ThaiSEOBoard.com

อื่นๆ => Cafe => ข้อความที่เริ่มโดย: alex2007 ที่ 17 เมษายน 2013, 14:38:44



หัวข้อ: สูตร 3+1 (mind attitude) เพื่อชีวิตที่ปลอดทุกข์
เริ่มหัวข้อโดย: alex2007 ที่ 17 เมษายน 2013, 14:38:44
เป็นบทความของผมเองครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างกับเพื่อนสมาชิก


จากที่ได้ศึกษา วิเคราะห์ และลองปฏิบัติดู ได้ข้อสรุปคำสอนในพระพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัติ* (ทางใจ or mind attitude) ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้…

(*เป็นบทสรุปจากมรรค 8 คือส่วนของ สมาธิและปัญญา โดยยกเรื่องศีลเอาไว้ก่อน)
สูตร 3

1) รู้ตัว …เพียงแค่รู้พอ  (มีสติ)  be mindful

เพียงแค่รู้ตัว  คือให้เรามีสติอยู่กันตัวได้ให้มากที่สุด… สังเกตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เคลื่อนไหวอย่างไร อารมณ์เป็นอย่างไร  รับรู้แต่ไม่รู้สึก ในทางปฏิบัติคือหลักปฏิปัฐาน 4 นั่นเอง  และวิธีที่นิยมกันคือ ให้ใจอยู่กับลมหายใจ  ให้สังเกตเข้าอย่างไร ออกอย่างไร ถี่อย่างไร ห่างอย่างไร ยาวอย่างไร สั้นอย่างไร อยู่กับปัจจุบันของจิตให้มากที่สุด …ไม่ต้องทำอะไรให้มากไปกว่าการเฝ้าดู เพียงแค่รู้… มีหนังสือจากพระและโยมนักปฏิบัติมากมายที่แนะนำเรื่องนี้  เมื่อใจหยุดอยู่กับกายมากเท่าไร่ ใจก็จะค่อยๆ สงบ  ระดับสมาธิก็ค่อยๆ พัฒนาไปเองโดยธรรมชาติ ตามลำดับ จนกว่าจะถึงจุดที่พ้นทุกข์ได้อย่างถาวร…

2) ยอมรับความจริง  accept the truth

การอยู่แบบยอมรับความจริง และอยู่กับความจริงด้วยใจที่เป็นปกติ เป็นคติในการดำเนินชีวิตที่สำคัญ แม้เป็นเรื่องยาก แต่ผลที่ได้นั้นมีมากมาย ทำให้คลายทุกข์ได้มาก

“สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตมนุษย์คือ… การยอมรับความจริงและอยู่กับความจริงนั้น…ด้วยใจที่เป็นปกติ”

“สิ่งที่ง่ายที่สุดในชีวิตมนุษย์…ไม่มี”

3) ลดความยึดมั่นในตัวตน  try to be selfless

ระดับการยึดมั่นในตัวตนเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ที่จะทุกข์หรือไม่ทุกข์  ยึดมั่นมากก็ทุกข์มาก ยึดมั่นน้อยก็ทุกข์น้อย  อธิบายคือเมื่อมี Object มากระทบ (ผัสสะ) กับ subject  ตัวตนคือ subject นี้และ เมื่อไม่มีตัวรับกับสิ่งที่มากระทบ ประโยคหรือกระบวนการ ก็ไม่สมบูรณ์ ผลก็คือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดังที่พุทธพจน์ที่ว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เป็นต้น  รับรู้แต่ไม่รู้สึก  การลดการยึดมั่นในตัวตนนั่นเกี่ยวข้องกับหลักไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา โดยตรง ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป

ยกตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างประโยค I want furby  ถ้า I เหลือศูนย์  I(0%) want furby »» I  want furby ประโยคก็ไม่สมบูรณ์ ไม่มีตัว Subject ผลก็ไม่มี คือเป็นศูนย์ ความดิ้นรนทางจิต(ตัญหา)ก็เป็นศูนย์  ทุกข์ก็เป็นศูนย์

ในลักษณะเดียวกัน ถ้า I เหลือเพียงครึ่งเดียว I(50%) want furby »» I/2  want furby  ประโยคก็ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน ผลก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียว  ความดิ้นรนทางจิต(ตัญหา)ก็เหลือครึ่งเดียว  ทุกข์ก็เหลือเพียงครึ่งเดียว

สามข้อด้านบนนี้หากนำมาปฏิบัติประกอบกันก็เพียงพอแล้วที่จะให้มนุษย์คนหนึ่งพ้นทุกข์ได้ หากอยู่ในภาวะที่พร้อมที่จะทำและยินดีที่จะทำ  และเป็นการทำเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าเป็น passive mode…act for oneself.  ทำได้ทันที ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร

ซึ่งในบริบทของปัจเฉกชน ถือว่าเพียงพอแล้ว …ไม่จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนมากกว่านี้ หรือเรียกได้ว่า เพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ และนี้แหละคือความหมายของชีวิตที่พอเพียงจริงๆ  ใครจะทำอาชีพอะไรก็ใช้หลักนี้ได้  และหากเราสังเกตดีๆ หนังสือที่ขายดีทั่วโลกเกี่ยวกับการพัฒนาจิต ทุกๆเล่มก็จะพูดเกี่ยวข้องวนๆอยู่กับสามเรื่องนี้แหละ…

แล้วความสุขล่ะ?  ต้องทำความเข้าใจว่า ในความจริงแล้ว เราไม่สามารถสร้างความสุขขึ้นมาเองได้เลย… สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงการทำให้ความทุกข์ลดลงเท่านั้นเอง… เพราะว่าความสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อระดับความทุกข์เหลือศูนย์ แล้วจังหวะนั้นแหละความสุขจริงๆ ก็จะค่อยๆแตกหน่อออกมาทีละนิด  ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ การฝึกสติให้ตั้งมั่นดังข้อ (1) แล้วความความสงบทางใจจะเกิดขึ้น แล้วความสุขก็จะตามมาเอง

กล่าวอีกนัยคือ ความสงบของใจเราก็สร้างขึ้นมาไม่ได้เช่นเดียวกัน …ก็ต่อเมื่อสติตั้งมั่นแล้ว ความสงบของใจก็จะเกิดขึ้นมาเอง

เพราะว่าการพยายามสร้างความสงบและความสุขทางใจ จะเป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) คือเป็นการดิ้นรนทางจิตนั่นเองอีก (ตัณหา)

ฉบับเต็ม
http://satinow.wordpress.com/2013/04/11/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-31-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9/

 :wanwan012: