ThaiSEOBoard.com

พอดีว่ามีคนติดต่อขอซื้อสินค้าในปริมาณเยอะ แล้วเค้าบอกให้ทำใบเสนอสินค้าไป
เพราะเดี๋ยวจะเอาไปเสนอผู้ใหญ่ในบริษัท ทีนี้เราสงสัยเรื่องกระบวนการค่ะ
ว่าอย่างถ้าเราทำใบเสนอไปแล้ว ตกลงซื้อขายกันแล้ว
ส่วนมากเวลาเราเก็บเงินนี่จะแบ่งเป็นสองรอบหรือว่าจ่ายรวดเดียวเลยค่ะ
เพราะสินค้าชิ้นนี้ต้องสั่งเข้ามาค่ะ เรื่องภาษีนี่เราต้องทำเรื่องเสียด้วยไหมค่ะ
เพราะเราต้องมียอดเข้าแน่ๆ คือขึ้นต่ำที่ต้องยื่นเสียภาษีตามกฏหมาย
แต่ในทางกลับกันกำไรที่เราได้มันแค่อาจจะไม่ถึง1ใน4ราคาสินค้าทั้งหมด
แล้วการขายแบบเสนอใบPOนี่มันยุ่งยากมากน้อยแค่ไหนค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ^^

1.ทำใบเสนอราคา
2.เงินแล้วแต่เราตกลงกับเค้า เช่น จ่ายเมื่อส่งสินค้า , เครดิต 3 วัน 7 วัน , เป็นเดือน ส่วนมาก ซื้อขายกันครั้งแรก ก็จ่ายเมื่อส่งสินค้าเลย จะได้ไม่ต้องกลัวโดนโกง ต่อไปก็ขยายเครดิต ซึ่งก็ต้องมีเอกสารจดทะเบียนบริษัทของเค้า มาประกอบการพิจารณาว่าเราจะให้เครดิตเค้าได้ไหม น่าเชื่อถือไหม หลอกลวงหรือเปล่า เพราะมีบางกรณี บอกเป็นบริษัท แต่จริงๆ เป็นสิบแปดมงกุฏ ก็มี แต่ไม่ได้พูดให้กลัวไปเกินเหตุนะครับ ทำธุรกิจ ใจๆ นิดก็รุ่ง แต่ใจมาก ก็มีสิทธิ์โดนโกงครับ
3.สินค้าสั่งเข้ามา ควรมีมัดจำครับ ไม่ง้้นเราสั่งมาแล้ว cancel ของเรา ยุ่งครับ
4.ภาษี อันนี้หมายถึงภาษีจากรายได้ใช่ไหมครับ ถ้าภาษีนำเข้า เราก็คงบวกในค่าของอยู่แล้ว ส่วนภาษีเงินได้ อันนี้ต้องพูดเรื่อง คุณจดเป็นบริษัทไหม ถ้าจดก็ต้องชาร์ท Vat เค้าอยู่แล้ว แล้วก็เอา Vat ส่งสรรพากร ส่วนกลางปี สิ้นปี ก็เสียกันตามเกณฑ์รายได้ กำไร ขาดทุน (ผิดพลาดประการใด ผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำอีกทีครับ ผมเองก็ outsource บริษัทบัญชี)
5.เสนอราคา Quotation พอเค้าโอเค ก็จะให้เราทำ Purchase Order (PO) พอเค้าเซ็นกลับมา ก็คือ ตกลงสั่งซื้อเป็นลายลักษณ์อักษรนั่นเอง ไม่มีอะไรยุ่งยากครับ ใจเย็นๆ

ทั้งหมดทั้งมวล ก็คือการทำธุรกิจแบบธรรมดาครับ อย่าไปกังวล สิ่งควรกังวลคือ
1.ทำแล้วชัวร์นะ ว่าเค้าไม่ได้มาหลอก ตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีตัวตน บริษัทจริงๆ
2.ทำแล้วกำไรนะ ไม่ใช่เข้าเนื้อทีหลัง เพราะไม่รอบคอบเรื่อง ต้นทุน
3.ทำเอกสารให้ถูกต้อง ลงตัวเงิน การชำระเงิน เป็นสด เช็ค หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะพวกเช็ค บางบริษัท มีรอบการจ่ายเช็ค แล้วก็มีเครดิตเทอม ของเช็คอีก บางทียืดกันยาวนานมาก พูดคุยรายละเอียดกับผู้ซื้อ หรือติดต่อฝ่ายบัญชีบริษัทที่เค้าจะสั่งซื้อ (เมื่อเค้าตกลงจะซื้อนะครับ ไม่ใช่ไปถามๆ เค้าก่อน ตอนเค้าตัดสินใจ เดี๋ยวเค้าหาว่าวุ่นวาย)

อืม ก็น่าจะเกือบครบแล้วครับ สงสัยอะไรเพิ่มเติมตอบได้ก็จะตอบให้ครับ หรือว่าเดี๋ยวเพื่อนๆ ท่านอื่นก็จะมาช่วยเสริมอีกครั้งครับ

+1 ขอบคุณมากๆค่ะ
เรากะว่าจะเก็บ70แล้วพอของมาก็ค่อย30มาอีกที
เพราะเราไม่มีเงินทุนอ่ะค่ะ พึ่งเริ่มมาได้ไม่กี่เดือนเอง
ไม่รู้เค้าจะยอมป่าวนี่ซิ
ภาษีเงินเข้านี่เดี๋ยวทางชิปปิ้งเราอีกทีน่าจะจัดการให้ป่าวไม่แน่ใจ
เพราะไม่เห็นเค้าพูดถึงเลยตอนเราโทรสอบถาม
ร้านเราเป็นเว็บเล็กๆค่ะไม่ได้เป็นบริษัทแต่อย่างใด

ของผมๆจะ เก็บ 50% พอได้รับเงินแล้วผมจะออกบิลเงินสดชำระเงินค่ามัดจำให้ (เรื่องเงินมัดจำอาจจะขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของเว็บขายของด้วยนะครับ)
ส่วนเรื่อง VAT อันนี้ตอบไม่ได้ครับ เพราะผมทำในนามบุคคล

***อย่าสั่งของก่อนไดรับเงินค่ามัดจจำนะครับ เดี่ยวจะเจ็บตัว ส่วนตัวผมไม่หวังน้ำบ่อหน้าเลย ถ้าเงินมัดจำไม่โอน ผมไม่สั่งของเด็ดขาด สำคัฐมาก ถ้ายังไม่มีทุน***

+1ค่ะ เราก็กะว่าต้องได้มัดจำก่อนถ้าให้ออกไปก่อนนี่เราก็ต้องทิ้งออเดอร์งานนี้ไปเพราะไม่มีกะตัง ถึงมีก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงแน่ๆ

ดีครับ มันจะเป็นดินพอกหางหมูเปล่าๆ สู้ๆครับ  :wanwan003:

ตอบได้โปร์เข้าใจเลยคับ

ทำใบP/o เขียน ชื่อที่อยู่ เลขบัตรประจำตัวประชาชน เซ็นชื่อรับเงิน พร้อมสำเนาจบครับ ไม่ต้องใส่vatครับสำหรับบุคคลธรรมดา ถ้างานจ้างทำก็+3%  ส่วนเรื่องเก็บเงินก็แล้วแต่เครสๆไปครับ เอาที่เราสบายใจที่สุด และปลอดภัยที่สุดครับ

ความรู้ดีๆ ไม่ต้องหาไกล

ขอบคุณครับ

เรื่องอื่น เขาตอบกันไปหมดแล้ว
ขอแทรกเรื่องภาษีครับ

vat ถ้าลูกค้าไม่เรียกหา ก็ไม่ต้องออก แต่ถ้ายอดรวมเกิน 1.8 ล้านก็ควรยื่นจดให้เรียบร้อยน่ะ เดี๋ยวจะโดนย้อนหลังเอา

ส่วนภาษี เราก็เสีย ภาษีรายได้ปกติ เก็บบิลค่าใช้จ่ายให้ครบ ไว้กันโดนตรวจสอบต้นทุน กำไร ขอรับ

+1 ให้ทุกคนเลยจ้า (ไม่รู้จะขึ้นป่าว อยู่มาตั้งนานกด+ไม่ค่อยจะเป็นกดมั่วตลอด) :P
ตอนนี้เราลองดูของในalibabaอยู่ค่ะ พรุ่งนี้ว่าจะให้ชิปปิ้งตรวจสอบความน่าเชื่อถือให้อีกทีนึง
เพราะในtaobaoของมีไม่ถึง บอกตรงๆกลัวจริงๆกะalibabaเนี่ย :wanwan035:

เหมือนคนข้างบนว่าไว้ ต่างตรงที่ผมให้ลูกค้าทำ PO แล้วส่งมาให้ผมเซ็น อิอิ

ต้องถามก่อนว่าจด vat ป่าว แล้วก็ถามลูกค้าว่าจะเอา vat ด้วยมั้ย

ขาย บริษัท ระวังเรื่องการ นำเข้าด้วย  จะมีปัญหาเรื่องภาษี  หากมาทางรถด่วน หรือเรือ  เพราะชิปปิ้งส่วนใหญ่จะเดินเรื่องภาษี ให้น้ำหนักต้องเยอะมาก ๆ ถ้าน้อย ๆ เขาไม่ทำเรื่องให้หรอก (เวลาบอกเราก็บอกว่าไม่ต้องกลัวเรื่องภาษี จัดการให้เรัยบร้อย แต่ในความเป็นจริง ๆ เป็นแบบเทา ๆ ทั้งหมด) ถ้าถูกต้อง จริง ๆ ต้องมีเอกสารการเสียภาษีศุลกากรให้เรา มีใบเสร็จการเสียเป็นชื่อทางเรา มีการเสีย vat 7% ของราคาการนำเข้า ถ้าเห็นไม่เสีย vat 7% ในการนำเข้า แสดงว่า เทาชัวร์  และถ้าต้องการยกเว้นภาษียังต้องเดินเรื่อง form e อีก อันนี้ที่พูดถึงคือกรณีเราเป็นนิติบุคคล

ถ้าเราเป็นบุคคลธรรมดา อันนี้ ก็แค่ไปเสียภาษีรายได้ให้ครบให้เรียบร้อยตอนยื่นแบบ  แต่จะโดนสาวไปถึงว่านำเข้าถูกต้องหรือไม่อันนี้พูดยาก ถ้าเขาสาวไปถึงตรวจว่านำเข้าแล้วทำไมไม่เสีย vat อันนี้ก็โทษหนักเอาเรื่องเลย  ของมูลค่าไม่ได้มากมาย นัก แล้ว เราหาทางนำเข้าถูกต้องไม่ได้ (ต้องเสีย vat ในตอนนำเข้า) ก็ถือว่าเสี่ยงแล้วไม่คุ้มเหมือนกัน  ไปขายรายย่อย ๆ เอา ไม่จิตตกดีด้วย

ขายรายใหญ่ก็ต้องแน่ใจคุณภาพด้วย ถ้าของส่งไปถึงลูกค้าแล้ว เขาปฏิเสธของไม่ได้คุณภาพ ยิ่งหนักหนาสาหัสเลย งานนี้  การสั่งของเจ้าที่ไม่เคยสั่งใน จึนเสี่ยงสุด ๆ เรื่องคุณภาพ

ซื้อขายกับรูปแบบบริษัท   ไม่ง่าย   เหมือนคนทั่วไปนะครับ
เท่าที่ผมรู้  งูๆปลาๆ   เช่น
-  เสนอราคา VAT  ได้ไหม?
-  ภพ.20(ของกรมสรรพากร)  มีไหม
-  หนังสือรับรองบริษัท(ฉบับเต็ม) หรือหนังสือรับรองของร้านคุณ(ฉบับเต็ม)    มีไหม

ไม่รู้ใช้ทุกอันหรือเปล่านะครับ(ถ้าผิดพลาด ขออภัย)
แต่เห็นบริษัทของผมเวลาจะจ่ายเงินให้ใคร  ฝ่ายบัญชี เขาก็ขอเอกสารเหล่านี้ทุกครั้ง   ถ้ามีไม่ครบ  ก็จบ..เลิกซื้อขายครับ

เคยมีประสบการณ์  บริษัทของผม  เคยติดต่อจะซื้อสินค้าไปบริจาคทางภาคเหนือ  ราคาหลายแสนบาท   
คุยกันเรียบร้อยแล้ว   ของพร้อม  ทำเรื่องจ่ายเงินแล้ว  เจ้าของร้านดีใจมาก  :wanwan020:   
แต่สุดท้าย...เขาบอกว่าออกบิลVatไม่ได้ (ออกได้เฉพาะบิลเงินสดธรรมดา)
บริษัทฯ จึงเลิกซื้อเลยครับ  (แอบสงสารเจ้าของร้านเหมืมอนกันครับ) :wanwan012:  :P 
เอกสารอื่นๆด้านบน คุณต้องมีให้ครบด้วยครับ
(จากความรู้งูๆปลาๆ  ถ้าอันไหน ผิดขออภัยครับ)
 :wanwan017:

อ้อ...ลืมไป   เพิ่มอีก1ข้อ   การซื้อขายกับบริษัท   ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ
ถ้าขายให้รบริษัท จากประสบการณ์ ผมคิดว่า90%ขึ้นไป เขาต้องเปรียบเทียบราคาQuatationจำนวน  2-4ทีนะครับ (เรียกว่าเขี้ยวลากดิน...ราคาต้องถูกสุด  และบริการดี  คุณถึงจะได้Orderครับ  บางทีกำไรคุณก็เหลือน้อยมากๆจนแทบจะไม่เหลือ  เพราะคุณต้องลดราคาแข่งกับร้านอื่นๆ  บริษัทถึงจะเลือกซื้อจากคุณ)

เจรจากับเขา ขอมัดจำสินค้าก่อน 60%
งั้นไม่ขาย