ThaiSEOBoard.com

อ้างอิงจากกระทู้นี้นะครับ ที่โดนหมายเรียก http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,300503

วันนี้จึงไปสรรพากรมาพร้อมเอกสาร สเตชเม้นตั้งแต่เปิดบัญชี(เท่าที่จะหาได้) <<< เป็นA4เล่มใหญ่ๆเลยครับ หนามาก 2 เล่ม ย้อนไป 1ปีครึ่ง
เนื่องจากผมเป็นร้านขายของออนไลน์ แบบซื้อมาขายไป จัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม ทำให้ยอดใส่การสั่งซื้อเยอะ
ผลสรุปได้ดังนี้ครับ ย้อนหลังรวมแล้ว ยอดเงิน 10 ล้านบาท (ไม่ใช่กำไรนะครับ เป็นแค่รายรับที่เข้ามา)
คิดกำไรจริงๆ นั่ง +-x/ แล้วผมมีกำไรไม่ถึง20%ครับ ก็เอาไปคิดภาษีเงินได้ครับ (ในส่วนนี้ก็เยอะพอสมควรครับ)

แต่!!   ประเด็นหลักมันอยู่ตรงนี้ครับ ในกรณีที่ยอดเกิน 1.8 ล้านไปแล้วต้องเข้าระบบ VAT7%ของยอดขาย
ในกรณีถ้าหักลบ ภาษีส่วนบุคคลที่จ่ายไปแล้ว และ ลดหย่อนต่างๆแล้วผมจะต้อยจ่าย VAT7% อีก ประมาณ (ย้ำนะครับว่าประมาณ)
>>>500,000บาท +-<<< ครับ ทั้งนี้ตอนนี้ได้แต่ทำใจ เจ้าหน้าที่ก็ให้คำปรึกษาว่า สามารถผ่อนได้ ดอกร้อยล่ะ 1.5 (ต่อรายเดือน) -*- :P
แนะนำให้ผมเอาหลักทรัพย์ไปยื่นธนาคาร ดอกเบี้ยจะถูกกว่า  :wanwan031:
ทั้งนี้มาเล่าให้ฟังกันนะครับ ใครขายอะไร ถ้าเน้นยอดขาย กำไรน้อยๆยอดเยอะๆ เตรียมเงินไว้ด้วยล่ะกันนะครับในส่วนนี้ :wanwan035:

และมีอีกเคสที่เค้ายังหาข้อสรุปไม่ได้ครับ (จนท.สรรพากรเล่าให้ฟัง)
มีเซียนพระ ปล่อยพระให้เช่าทางอินเตอร์เน็ต ยอดขาย 20 ล้านบาท
ซึ่งในส่วนนี้ ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะเอากันยังไง ลองคิดดูนะครับ ว่าเค้าต้องเข้า VAT7%อยู่แล้วยอดขายเยอะขนาดนั้น
ภาษีที่เค้าต้องเสีย นี่จะเท่าไรแล้ว พระเครื่องที่ปล่อยให้เช่ากัน ราคาต่อ องค์ขาดทุนบ้างกำไรบ้าง (เซียนพระน่าจะทราบดี)

สิ่งที่ผมคิดได้และคิดว่าไม่แฟร์เลยสำหรับพ่อค้าทางอินเตอร์เน็ตคือ
(เป็นแค่ความคิดนะครับ)
ถ้าขาย พวกเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มือ2 เช่นพวกกล้อง โน๊ตบุค หรือ โทรศัพท์ (หมายถึงพวกที่ซื้อมาขายไป เป็นอาชีพ)
ได้กำไรตกเครื่องล่ะ 1-3พันบาท แต่ยอดของสินค้าแต่ละชิ้นหลัก หมื่น หรือ หลายๆหมื่น
แบบนี้ตายแน่ครับ ถ้าโดนตรวจสอบ และ เจอ VAT7% เพราะสินค้ารายรับเยอะมากๆ แต่กำไรแค่นิดเดียว(แบบเคสของผม)

แต่....มันก็มีวิธีที่จะหลบ VAT7% (บางท่านอาจจะรู้อยู่แล้ว)
แต่มันยุ่งยากพอสมควรเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ


ภาษีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเสียอยู่แล้วครับ
แต่สำหรับผม ผมว่าถ้าใช้ระบบแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
สำหรับคนที่ขายเล็กๆน้อยๆ คงไม่กระทบครับ
แต่เจ้าใหญ่ๆ ที่เน้นยอดขาย ขายเอามันส์ จัดโปรโมชั่น หรือ กำไรน้อยๆ
คงร้อนๆหนาวๆกันแน่นอนครับ :wanwan009: :wanwan009: :wanwan009: :wanwan009:

ทั้งนี้ผมก็สู้ครับ ยังไงผมก็ต้องสู้
เครียดมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ วันนี้พอเอาไปยื่นยิ่งเครียดหนักครับ
เจอเครื่องคิดเลข ปลิดชีพ เข้าไปอาการยิ่งกว่ายุง ที่เมาไบก้อนอีกครับ  

สังคมไทยตอนนี้E-commerceกำลังมาแรงนะครับเด็กๆพากันค้าขายกันมากขึ้น แต่ในกรณีแบบนี้ผมว่าต่อไปคงมีแต่คนกลัวแน่นอนครับ
น่าจะมีกฏหมายใหม่ ให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้  :'( :'( :'(


คิดเล่นๆนะครับ
ลองคิดคนที่ขาย โทรศัพท์ หรืออคอม มือ2ทางเน็ต(ที่ สินค้าราคาสูงๆ)
ในกรณี ถ้ากำไร10% (ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
ถ้ายอดขาย ต่อเดือน 3แสน  = กำไร3หมื่น
ต่อปี ยอดขายรวม12เดือน 3.6ล้าน = กำไร 360,000
คิด VAT7% จากเงินได้ 3.6ล้าน  = 252,000บาท

ตายแน่ครับ กำไรต่อปี 360,000 จ่ายภาษี 252,000
360,000 - 252,000 = 108,000  ตกแล้วกำไรจะเหลือแค่เดือนล่ะไม่ถึงหมื่น


**หมายเหตุ**
แก้ไขข้อความครั้งที่1 เพราะจะขอยกตัวอย่างร้านโทรศัพท์ หรือ โน๊ตบุคที่ขายกันในเน็ต(แบบมือสอง)

ช่วยแนะนำวิธีทีเสียภาษีน้อยลง ก็ดีนะครับผม

 :'(

ไปหาสำนักงานบัญชี เลยครับ มีวิธีหลบหลีกหรือจ่ายน้อยลง ร้อยแปดพันเก้าวิธี (แต่ต้องเข้าใจนะครับ ว่าต้องเสีย จะเสียมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสำนักงานบัญชีที่คุณใช้บริการอยู่ครับ :P)

แต่ในกรณีแบบผม สนง. บัญชีจะมีความหมายไหมอะครับ(สอบถามหน่อยครับ)
เพราะว่า สรรพรกร เรียกเลขที่บัญชีที่โชว์ไว้หน้าเว็บ (ตอนมีจดหมาย) ระบุเลขบัญชีมาเลยว่าขอสเตชเม้นบัญชีนี้ :wanwan031:

อ่านแล้วไม่ค่อยกล้าทำ

มันมีทางออกเสมอครับ pm มาดีกว่าครับ :wanwan017:

จากที่ไม่ค่อยคิดเรื่อง

แต่ตอนนี้คิดหนักเลย

การจดทะเบียนของพวกนี้ คุณต้องถามใจคุณก่อนว่าคุณพร้อมหรือเปล่า อย่าจดเพราะเอามันส์ อย่าจดเพราะใจสั่งมา ผมเตือนน้องๆในนี้ไปหลายคนแล้ว :wanwan009: มันไม่หมูนะครับ

คนที่ตั้งใจทำอย่างถูกต้อง
ตั้งแต่กรมฯ มีประกาศไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ก็จะเดินไปได้อย่างสง่าผ่าเผย
แต่ประเภทจัดอยู่กลุ่มแมวจับหนู
ก็ลำบากหน่อย..


ถ้าแบ็คดีจ่ายถึงก็บายไป
ถ้าไม่มีทั้งหมดโพสตามเว็บบอร์ด
อาจช่วยบรรเทาอาการใจได้ (พักหนึ่ง)



ประเทศพัฒนาเมื่อประชาร่วมใจ

ผมไม่เคยจดเลยครับ
เพื่อไม่ให้ยอดเงินได้ต่อคนมันเกิน 1.8ล้าน (ไม่แน่ใจว่ามีวิธีอื่นไหม)
ถ้าใครมีอะไรชี้แนะ PM มาได้เลยนะครับ ตอนนี้ปวดหัวกันทั้งบ้าน (สงสารคนแก่ที่บ้านที่ต้องเห็น วัยรุ่นไฟแรง มาหมดแรงทำงานตอนนี้)
ให้มันเป็นไปครับ ยังไงก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป :'(

แนะนำอีกวิธี ถ้าขายก็บวกไปเลย 7% แล้วเก็บส่วนต่าง 7% นั้นไว้กรณีโดนเรียกในอนาคต

จดก่อนจดหลังยังไง ยอดขายเกิน 1.8ล้านก็ต้องเสียครับ
ที่มาพูดไม่ใช่ว่า ไม่อยากจ่ายครับ
แต่สำหรับ คนที่กำไรน้อยๆล่ะครับ มันไม่สมเหตุสมผลเลย

+1 ครับ ขอบคุณที่มาแชร์กัน

สอบถามเพิ่มเติมหน่อยครับ พี่สรรพเค้าเรียกดูเฉพาะเลขบัญชีที่โพสหน้าเว็บให้ลูกค้าโอนรึเปล่าครับ หรือคิดทุกบัญชีของเรา

เป็นกำลังใจให้ขอให้จบด้วยดีนะครับ

ขอบคุณที่ช่วยแชร์เรื่องราวที่ดีๆครับ

ตอนนี้แค่เอาบัญชีที่ขึ้นหน้าเว็บครับ (ระบุมาในใบเชิญตัวเลย)
(แต่สำหรับผม ผมใช้แค่บัญชีเดียวครับในการขาย)


ขอบคุณมากครับ
ปีนี้ปีชงด้วยครับ :wanwan023:

ทำบุญสเดาะเคราะห์ต้อนรับปีชงนะคะ ขอให้มีทางแก้ไขค่ะ

ในกรณี ที่เรา ไม่ได้ขึ้นทะเบียน VAT ไว้ แล้วเราไป เก็บ นี่ เกรงว่า จะเรื่องใหญ่ นะครับ

คือถ้า มีรายรับ(ไม่ใช่กำไรนะครับ) ตั้งแต่ 1 ล้าน 8 แสน บาท อันนี้ ก็ต้องไป ขึ้นทะเบียน VAT

ส่วน ถ้า ยังมีรายรับไม่ถึง จะขอขึ้นก็ได้

ซึ่งเข้าระบบ เจ้าหน้าที่ ก็ บอกผม มา ตั้งแต่แรก แล้ว ว่า เข้าง่าย ออกยาก

ทั้งนี้ ควรปรึกษาบริษัทรับทำบัญชี เจ้าหน้าที่บัญชี หรือ คนที่ทำงานในสายบัญชี มานะครับ เพราะ เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว เราต้อง วิ่งหาสรรพากรทุกเดือน

มีวิธีหลบยังไงบ้างอ่ะครับ  :wanwan009:

เป็นเคสที่น่าสนใจ จึง
อยากขอแนะนำคนที่ทำ E-Commerce  แบบจริงๆจังๆ ..
ถ้าเห็นลู่ทางแล้วว่าไปได้สวย
ต้องตัดใจสวมวิญญาณ  Initiative อย่าเป็นประเภท Passive ชอบความตื่นเต้น
เพราะผลของมันจะต่างกัน กรมฯ เองก็มีระบบผ่อนผันเรื่องภาษี ทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ
เรื่องพวกนี้เขาคิดกันมาหมดแล้ว เพียงแต่เราไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป


การเสียภาษีประเภทซื้อมาขายไป จะเสีย 2 แบบคือ
1.) หักคงที่ 80%
2.) หักตามจริง

ถ้าคิดว่าของกำไรน้อยก็ใช้วิธีที่สอง แต่ถ้ายื่นแบบแรกก็ไม่ต้องพิสูจน์รายจ่ายหรือต้นทุน

คำแนะนำ
ทำให้โปร่งใสเถอะ รับรองท่านจะเบิกบานใจ ค้าขายทั้งทีก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องภาษีอีก แต่ถ้าชอบอีกแนวก็จะเป็นแบบนี้แล...





สังคมต้องช่วยกัน..
จากคนผ่านมาแล้ว
 :-X

ต้องจริงๆจังๆกับเรื่องนี้วะแล้ว เงินไม่ใช่น้อยๆเลยนะนั้น :wanwan035:

คิดแบบนั้นคือผู้ที่มีรายดไม่ถึง 1.8 ล้านต่อปีนะครับ
ถ้าท่านรับเงินจากการขายของ 1.8 ล้านต่อปี  ภาษีคือ 7% ครับ

เพิ่มเติมครับ
ถ้าหักแบบที่ท่านว่าได้จริงๆ
เอาจริงๆนะครับ พร้อมหาเงินมาจ่ายเลยครับ
ผมว่าสมเหตุสมผลดีอยู่ครับ
แต่ถ้า 7% จากรายรับที่ผมโดน สำหรับผม มันไม่ยุติธรรมเลยครับ

ขอบคุณสำหรับแนวทางครับ

ลองหานักบัญชีช่วยครับ  เป็นบทเรียนครับ รีบจ่ายนะครับ ไม่งั้นจะลำบาก  :wanwan003:

ผมจะพยามให้มีรายรับไม่เกิน 5000 ต่อวัน จะได้ไม่ถึง 1.8ล้าน หุหุ :o

ตอนนี้ยังอีกแสนไกล  :wanwan019:

เรื่องที่ผ่าน มาแล้ว อย่างไร ก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วครับ

แต่ต่อไป ในเมื่อยอดถึง ต้องเสีย vat  เราก็ต้องเอา vat ซื้อมาเคลมคืน ให้ได้  ก็ มีทางเดียว คือ จด เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจำกัด เท่านั้นครับ เพื่อเวลาไป จด vat  จะได้สิทธิ์ ในการขอคืนภาษี  แล้ว จะ กลายเป็น vat ที่ต้องเสีย จริง ๆ คือ vat ขาย หัก ออกด้วย vat ซื้อครับ (แต่ต่อไปจะยุ่งยากที่ต้องหาแหล่งซื้อของมาขาย ที่ต้องมี vat ซื้อมาด้วย ถึงจะเอา vat ขาย หัก vat ซื้อ เสียเฉพาะส่วนต่างเท่านั้น) มันจะยอดไม่มากอย่างที่คิด ถ้าเสีย ทุกเดือน  ดีกว่า มาโดนปรับภายหลัง เพราะค่าปรับ vat โหด ที่สุดในบรรดา ภาษีทั้งหมด แล้ว


