other People Think? จากร้านหนังสือมือสองบนถนนท่าแพที่เชียงใหม่ขึ้นมาอ่าน ผมก็คงไม่รู้หรอกว่า นี่คือหนังสือของคุณ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้จักคุณนะครับ แต่ครั้งใดก็ตามที่ได้ยินชื่อของคุณ-ริชาร์ด เฟย์นแมน ผมเป็นต้องได้รับรู้เฉพาะเรื่องราวความเป็นอัจฉริยะของคุณ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์-ผู้ได้รับการยกย่องว่ามีอัจฉริยภาพ และบุคลิกน่านิยมยกย่องไม่แพ้ไอน์สไตน์ งานที่สร้างชื่อให้คุณเป็นงานเกี่ยวข้องกับควอนตัมฟิสิกส์ งานว่าด้วยควาร์กและซูเปอร์ฟลูอิดิตี้ รวมถึงการเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน อันเป็นงานที่ทำให้คุณได้รับรางวัลโนเบล จะว่าไป ถึงจะอยู่ฟากตรงข้ามกับไอน์สไตน์ (ทฤษฎีสัมพัทธภาพกับทฤษฎีควอนตัมนั้นคล้ายเป็นขั้วตรงข้ามของสิ่งเดียวกัน) แต่คุณก็ทำงานคล้ายๆไอน์สไตน์เหมือนกันใช่ไหมครับ เพราะหลังเรียนจบจาก MIT คุณก็เข้าร่วมอยู่ในโครงการแมนฮัตตัน โครงการที่พัฒนาและผลิตระเบิดปรมาณู ตอนนั้นเป็นช่วงสงคราม ทุกอย่างจึงยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ ว่ากันว่า ในการทดสอบระเบิดปรมาณูครั้งหนึ่ง คุณเป็นคนเดียวที่มองการระเบิดด้วยตาเปล่า ไม่ได้ใส่แว่นดำ โดยมองผ่านกระจกรถที่มีการกันรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย แต่กระนั้นก็ยังไม่ใคร่มีใครกล้ามองระเบิดปรมาณูด้วยตาเปล่าอยู่ดี นั่นเป็นเรื่องที่แสดงความกล้าหาญของคุณ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันถึงไหวพริบของคุณ เปล่าครับ-ไม่ใช่ไหวพริบในเรื่องทางฟิสิกส์หรือการทดลองใดๆทั้งนั้น ทว่าเป็นไหวพริบในการสังเกตโลกและความเปลี่ยนแปลงของมัน กระทั่งสามารถเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกต้อง ในปี 1978 เมื่อคุณย้ายมาอยู่ที่อัลทาดีนาแล้ว ปรากฏว่าบริเวณบ้านของคุณเกิดไฟไหม้ใหญ่ เป็นไฟไหม้ป่าบนเขาครั้งมโหฬาร แต่โชคดีที่บ้านของคุณไม่เป็นอะไร ปรากฏว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น สิ่งที่คุณทำกลับเป็นการซื้อประกันวินาศภัยจากน้ำท่วม หลายคนสงสัยและไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรคุณถึงทำ อย่างนั้น บางคนมองว่าคุณบ้าเสียด้วยซ้ำ แต่แล้วในปีรุ่งขึ้น ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นในเมืองที่คุณอยู่ หลายคนจึงได้รับรู้เหตุผลของคุณทั้งที่แต่เดิมไม่เคยฟัง-ว่า, เมื่อเกิดไฟไหม้ป่าแล้ว คุณเชื่อว่าต้นไม้ที่ถูกทำลายไปจะไม่ยึดเกาะดินเอาไว้ดังเดิม เมื่อหน้าหนาวมาถึง หิมะจะตกลงทับถม ครั้นเมื่อถึงหน้าร้อน หิมะจะละลาย และคุณเห็นแล้วว่าน่าจะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มขึ้นได้ แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างที่คุณคาดจริงๆ ทั้งยังทำลายบ้านในย่านนั้นไปหลายหลังอีกด้วย บ้านคุณไม่เสียหาย และการคาดการณ์ของคุณก็ได้รับการยอมรับในที่สุด ผมได้ยินแต่เรื่องความเฉลียวฉลาดของคุณ และได้ยินแต่ว่านอกจากฉลาดเฉลียวแล้ว คุณยังมีอารมณ์ขันเหลือเฟืออีกด้วย ทว่าผมกลับไม่เคยรับรู้ถึงแง่มุมอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของคุณเลย ว่ากันว่า ครั้งหนึ่ง คุณเคยเขียนถึงเพื่อนคนหนึ่ง ที่ลูกชายของเธอเอาแต่จะสอนฟิสิกส์ให้เธอ โดยบอกว่าฟิสิกส์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ คุณเขียนไปบอกเพื่อนคนนั้นว่า ไม่ต้องสนใจฟิสิกส์หรอก เพราะฟิสิกส์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ความรักต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อนักฟิสิกส์บอกว่า ฟิสิกส์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ผมคิดว่าเขากำลังพูดความจริง และคุณพูดความจริงข้อนี้ได้ คงเป็นเพราะคุณเติบโตมากับความรักนั่นเอง ที่จริงผมไม่รู้หรอกครับ ว่าคุณเติบโตมากับความรักมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ก็อย่างที่บอก ประวัติของคุณล้วนแล้วแต่เขียนถึงผลงาน เกียรติภูมิ และเรื่องยิ่งใหญ่ที่คุณทำในชีวิต แต่จะมีใครรู้จักตัวคุณดีไปกว่าตัวคุณเองอีกเล่า ผมชอบชื่อหนังสือ What Do You Care What Other People Think? มากเหลือเกิน แรกทีเดียวผมคิดว่ามันเป็นหนังสือที่ไม่ยี่หระกับผู้คน หยิ่งผยอง และพร้อมจะก้าวออกไปจากสังคมงี่เง่าที่ไม่ยอมรับความแตกต่าง แต่ก็อีกนั่นแหละ-ผมคิดผิด แท้แล้วหนังสือชื่อมาดมั่นเล่มนี้ กลับเป็นหนังสือที่พูดถึงความรักอันรายล้อมอยู่รอบตัวคุณ มันเป็นบันทึกความทรงจำที่คุณเขียนขึ้น และตีพิมพ์ออกมาในปีที่คุณจากไป ริชาร์ดครับ ผมจำไม่ได้หรอกว่า ปี 1988 ผมทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่ที่แน่ๆ ปีนั้นผมยังไม่รู้จักคุณ และไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของคุณ ทว่าปี 2005 นอกจากผมจะรู้จักชื่อเสียงของคุณแล้ว ผมยังได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ และรู้จักลึกลงไปถึงมุมเล็กๆในความทรงจำของคุณด้วย พ่อของคุณ, แม่ของคุณ…และอาร์ลีน-คนที่คุณรัก ทุกคนล้วนจากไปล่วงหน้า ก่อนคุณเกิด พ่อของคุณบอกแม่ว่า ถ้าลูกคนนี้เป็นผู้ชาย เขาจะเติบโตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในยุคสมัยนั้น การเป็นนักวิทยาศาสตร์ยังจำกัดอยู่เฉพาะเพศชาย ไม่มีใครคิดว่า ผู้หญิงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ และเมื่อคุณเกิดมา พ่อของคุณก็ได้ ‘สร้าง’ ให้คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่ใช่ด้วยการติวเข้มกวดวิชา…ทว่าด้วยการใช้ชีวิตและมองโลก ผมชอบชีวิตของคุณ แต่เอาเข้าจริงแล้วผมชอบวิธีการของพ่อคุณมากกว่า พ่อของคุณเป็นคนสร้างให้คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยแท้ วิธีการที่พ่อสอนคุณนั้นเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ คุณจะนั่งอยู่บนตักพ่อ อ่านเอนไซโคลปีเดียบริตทานิกาด้วยกัน แล้วพ่อก็จะอ่านให้คุณฟังว่า ความสูงยี่สิบห้าฟุตของไดโนเสาร์นั้นสูงแค่ไหน “…ถ้ามันมายืนอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้านเรา มันก็จะสูงพอจนยื่นหัวเข้ามาในห้องนี้ได้” (เราอยู่บนชั้นสอง) “แต่ยื่นเข้ามาไม่ได้หรอก เพราะหัวของมันใหญ่กว่าหน้าต่าง” มันช่างน่าตื่นเต้นใช่ไหมครับริชาร์ด เมื่อเรายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ แล้วมีใครสักคนบอกเราถึงเรื่องราวของโลกอันน่าตื่นเต้น พลางพยายาม ‘แสดง’ ให้เราเห็น ว่าความน่าตื่นเต้นนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่แค่ไหน พ่อของคุณไม่ได้สอนเฉพาะเรื่องวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทว่ายังสอนวิธีมองโลกให้คุณด้วย