ดำเนินการ จด บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน ใช้เวลาประมาณ ครึ่งเดือน ก็เรียบร้อยแล้วครับ พอได้ หนังสือบริคณสนธิ ค่อยไปจด vat อีกที ก็เรียบร้อย  และ มีหน้าที่นำส่งภาษีทุก ๆ เดือนต่อไป

ยุ่งยากน่าดูเลย   น่าเบื่อครับ  :wanwan012:
เห็นด้วยกับ  จขกท.ครับ  ถ้า 7% 5แสน จากรายรับที่จขกท.โดน  ผมว่า มันไม่ยุติธรรมเลยครับ
มันคุ้มกันที่ไหน   ขายเหนื่อยๆอดหลับอดนอนทั้งปีกำไรแค่3-4%  แต่พี่สรร จะเอาVat 7%  งงเต้ก
 :wanwan044:

พอดีผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้    เดี๋ยวขอศึกษาข้อมูลด้วยครับ   ถ้าไม่มีทางแก้ไขดีๆ   ผมว่าจะทิ้งอาชีพอีคอมเมิชแล้วครับ   ทิ้งเว็บเลย      ผมหันไปทางอื่นดีกว่า  มีแนวทางอื่นๆเว็บต่างประเทศรออยู่   ไม่ต้องยุ่งยาก อะไรแบบนี้ครับ

แต่ในกรณีซื้อมาขายไป
ไปเดินซื้อของตามตลาดมาขาย
พวกนั้นไม่มีบิลอยู่แล้วครับ แล้วจะทำยังไงดีในกรณีไม่มีบิลมาให้หัก ภาษีซื้อ/ภาษีขาย :'(

กรณีนี้ผมยังสับสนอยู่นะครับ
สมมุติว่าบัญชีที่เราโพสขึ้นหน้าเว็บ
เป็นบัญชีเดียวกับที่เราใช้รับเงินเดือน
อย่างนี้เวลาสรรพากรมาตรวจ
จะนับรวมเงินเดือนของเราไปด้วยหรือเปล่า

และถ้ารายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท
ก็ยังคงต้องเสีย VAT7% อยู่ใช่ไหมครับ

กรณีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ถ้าต้องการเสียภาษีโดยยุติธรรม
ต้องหาซื้อร้านที่มีใบกำกับภาษีให้ได้ค่ะ เพราะเราจะได้บิลซื้อไปหักภาษีค่ะ

ถ้าไม่มีบิลซื้อ แล้วใช้ระบบเหมาจ่ายไม่คุ้มค่ะ  ต้องเป็นระบบ หักตามจริง
ลองไปหาดูร้านที่ซื้อแล้วสามารถออกใบกำกับภาษีให้ได้ดูนะคะ ถ้าหาได้ก็ไปเดินเรื่องจด บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน ค่ะ

ถ้าหาไม่ได้ ไม่คุ้มค่ะ ระบบเหมาจ่าย .

รวมค่ะ เพราะมันคือรายได้ค่ะ รายได้เกิน 1.8 ล้าน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรืองานพิเศษ ถ้าเกินต้องเสีย VAT7%

น่ากลัวจริงๆเลย  :o

อย่าไปยอมมันครับ มันจะแ..กอย่างเดียว ถ้าคุณเสียทีไปเออออตามมัน ก็หวานมันล่ะครับ แต่ก่อนผมเคยทำธุรกิจส่วนตัวนะครับ พวกมันมาถึงบ้าน มาหาพวกไก่อ่อนรับประทาน มากันที 3-4 คน ทำเป็นมากดเครื่องคิดเลขให้ดู เบ็ดเสร็จมันจะเอาภาษี 3-4 หมื่น ส้นteen  เถอะครับ ไม่ยอมซะอย่าง จ่ายเหมือนเดิมปีละ 3 พัน ถ้าไก่อ่อนกลัวตามมัน ก็หวานมันเลยครับ ไอ้พวก here นี่ทำไมมึงไม่ไปตามภาษีไอ้คนที่มันโกงชาติบ้านเมืองว่ะ จะมารีดไถแต่คนทำมาหากินสุจริต ฟายยย ของขึ้นว่ะ

ไม่ค่อยกล้าโพสในห้องนี้มาก กลัวเจอดีเข้าตัวค่ะ เราแนะนำแค่ว่าทำให้ถูกต้องคือ เริ่มทำจดทะบียน บจก.  บริษัทจำกัด ไม่ยุ่งยากมากมายค่ะ  ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท
หุ้นส่วนอย่างน้อย 3 คน การจดทะเบียนบริษัทไม่ได้ยุ่งยากอะไรก็ให้สำนักงานบัญชีที่รับจดทะบียนน่ะค่ะ  การเริ่มต้นธุรกิจ กำไรอาจจะไม่ถึง 1.8 ล้านต่อปี สรรพากรไม่บังคับเราไปจด vat
แล้วก็จ้างสำนักงานบัญชีทำบัญชีส่งสรรพากรให้เรา  แค่นี้ก็ไม่มีคนเรียกแล้วค่ะ การทำธุรกรรมผ่านนิติบุคคล  เป็นการทำธุรกรรมที่เป็นคณะบุคคล  รายได้ไม่เกี่ยวกับรายได้ของคนใดคนหนึ่ง
อันนี้ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ  ใครอยากถามอะไรเกี่ยวกับภาษีรบกวน pm นะคะ เราตอบได้ก็จะตอบแต่โพส public เราก็เกรงจะงานเข้าน่ะค่ะ  แต่เจ้าของกระทู้เนี่ยขายอะไรจะไปขายบ้าน ปีเดียว 10ล้าน โอ้มายก็อด

Vat 7% จะเป็นปัญหาของผู้มีเงินได้ ประเภทบุคคลธรรมดาครับ
สำหรับผู้ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
และเป็นรายได้จากการขายหรือบริการ

บุคคลธรรมดาเช่น ceo ได้รับเงินเดือน รวมปีนึงเกิน 1.8 ล้านบาท ไม่ต้องเสียเพราะไม่ใช่จากการขายและบริการ

ยังมีข้อที่ควรรู้มากกว่านั้นคือ ถ้าติดชื่อที่ต้องเสีย vat 7% แล้ว
จะต้องเสียต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่สนว่า รายได้ปีต่อไปเท่าไหร่
นั้นคือถ้าปีหน้าเจ้าของกระทู้ ได้รายได้ทั้งปี แค่  1 ล้าน
เจ้าของกระทู้ต้องเสียภาษี ฐานภาษี 30% บวก vat  7% เป็น 37% จากเงินได้
แต่จะน้อยกว่านี้ ถ้าคิดว่ามีการลดหย่อนด้วย เช่น LTF RMF เป็นต้น ฐานภาษีอาจไม่ถึง 30%

เงินได้ที่ต้องคำนวนภาษี ต่อปี หักลดหย่อนต่างๆ ตามที่รัฐบาลกำหนด จะเหลือเงินได้สุทธิ ไปคำนวนภาษี ครับ
เช่น เงินได้ที่้ต้องคำนวนภาษี ต่อปี 1 ล้าน
หัก ค่าลดหย่อนต่างๆ เหลือเงินได้สุทธิ แค่ 2 แสน
เงินได้ 2 แสน จึงค่อยไปคำนวนภาษี

แต่กรณี vat 7% ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คำนวนจาก
เงินได้ที่ต้องคำนวนภาษี<< ถ้าเป็นกรณีนี้เยอะมากๆๆ
หรือเงินได้สุทธิ

มาถึงเรื่อง vat7%
วิธีการคือต้องเสียตามจริงครับ
กรณีทำเวปไซต์ขายของ มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ถ้าท่านทำคนเดียวได้เงินเยอะขนาดนี้ก็ต้องเสียตามจริงครับ
แต่ส่วนมาก ทำกันหลายคน ก็ต้อง แบ่งรายได้กันไป
เช่น บัญชีรับเงินค่าซื้อขาย อาจมี สอง ถึง สาม คน
นาย ก รับเงิน กรุงไทย
นาย ข รับเงิน กรุงเทพ

แต่ทุกอย่างต้องทำตามจริง ถ้าทำเวปคนเดียวท่านก็ต้องรับเงินคนเดียว เสียภาษีคนเดียวครับ

ปัญหาของเราๆ ก็คือ การซื้อขาย ไม่มีเอกสาร หรือ หลักฐานในการซื้อขาย

สพก เขาจะเหมารวมหมดเลย เค้าไม่คิดน้อยกว่าแน่ๆหละ ( ไม่ว่าประเทศใหน หรือแม้แต่เราจะคิดค่านั่นค่านี่กับใคร ใช่ไหมครับ )
ดังนั้น ถ้ายอดขายมันเยอะจริงๆ ก็ควรติดต่อ สพก ขอจ่ายภาษีแบบเหมาจ่าย ไปเลยครับ

ไม่ต้องแจ้งยอดตรงๆ เลยก็ได้ เราไปเสียเอง ดีกว่าเขาตรวจเจอแล้วเรียกเก็บ เพราะเขาก็น่าจะมีเมตตากับเราบ้าง ใช่หรือเปล่า

ส่วนเรื่องจดแว้ด อะไรเนียะ มันคุยกันยาวครับ ผมว่าลองปรึกษาผู้รู้ หรือ ไปห้องสีลมมั้ง ณ พันทิพ ปรึกษาบรรดาผู้รู้ที่นั่นดีกว่า แต่ก็ระวังแมวมองด้วย อิอิ  :wanwan016:

ถ้ายอดขายเกิน 1.8 ล้านไม่ว่าจะ ขาย หรือ บริการ ก็ต้องยื่นเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
   บุคคลธรรมดา ก็ขอมีได้ แต่ เข้าแล้วออกยากครับ ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งจด
   แต่บุคคลธรรมดาจะเสียเปรียบ พวกที่จดเป็น นิติบุคคลซึ่งมีต้้งแต่ หจก จนถึง บริษัท แนะนำจด หจก ง่ายหน่อย

สรุปก็คือ ไปเสียไว้หน่อยครับ จะมากจะน้อย แสดงความบริสุทธิใจ ดีกว่าไม่สนใจ พอโดนเรียก ก็จะโอดกันทุกรายครับ
เพื่อผมรับงานข้างนอกเอง ซ่อมงานทีรายได้รวมๆเป็นปี ก็โขอยู่ ไม่ยอมไปจ่ายสุดท้าย ก็โดนจนได้ครับ อานเลยหละ เหมือนดารา ที่โดนกันนั่นแหละคัรบ

เข้ามาอ่านครับ อนาคต ยอดผมคงถึง  :P

จะได้เตรียมตัว ..ล่วงหน้่า :wanwan044:

เส้นผมบังภูเขาหรือเปล่าคะ

ก็เปิดบริษัท (บจก) ไป หากรายได้รายปีใกล้ 1.8ล้าน ก็เปิดอีกบริษัทนึง พอใกล้ 1.8 ล้าน ก็เปิดอีกบริษัทนึง ถ้ามันมากๆกว่านี้อีก ก็คงคุ้มที่จะจ้างบัญชีมืออาชีพได้แล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องเลียงมากแล้วล่ะ

หจก. กับ บจก. ค่าใช้จ่ายในการจดต่างกันประมาณ 5 พันเท่านั้นเอง และต้องส่งบัญชีรายปีเหมือนกัน แนะนำว่าให้จด บจก.ไปดีกว่า เพราะการรับผิด ไม่เกินจำนวนหุ้น แต่ หจก.รับไม่มีลิมิต
เคยถามลูกค้า ลูกค้าบอก หจก.เหมือนกิจการครอบครัว แต่ บจก.จะเหมือนมืออาชีพมากกว่า

ขออภัย นิดครับ ชี้แจง นิดหนึ่งครับ  เงินเดือน ถือเข้าเป็นรายได้ตามมาตรา 40 (1)  ไม่ได้เป็น รายได้จากการขายสินค้า หรือ บริการ ไม่ได้ถูกนับรวม เรื่องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (vat) ครับ

แล้วถ้าเป็นในกรณี ขายของออนไลน์ล่ะครับ
ยอด ต่อเดือน 8-9แสนบาท ถ้าในกรณีนี้ 2 เดือนต้องจดใหม่ มันจะไม่โดนข้อหาเลี่ยงภาษีหรอครับ
ไหนจะเลขบัญชี ที่โอนเข้า ไหนจะโดเมนหลักที่ใช้อยู่


ส่วนกำไรมันไม่ได้เยอะตามยอดหรอกครับ
ผมขายดี แต่กว่าจะขายดี ก็ต้องโฆษณาเยอะมากๆ
และราคาที่ขาย + กับของแถมและโปรโมชั่น กำไรต่ออันไม่ถึง 20%เลยครับ

ใน ความเป็น จริง มันทำไม่ได้ หรอกครับ ที่จะ จด บริษัท ใหม่ไปเรื่อย ๆ   หากยอดจะเกิน ต้องจด vat   เพราะว่า การจดบริษัท มีขั้นตอน กฎหมาย ที่ต้องทำเยอะ พอสมควร  และไหน ๆ ค่าสอบบัญชี ค่าทำบัญชี และ การจดทะเบียนบริษัท ก็มีขั้นตอนหลายขั้นตอนอยู่ กว่าจะขอชื่อ  กว่าจะจดหนังสือบริคณห์ฯ แล้ว ถึงไปจด vat ได้

เสีย vat ให้ถูกต้อง ค่าใช้จ่าย มันไม่เยอะ อย่างที่คิดหรอกครับ เพราะ เวลา นำส่ง vat  คือ การเอา vat ขาย หัก ด้วย vat ซื้อ  นะครับ เสียเฉพาะผลต่าง  และ เดือนไหน เรามีซ์้อทรัพย์สิน ก็มี vat ซื้อ นำไปหัก และเป็นเครดิตภาษี ในเดือนถัดไปอีก  และ กรณีบริษัท ก็ยื่นขาดทุนได้ ตอนเปิดใหม่ ๆ ได้อีกหลายปี  ไม่ใช่จะเสียภาษีนิติบุคคล เพิ่มเสมอไป โดยรวม ๆ แล้ว ไม่เสีย เยอะ อย่างที่คิดหรอกครับ

ถ้าคิดว่า รายได้เราจะถึง จด เถอะครับ บริษัท แล้ว จด vat ซะนำส่งทุกเดือน ทุกปัญหา จบ ครับ .....