ครั้งหนึ่ง เมื่อไปเข้าค่าย พ่อของเด็กๆคนอื่นสอนให้ลูกดูนกว่าเป็นนกชื่ออะไร เด็กคนหนึ่งพูดกับผมว่า “เห็นนกนั่นมั้ย มันนกอะไรน่ะ” ผมบอกว่า “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่านั่นมันนกอะไร” เขาว่า “มันคือนกทรัชคอสีน้ำตาล พ่อของนายคงไม่ได้สอนอะไรนายเลยสินะ” แต่เรื่องกลับตรงกันข้าม เพราะพ่อของคุณได้สอนคุณแล้ว ไม่ได้สอนให้รู้ชื่อของนก-แต่สอนสิ่งอื่น “เห็นนกนั่นไหม” พ่อพูด “มันคือนกสเปนเซอร์วาร์เบลอร์” (ผมรู้ว่าพ่อไม่รู้ชื่อจริงของนกหรอก) “ในภาษาอิตาเลียน มันชื่อชุตโต ลาปิตติดา ภาษาโปรตุเกสเรียกว่า บอมดาเปอิดา ภาษาจีนเรียกว่า ชุงลองทาห์ ส่วนภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คาตาโนะเทเคดะ ลูกเรียนรู้ชื่อของนกในทุกภาษาได้ทั่วโลก แต่เสร็จแล้วลูกก็จะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับนกตัวนั้น ลูกรู้เพียงว่า คนในที่ต่างๆเรียกนกพวกนี้ว่าอะไรเท่านั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า มันกำลังทำอะไรอยู่ นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ” แล้วนับแต่นั้น คุณก็ได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างการ ‘รู้ชื่อ’ ของอะไรบางสิ่ง กับการ ‘รู้จัก’ อะไรบางสิ่งจริงๆ นั่นคือวิธีการที่พ่อสอนคุณ และนั่นอาจเป็นวิธีคิดที่ทำให้คุณได้ ‘รู้จัก’ กับอาร์ลีน และรักเธอมาจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต-ทั้งของเธอและของคุณ อาร์ลีนเป็นสาวสวยประจำเมือง หนุ่มๆจำนวนมากเพียรจีบเธอ และเธอก็มีทางเลือกมากมาย แต่ในที่สุดเธอก็เลือกคุณ เมื่อคุณสอนให้เธอรู้จักกับ ‘สายพานของโมเบียส’ ครูของอาร์ลีนสอนเธอว่า ของทุกอย่างมีสองด้าน แต่ด้วยนิสัยชอบตั้งคำถาม คุณจึงตั้งคำถามแม้แต่กับข้อสรุปของครู และบอกอาร์ลีนว่า โลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สายพานของโมเบียส’ อยู่ด้วย และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้สิ่งที่มีสองด้านเหลือด้านเดียว และสิ่งที่มีด้านเดียวกลายเป็นสองด้าน ผมรู้จักสายพานของโมเบียสครั้งแรกจากนิยาย เรื่อง ‘หลายรักของโดบี้’ ตอนที่โดบี้แกล้งคนที่ต้องทาสีสายพานด้านเดียว เขาตัดสายพานแล้วพลิกปลายหนึ่งของสายพาน จากนั้นก็ต่อสายพานกลับเหมือนเดิม สายพานที่บิดเช่นนี้จะทำให้เราสามารถทาสีสายพานจากด้านเดียว แต่เสร็จแล้วกลายเป็นว่าสายพานเลอะสีทั้งสองด้าน อาร์ลีนนำสายพานของโมเบียสไปโต้แย้งกับครูในชั้นเรียนจนประสบความสำเร็จ แล้วคุณก็คิดว่า สิ่งนั่นทำให้เธอเริ่มสนใจคุณ จะอย่างไรก็ตาม ในที่สุด คุณทั้งสองคนก็กลายเป็นคนรักกัน ชีวิตน่าจะราบรื่น เพราะเธอรักคุณ คุณก็รักเธอ คุณทั้งสองสัญญากันไว้ว่าจะไม่ปิดบังสิ่งใดจากกันและกันเลย พวกคุณจะไม่มีวันโกหกกันและกัน-ไม่มีวัน แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเรื่องที่ทำให้คุณต้องโกหกเธอ เมื่อคุณยังเรียนอยู่ที่ MIT อาร์ ลีนพบว่าต่อมน้ำเหลืองที่คอของเธอโตขึ้น แรกทีเดียวไม่มีใครคิดว่านั่นเป็นโรคร้ายอะไร แต่แล้วเมื่ออาร์ลีนเข้าโรงพยาบาล อาการของเธอก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ต่อมน้ำเหลืองหลายแห่งทั่วร่างกายของเธอบวมขึ้น