สอบถามครับ
แต่ในกรณีผมซื้อมาขายไป ไปเดินเลือกซื้อไม่มี VAT ซื้ออยู่แล้วครับ
แบบนี้ ก็โดนเต็มๆ (สรรพากร ทำหน้าเซ็งไม่ค่อยดีตอนผมพูดแบบนี้ เพราะเค้าคงรู้ว่าโดนอ่วมแน่)

ประเด็นแยก ตามนี้ ครับ

1. ซื้อของ มาไม่มี vat  แล้วเรา จด vat  แล้ว  ต้องเสีย ภาษี vat เต็ม ๆ ครับ  ขายของ 100 บาท vat 7  บาท  ต้องนำส่ง vat 7 บาทเพราะไม่มีภาษีซื้อมาหัก
2. ซื้อของ มาไม่มี vat  แล้วพิสูจน์ ผู้รับเงินได้ไหม ถ้าพิสูจน์ ไม่ได้ อาจโดน ค่าใช้จ่ายต้องห้ามอีก ครับ 

ถ้าแบบที่2นี่ หมายถึงซื้อแล้วไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ขายใช่ไหมครับ??? งงล่ะครับยิ่งเจาะลึก :-[

ยังไงขอบคุณที่มาช่วยแนะนำ ให้ความรู้ครับ

พูด ง่าย ๆ  เจตนา ของ สรรพากร คือ คนที่ขายของ ให้ เรา ก็ต้องถือเป็นรายได้ ของเขา  สรรพากรต้องการ ตรวจสอบได้ ว่า เขาขายของให้เราเท่าไหร่ แล้ว ไปยื่นภาษีถูกต้องไหม นั่นแหละครับ  

หรือ พูดง่าย ๆ บังคับ ว่าต้องมีบิล หรือ เลขประจำตัวประชาชน ให้เช็คได้ ว่าใครขายของ ให้เรา  ถึงจะถือว่ารายการนั้นพิสูจน์ผู้รับเงินได้ ครับ   คือต้องมี บิล หรือ เอกสารที่เขาเซ็น และ แสดงรายการ และมีเลขที่ประจำตัวประชาชน หรือ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี ให้ตรวจสอบได้


    edit : เพิ่มเติม  ถ้าหาบิล ไม่ได้ ทำรูป บุคคลดีทีสุด อย่างไร ก็เหมาจ่าย   เพราะถ้าจดบริษัท แล้วพิสูจน์ที่มาของสินค้าไม่ได้ ล่ะเรื่องใหญ่ กว่า อีก  แต่ถ้ามีบิลซื้อถูกต้อง ก็จด บริษัท ครับ

กำไรต่ออันไม่ถึง 20% ก็หรูเลยละคับท่าน สู้ๆ

มันก็พออยู่ได้นะครับแลกกับ ภาระ แต่ละวันที่เยอะมากๆ
และไม่ได้ทำคนเดียว ช่วยกันทำกับที่บ้าน ทั้งแพค ทั้งส่ง โอยวันๆเหนื่อยสายตัวแทบขาดครับ
ก็เพราะอยากที่จะ ลืมหูลืมตาได้ครับ

คิดเล่นๆนะครับ เงินหมุน 10ล้าน กำไรจริงๆ
ต่อให้ตีมา 20%  ก็ประมาณ 2ล้านบาทต่อปี
แต่ผมเสีย ภาษีอีก 7แสนบาทนะครับ (หมายถึงถ้าคำนวน 7%จาก10ล้าน)

เท่ากับว่าหาเงินได้ 2ล้านต่อปี จ่ายภาษี7แสน
เหลือแค่1.3ล้าน ครับ  :wanwan031: :wanwan031: :wanwan031:

ที่พูดมานี้ไม่รวมค่าจัดส่งของ และ โฆษณานะครับ
ผมแกล้งถามเค้าเล่นๆว่า ผมใช้เงินหมดไปแล้ว ไม่มีเงินมาจ่ายทำไง
ก็อย่างที่ลงไว้เรปแรกครับ เค้าบอกว่า ผ่อนได้แต่ดอก 1.5ต่อรายเดือน :-X
หรือจะเอา หลักทรัพย์เข้าธนาคารแล้วผ่อนก็ได้ :-X

ตายกับตายครับ ถ้าขายแล้วได้ยอดเยอะแบบนี้
แต่กำไรไม่ได้เยอะ แล้วโดนภาษีหนักๆแบบนี้

คิดเล่นๆนะครับ
ลองคิดคนที่ขาย โทรศัพท์ หรืออคอม มือ2ทางเน็ต(ที่ สินค้าราคาสูงๆ)
ในกรณี ถ้ากำไร10% (ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
ถ้ายอดขาย ต่อเดือน 3แสน  = กำไร3หมื่น
ต่อปี ยอดขายรวม12เดือน 3.6ล้าน = กำไร 360,000
คิด VAT7% จากเงินได้ 3.6ล้าน  = 252,000บาท

ตายแน่ครับ กำไรต่อปี 360,000 จ่ายภาษี 252,000
360,000 - 252,000 = 108,000  ตกแล้วกำไรจะเหลือแค่เดือนล่ะไม่ถึงหมื่น
ตายกับตายครับไหนจะกินจะใช้กันอีก

หรือในกรณีนี้เค้าคิดเรทอื่นกันครับ (แต่เท่าที่ศึกษาดูนะครับ ยอดเกิน 1.8 จับยัดเข้าเรท Vat7%หมดทุกราย)
ไม่ยุติธรรมเลยครับถ้าแบบนี้  :'(

ท่านขายของถูกไปหรือเปล่า??? หรือยังไง
ทีแรกก็คิดว่ากำไรต่ออันไม่ถึง 20% เป็นกำไรสุทธิที่หักค่าต้นทุนต่างๆออกไปแล้ว
แต่จริงๆแล้วยังไม่ได้รวมค่าจัดส่งของ และ โฆษณา เอ๊ะยังไง หรือว่า ผิดที่สรรพากรเก็บค่าภาษีแพงไป เริ่มชักงงๆแล้วสิ
แต่คงอาจไม่ยุติธรรมจริงๆก็ได้ ในความคิด คงไม่มีใครคนไหนอยากจะเสียภาษีแพงๆอ่า  :P

ขายต่ออัน ก็ไม่ได้กำไรเยอะหรือน้อยไปนะครับ เอาตามความเป็นจริง
ผมขาย ของราคา 1400 หักโดยรวมเบ็ดเสร็จทุกอย่างแล้ว กำไร 200-250 แบบนี้เรียกว่าน้อยไปหรอครับ?
ขายแพงกว่านี้ แล้วใครจะซื้อล่ะครับ?


เน้นยอดเงินแล้วได้เฉลี่ยไงครับ
ต่อวันหลายๆเจ้ามันก็อยู่ได้ครับท่าน

การผลักดันให้เราเข้า VAT นั้น ก็เพื่อให้ รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นไงครับ

การที่บอกว่า จดแวด แล้วจะได้หักภาษีซื้อ ขาย เหลือเท่าไรนำส่ง สรรพากร แต่ ...

ในการหักภาษี ซื้อ และ ขาย ต้องมีเอกสาร ใบกำกับภาษี ทั้งซื้อ และขาย ครับ ไม่อย่างนั้น ไม่ถือว่าเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ที่ถูกต้อง หักไม่ได้
   ยกตัวอย่าง เราซื้อของมา 5000 แต่ไม่มีใบกำกับภาษี มีแต่บิลเงินสด แล้วขายออกไป 6000 แล้วเราออกใบกำกับภาษี เราก็กำไรเต็มๆครับ 6000 ไม่มีภาษีซื้อมาหักตอนนำส่งทุกสิ้นเดือน VAT ของ 6000 ก็เท่าไรหละ 7% อ่ะ
   แต่ถ้าซื้อมา 5000 มี ใบกำกับภาษีซื้อ ก็เอา VAT ที่เราขายออก ลบด้วย VAT ที่ซื้อเข้า ( VAT ของ 6000 ลบด้วย VAT ของ 5000 ) เหลือเท่าไร แล้วค่อยนำส่ง สรรพากร และเราก็ได้ต้นทุนที่จะเอามาคิดตอนไปจ่ายภาษีปลายปีอีก 5000 ( ที่ซื้อของเข้า )

เรื่องมันยาวสำหรับ ใบกำกับภาษี หรือ VAT


 - ก็เขาจะบังคับเราให้เข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มไงครับ ทำนองว่า ถ้าจะเข้า VAT เราก็ต้องซื้อของจากคนที่ออกบิล VAT ได้ถูกต้อง เท่านั้น ถึงจะไปลด VAT ที่เราขายออก ถ้าไม่มี ทำได้แค่นำไปเป็น ค่าใช้จ่าย ในการคำนวนภาษีปลายปีเท่านั้น
 - เมื่อเรา ต้องซื้อจากคนที่ออก VAT ได้เท่านั้น ก็เท่ากับเรา ช่วยเขาบังคับให้คนขายต้องไปจด VAT เป็นทอดๆไปไงครับ

บอกกล่าวเท่าที่ รู้มาครับ ไม่ต้องเชื่อผมน่ะ  :wanwan016:

ขอจ่ายภาษีแบบเหมาจ่าย ก็คงไม่ทันแล้วสินะ เพราะตอนนี้ สพก. รู้ข้อมูลท่านเยอะแล้ว
ปีต่อๆไปนี่สิปัญหา เอาใจช่วยคับท่าน

เข้าใจหัวอกนะ สรุปแล้วที่เราได้ทำมาทั้งหมด มันสลายไปหมดเลย แถมสลายไปแบบหมดแรงที่จะสู้ต่อด้วยซ้ำ คือช่วงนี้ก็เป็นช่วงแย่ ๆ ของวงการนี้อยู่แล้วด้วย

ผมเองไม่ค่อยอยากโพสต์เท่าไร ผมจะขอทิ้งท้ายฝากเตือนน้อง ๆ แล้วกันในบางเรื่องเล็ก ๆ มีประโยชน์หรือเปล่า นา ๆ จิตตัง นะ

1. ตอนเราเริ่มทำ ในบางทีเราก็ไม่เชิงประมาท เราคิดเราทำดีทำถูกต้องแล้ว แต่มันก็เกิดเรื่องจนได้ เหมือนกรณีนี้ ส่วนตัวคิดว่า VAT ยังไม่ยืดหยุ่นพอ ก็ทำได้แค่บ่น ๆ ไป เพราะเข้าใจพี่สรรเหมือนกัน

2. ตอนที่เราคิดว่าเราทำธุรกิจได้ดีแล้ว มีเงินเยอะแยะ ปัญหาคือเราจะรักษามันไว้ได้อย่างไร เพราะถ้าพลาดพลัง ก็ยากที่จะกู้สถานะการณ์ บริหารเงินกันดี ๆ นะครับ ได้มาง่ายก็จริงบางทีสะดุดขาตัวเองล้มทีเดียวไปเกลี้ยงเลย ลุกใหม่ยากเสียด้วย

ว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก แต่ดันไปเจอกระทู้อื่นที่กำลังสนใจ เจอกระทู้นี้ยังเจ็บไม่หายเลยอดใจเข้ามาโพสต์ไม่ได้ จะขอโพสต์อะไรที่มาจากประสบการณ์ ไม่ขอโพสต์ด้านวิชาการ เพราะไม่ได้จบสูงมีข้อมูลมากมายตรงเปะใด ๆ ผิดพลาดประการใดขออภัย

+1 ครับ ขอให้พี่ลุกขึ้นได้ในเร็ววันนะครับ

ซื้อมาขายไป ลำบากโคตรครับ

กฏหมายตรงนี้มันไม่ยุติธรรมให้เราเลย

รวบยอดบัญชีรายรับซะงั้น (ทั้งๆที่น่าจะเห้นชัดเจนว่า สมมุติเข้า 35000 ออกทันที 32000 ==> รับจริงๆ 3000 เอง)

ทีนี้ในกรณีที่ขายมากๆดูสิ

สมมุติขายของตามราคาด้านบนเลย 35,000 ขายได้ 100 ชิ้น ==> 3,500,000 แต่ได้จริงแค่ 300,000

โดน VAT โดนนู่นนี่นั่น สรุปเสียภาษีไปทำทั้งปีรายได้เท่าจิ๋มมดเลย  :P

ขอบคุณประโยคสุดท้ายที่โดนใจ อ่านแล้วยิ้มได้ก่อนนอนเลยครับ
วันนี้ต้องขอตัวไปนอนแล้ว (ซัดยา คลายเครียดไปแล้ว2เม็ด) :'(

ฝันดีครับทุกท่าน พรุ่งนี้จะรีบตื่นขึ้นมาดูกระทู้นี้ครับ อยากผลักดันให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นว่า ตรงนี้มันก็เหมือน ผู้ใหญ่รังแกเด็กเลยครับ
ถ้าในกรณีที่ เกิน1.8ยังไงก็คิด VAT7%

เขาจัดเฉพาะรายใหญ่ๆใช่ป่ะ >:(

ทุกคนมีหน้าที่เสียภาษีครับ

อ่านแล้ว  เห็นภาพเลยครับ   
ซื้อมาขายไป  ลำบากจริงๆเลยแบบนี้

เห็นด้วยเลย มันเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก   สงสัยต้องล่ารายชื่อ ฟ้องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน(ไม่รู้ใช่หน่วยงานนี้เป่านะ  ผมมั่ว)
คนทำมาหากินสุจริต    ดันเจอรังแกแบบนี้  ทีคนนั่งกินๆๆทั้งประเทศ  ไม่ไปทำอะไรเขา
 :wanwan044:

พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วให้ท่านไปรวบรวมเอกสารที่เป็นค่าใช้จ่าย
ให้ได้มากที่สุด แล้วลองไปปรึกษากับบริษัทรับทำบัญชีครับ

ปัญหามีไว้สำหรับให้แก้ไขครับ
ตราบใดที่สุขภาพยังแข็งแรงเริ่มใหม่ได้เสมอครับ

อ๊ากกกกกกกกกกก อ่านละเครียด  :wanwan031:

โอ่ย ไม่รู้จะพูดยังไง เก็บไปก็ดีอยู่หรอก แต่มันควรพอเหมาะหน่อยนะ เก็บแบบนี้ : (

ปัญหา หลัก ของเรืองนี้  สาเหตุ เกิดจาก เราไม่รู้เกี่ยวกับ ว่ายอดเกินล้านแปด แล้ว ต้องจด vat  นั่นแหละครับ   ถ้าเราทราบแล้วทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก  มันไม่เสียอะไรเยอะแยะหรอกครับภาษี น่ะ อย่าไปคิดว่ามันเยอะมากมาย