และไม่มีหมอคนไหนบอกได้ว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ คุณเข้าห้องสมุด และค้นหาอย่างบ้าคลั่งถึงอาการที่อาร์ลีนเป็น คล้ายกับพ่อแม่ในหนังเรื่อง Lorenzo’s Oil อย่างไรอย่างนั้น คุณพบว่า อาร์ลีนอาจเป็นได้ร้อยแปด ตั้งแต่วัณโรคไปจนถึงโรคที่ร้ายกาจกว่าอย่าง ลิมโฟดีนีมา, ลิมโฟดีโนมา หรือโรคฮอดจ์กินส์ ซึ่งทั้งสามชื่อนี้เป็นโรคเดียวกัน แต่ถ้ารักษาไม่หาย จะเรียกว่าลิมโฟดีโนมา ถ้ารอด จะเรียกว่าลิมโฟดีนีมา อะไรอย่างนี้เป็นต้น อาการของอาร์ลีนย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนในที่สุด คุณก็บอกเธอว่า เธออาจเป็นโรคฮอดจ์กินส์ ซึ่งเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ อาร์ลีนจึงถามแพทย์ แล้วแพทย์ (ผู้ไม่ค่อยจะรู้อะไรเลย) ก็บอกว่าน่าจะใช่ และถ้าใช่ เธอก็มีเวลามองโลกอีกเพียงสองสามปีเท่านั้น ริชาร์ดครับ-ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเด็ดเดี่ยวได้ขนาดนั้น คุณตัดสินใจแต่งงานกับเธอ และตัดสินใจละทิ้งอนาคตทั้งหมดไป ด้วยเหตุที่ MIT เป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงระดับท็อปของอเมริกา แต่ MIT มีกฎห้ามคนที่แต่งงานแล้วเข้าเรียน ทว่าคุณก็เลือกแล้ว ระหว่างอาร์ลีนกับ MIT คุณเลือกจะลาออก แล้วแต่งงานกับอาร์ลีน ถ้าในอีกไม่กี่วันถัดมา ผลการตรวจชิ้นเนื้อจะไม่ได้ออกมาบ่งชี้ว่า อาร์ลีนเป็นวัณโรค ไม่ได้เป็นโรคฮอดจ์กินส์ บางทีถึงวันนี้ผมอาจไม่รู้จักคุณ คุณอาจกลายเป็นตาแก่สักคน อาศัยอยู่ในบ้านชานเมืองที่ไหนสักแห่ง คอยคร่ำครวญถึงผู้หญิงคนรักที่จากไปเมื่อนานนมมาแล้ว แต่เพราะหมอขอตัดชิ้นเนื้อที่คอของอาร์ลี นไปพิสูจน์อีกครั้ง ผลจึงออกมาให้คุณดีใจว่า เธอไม่ได้เป็นโรคร้ายอย่างฮอดจ์กินส์ ทว่าเป็นวัณโรค และแม้จะเป็นโรคร้ายแรงของสมัยนั้น แต่ก็ยืดเวลาที่คุณกับเธอจะอยู่ด้วยกันไปได้อีกนานพอสมควร อาจไม่ใช่หลายสิบปี ทว่าก็เพียงพอจะทำให้คุณกลับไปเรียนต่อให้จบ ก่อนที่จะกลับมาแต่งงานกับเธอ ด้วยเหตุนี้ ต่อมา โลกจึงได้รู้จักคุณ ริชาร์ดครับ ฉากสุดท้ายของอาร์ลีนนั้นแสนเศร้า แต่เมื่อเล่าให้พวกเราฟัง คุณก็ยังไม่ลืมแทรกอารมณ์ขันเหมือนหนังตลกลงไปด้วย เพราะคุณต้องขับรถจากที่ทำงานในลอสอลามอสไปอัลบูร์เคอร์กี้ ที่ซึ่งอาร์ลีนอยู่ แต่รถเก่าๆในสมัยสงครามก็ช่างกระไร มันทำคุณยางแบนถึงสามครั้ง ในภาวะเร่งรีบเพื่อไปดูใจคนรักอย่างนั้น คุณคงร้อนใจนัก แต่ก็อีกนั่นแหละ มนุษย์จะทำอย่างไรได้กับโชคชะตา นอกจากหัวเราะใส่มัน อีกนานต่อมา ในปี 1988 เมื่อถึงตาของคุณบ้าง มะเร็งและอาการแทรกซ้อนต่างๆทำให้คุณไม่ยอมให้หมอรักษาคุณต่อ แล้วคุณก็พูดกับโลกนี้เป็นประโยคสุดท้ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ว่า ผมไม่อยากตายสองครั้ง มันน่าเบื่อชะมัด ผมเขียนถึงคุณเพราะอยากบอกคุณว่า แม้ใครจะบอกว่าคุณเป็นเสือผู้หญิง เป็นหนึ่งในฆาตกรผู้พัฒนาระเบิดปรมาณูที่ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ แต่ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เคยรู้มาแล้วจากชีวิตของคุณอีกครั้ง นั่นก็คือเรียนรู้ว่าความรักสำคัญอย่างไรไงครับ เพราะอย่างน้อยมันก็จะอยู่กับเราไปจนวันตาย เหมือนที่คุณเขียนถึงอาร์ลีน แม้ในหนังสือเล่มสุดท้ายของชีวิตนั่นแหละ จากผม ผู้หลงลืมที่จะรักและไร้อัจฉริยภาพ |