ถ้าเราทำให้ถูกต้องทั้งหมด ตามกฎหมายทั้งหมด ยอมเสียภาษีให้ถูกต้อง  ถึงแม้ต่อให้สินค้าเราราคาแพงกว่ากันนิดหน่อย เพื่อชดเชยว่าเราต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง  ก็คิดว่ายังพอจะอยู่กันได้ และ คู่แข่งก็จะลดน้อยหายไปเพราะสาเหตุ ที่เจ้าใหญ่ ๆ ขายได้เยอะ ๆ ติดอันดับหน้าแรก ๆ โดนตรวจสอบโดยสรรพากร แล้ว website เหล่านั้น ก็จะอยู่ไม่ได้ล้มหายตายจากกันไป (เพราะล้มทั้งยืน โดนตรวจสอบแล้วโดนเสียย้อนหลังจนจ่ายไม่ไหว)

จึงอยากเตือนสำหรับ คนที่จะเข้ามาธุรกิจนี้ใหม่ ๆ พยายามทำให้ถูกต้องไว้ดีกว่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องศึกษาเรื่องนี้จริงจังแล้ว  ปีนี้ไม่เช่นเรื่องเล่น ๆ แล้ว คิดว่าน่าจะมีกระทู้ คล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นอีกเยอะพอสมควร เพราะคำว่าไม่รู้ว่า ล้านแปด แล้วต้องจด vat  นี้แหละ

รายรับ 1 ปีครึ่ง ขายได้มากเกือบ 10 ล้านบาท ถือว่าดีที่เดียวครับ

*** สำหรับใครที่เห็นตัวเลข คงไม่มีใครรู้ว่า ว่าจริงๆ แล้ว กำไรดีหรือไม่ดี บางธุรกิจอาจจะกำไรมากก็ได้ครับ สรรพากรคงไม่รู้เหมือนกันครับ เค้าอาจจะเชื่อคุณหรือไม่ก็ได้ โดยปกติกฎหมายกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบคือ
       1. สำหรับคนที่ไม่อยากทำบัญชี เค้าจะไม่สนใจว่ากำไรจริงๆ คุณเท่าไหร่ เช่น กำไร 50% แต่เค้าก็อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 80% เหมือนกัน วิธีแก้สำหรับคนที่มีค่าใช้จ่ายสูงก็คือ ต้องพิสูจน์ครับในแบบที่สอง คือ
       2. หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร ก็คือทำบัญชี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้หักค่าใช้จ่ายได้ไม่จำกัด อาจจะหักค่าใช้จ่ายได้ 90% หรือ 99% ก็ได้ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าต้นทุนมันสูงจริงๆ

*** ประเด็นถัดมาเรื่องจด VAT ยกตัวอย่างว่า บริษัทหนึ่งยอดขาย 10 ล้าน แต่จด VAT เวลาขายของต้องบวก VAT อีกบริษัทหนึ่งยอดขาย 10 ล้านแต่ไม่จด VAT จึงขายสินค้าได้ถูกกว่า กฎหมายจึงต้องกำหนดกติกาไว้ว่า ถ้ารายรับเกิน 1.8 ล้านต้องจด (ถ้าไม่จด ก็ต้องหาทางเลี่ยงเอาครับ เอาเป็นว่า น่าจะมีเยอะที่เลี่ยง แล้วสรรพากรยังตรวจสอบไม่เจอก็เยอะครับ)

*** จดทะเบียนพาณิชย์อิเลคโทรนิค ทะเบียนพาณิชย์ ก็ทำให้สรรพากรมีข้อมูลง่ายต่อการตรวจสอบ (ถ้าไม่จดก็ไม่มีข้อมูล) นอกจากดูดีแล้ว ก็ยังเชื่อได้ว่า น่าจะมีรายได้ดีพอสมควร

*** ธุรกิจ e-commerce กับธุรกิจซื้อขายแบบมีหน้าร้าน แบบห้าง หรือจะเป็นขายสินค้าอะไรก็ตาม ไม่แตกต่างกันครับ มันคือการขายเหมือนกัน แต่วิธีแตกต่างกันเท่านั้น กฎหมายจึงไม่ได้ยกเว้นภาษีให้ แต่อาจมีลดหย่อนให้สำหรับธุรกิจ SME ลองยกตัวอย่างว่า กรณีมีการยกเว้นภาษีการขายสินค้าออนไลน์ ถ้ามีบริษัท Amazon ในเมืองไทย แล้วขายสินค้าได้เป็นพันล้าน ไม่ตัองเสียภาษี คงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเช่นกันครับ

ยอดขาย 10 ล้าน เยอะมากนะครับ
มียอดขายขนาดนี้น่าจะจ้างบริษัทบัญชีดูแลได้แล้วครับ

ปัญหามันก็เริ่มจาก คุณไม่อยากเสียภาษีตั้งแต่เริ่มขายของ ก็เลยปล่อยไว้จนเกิดเรื่อง ถ้าคุณคิดจะเสียซะตั้งแต่แรกเรื่องแบบนี้มันก็จะไม่เกิดขึ้นครับ สพก มีอำนาจเยอะมากนะครับ ถึงขนาดล็อกบัญชีเราได้เลย และกฎทุกอย่างที่บอกมามันก็มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมีครับ

วิธีแก้ไขตอนนี้ เริ่มจากหาสำนักงานบัญชี ที่สามารถเจารจาต่อรองเรื่องนี้ให้เราได้ครับ พร้อมกับหาเอกสารค่าใช้จ่ายย้อนหลังเตรียมเอาไว้ เช่นบิลซื้อของ บิลค่าส่งสินค้า ค่าแรงคนช่วยงาน ค่าเวปไซค์ ... และก็เริ่มวางแผนภาษีสำหรับอนาคตได้เลยครับ ว่าจะเอาแบบไหน จะเข้า VAT ทำภาษีซื้อภาษีขายส่งทุกเดือน หรือว่าจะ เปิดกิจการใหม่ทำแบบไม่เข้า VAT แต่ไม่เกิน 1.8 ล้าน/ปี ทั้งหมดนี่ปรึกษาสำนักงานบัญชีได้เลยครับ

ถ้าเข้า VAT แล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆเกี่ยวกับบัญชีเพิ่มมา เช่น ค่าทำบัญชีทุกเดือน ค่า VAT ส่วนต่างที่ต้องจ่ายทุกเดือน และยังมีงานที่ต้องทำทุกเดือนด้วยคือ ต้องออกบิล VAT สินค้าที่ขายไปเพื่อนำส่ง VAT ทุกเดือน ต้องทำ Stock สินค้า รับเข้าขายออก เหลือเท่าไร ให้สามารถตรวจนับได้ ทั้งหมดนี้ทำมือยากมากครับสำหรับคนที่ขายปลีกเยอะๆ เอาแค่เขียนบิล VAT วันละ 20 ใบคุณว่าจะใช้เวลากี่นาที ทำด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปก็ต้องลงทุนเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายอีก

พูดถึงเรื่อง VAT แล้วปวดหัวครับ ถ้าคุณอยู่ในสถานะ VAT แล้ว ซื้อของมาจากร้านเดียวกัน คุณต้องจ่าย 107 แต่หลายๆเจ้าที่ไม่เข้า VAT จ่ายแค่ 100 ถึงตามระบบคุณจะเอา 7 บาทไปหักออกได้ แต่ราคาสินค้าคุณก็จะสูงกว่าเจ้าอื่น 7 บาททันที เหนื่อยนะครับ ถ้าจะยอมลดราคาให้เท่าเจ้าที่ไม่เข้า VAT เท่ากับกำไรหายไป 7 บาททันที การหาตลาดการหาลูกค้าคุณจะเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ เพราะบ้านเราคนขายต้นทางหรือโรงงานผลิตสินค้ายังเลี่ยง VAT กันเยอะ มันเป็นช่องว่างทางกฎหมายให้กิจการเล็กๆได้เปรียบกิจการใหญ่ๆ แต่ถ้าคิดจะโตคิดการใหญ่ ก็ต้องเข้าระบบครับ ร้านโชวห่วยทั่วไปเขารับเงินสด เลยสามารถเลี่ยงตรงนี้ได้ ยื่นรายการไปก็ตรวจสอบได้ยากมาก แต่ร้านเวปไซค์แบบโอนเงิน เลี่ยงยากครับบัญชีมันฟ้องตัวเอง

ทุกอย่างเจรจาได้ครับ

เสียภาษีเป็นหน้าที่ของคนดี
แต่ผมอยากเป็นคนเลวฮะ :wanwan004:

ตายๆ.......ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ  :wanwan010:

ยอดขายเยอะขนาดนี ต้องเปิดเป็นบริษัทครับ
ถ้าเปิดเป็นบริษัทจะหักค่าใช้จ่ายได้ 70% - 80%

รายได้เยอะขนาด แล้วยื่นเป็นภาษีบุคคลธรรมดา หักลดหย่อนภาษีได้นิดเดียว ก็โดนภาษีอ่วมครับ

กำลังเริ่มคิดที่จะทำ หยุดก่อนเลย  :wanwan004:

ตายครับเจอแบบนี้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าตอนตั้งราคาขายสินค้าควรเผื่อภาษีเข้าไปด้วย
อย่ามัวเพลินกับการแข่งขันกันตัดราคากับคู่แข่ง เดี๋ยวจะเข้าเนื้อได้

 :wanwan019:

เปิดเป็นนิติบุคคล

เวลาซื้อของมาขายต้องเอาแบบมี VAT เพื่อให้ VAT ซื้อกับ VAT ขายมันหักล้างกัน

ผมก็เจ็บมาเยอะ

อ่านแล้วน่ากลัว

ขอบคุณครับ
ไม่รู้เลยจริง ๆ ดีที่ยังไม่ทำธุรกิจซื่้อขาย
 :wanwan017:

ผมเองก็ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะครับ ท้อแล้วแต่อย่าถอยนะครับ สู้้ :wanwan003:

ขอบคุณครับถึงเวลาต้องยื่นอีกรอบแล้ว  :P :P

ตอนที่ผมโดนนี่ ผมเคยคิดหาทางออก เช่น พยายามไม่ให้เกิน 1.8 ล/ปี (อยู่ไม่ได้อะเหนื่อยฟรี)  อีกทางให้มันได้เยอะ ๆ กำไรเยอะขึ้นโดยเพิ่มราคาเข้าไปให้ลูกค้ารับภาระ (มันยากกว่าเดิมซะอีก)

สรุป ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าให้ถึงเกณฑ์ VAT แล้วชำระภาษีแบบ ภงด. ดีที่สุด แต่ถ้าอยากขยายกิจการหรือมันโตมาก (ในกรณีที่เราเป็นแค่ SME เล็ก ๆ) ผมแนะว่าให้ซอยธุกิจเป็นย่อยๆ แบ่ง ๆ กันไป ผมว่าคุณคงไม่ได้อยู่เพียงลำพังโดยไม่มีครอบครัวหรอกนะ ^^ เป็นวิธีที่ไม่ได้หนี แต่เป็นการเลี่ยงการเสียมากเกินความจำเป็น โดยสุจริต  

ปล. ผิดพลาดประการใดขออภัย สามารถลบได้เลย

เห็นด้วยครับ

คิดแบบนี้อยู่เหมือนกันครับ
แต่ในกรณีที่ ผมต้องโชว์บัญชีหน้าเว็บ
แบบนี้ ผมต้องเปลี่ยน เลขบัญชี เพื่อสลับทุกวันไหมครับ และไปยื่น
หรือว่า บัญชี A ขึ้นหน้าเว็บไปเลย จนครบ 1.8 หรือน้อยกว่านั้น
และ เอาบัญชี Bขึ้นมาแทน  พอBเต็มก็ Cขึ้นมาแทน

แล้วบัญชีที่เต็มแล้วก็ดองไว้ จนกว่าจะครบปีใหม่ ถึงเอามาวนอีก
แบบนี้จะผิดกฏหมายไหมครับ (สอบถามผู้รู้้ด้วยครับ) :wanwan017:

อยากทราบในส่วนนี้ ถ้้ามีผู้รู้ท่านไหนผ่านมา รบกวนช่วยชี้แนะด้วยนะครับ :wanwan017:

การเสียภาษีเป็น "หน้าที่" น่ะครับทุกคนต้องทำ
การบอกว่าไม่รู้เรื่องภาษี ไม่สามารถนำมาใช้ปฎิเสธได้ทุกกรณีเพราะ ทุกคนต้องรู้กฎหมาย (ถึงมันจะไปแอบออกมาตอนไหนก็ต้องรู้)


กรณีของคุณเนี่ยมีชื่ออยู่ที่สรรพากรแล้ว อย่าพยายามเลี่ยงแบบนี้เลยครับ โดนตรวจเจอว่าพยายามเลี่ยงภาษี จะสาหัสไปกว่านี้อีก

แล้วใครทีแนะนำว่าเปิด หจก. เปิดบริษัท เพื่อกระจายรายได้น่ะ คิดผิดน่ะครับ เวลาสรรพากรเขาคิดว่ามีรายได้เกิน 1.8 ล้านไหม เขาดูที่นิติบุคคลเลยครับ ไม่ได้ดูที่จำนวนบุคคลใน หจก.นั้น

พ่อค้าชาวยิวกำลังนั่งคุยกับเพื่อนพ่อค้าชาวจีน

พ่อค้ายิว : ปีนี้คุณได้กำไรเท่าไหร่?
พ่อค้าจีน : ปีนี้ผมกำไร 5 แสนเหรียญ แล้วคุณล่ะ?
พ่อค้ายิว : แค่ 4 แสนเหรียญเท่านั้นเอง
พ่อค้าจีน : 555 สงสัยเรื่องชาวยิวค้าขายเก่งจะเป็นราคาคุยซะละมั้ง
พ่อค้ายิว : กำไรของคุณหักภาษีหรือยังครับ?
พ่อค้าจีน :  :wanwan010:

ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้ครับ เราขายอะไรก็บวกไว้ก่อนเลย อนาคตเผื่อโดนเรียกจะได้ไม่ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า

มัน จะรอดด้วยวิธี ไหน กัน ครับ   เพราะ อย่างไร ทุกบัญชี ก็บัญชีคุณเอง  เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขเดียวกันทั้งหมด  ต่อให้ คุณเอาคนในบ้านมาเปิด เลขที่บัญชีใหม่ คนละชื่อ กัน ก็เถอะ website ที่อ้างอิงรายได้ มันก็ชื่อ website เดียวกับ แล้วมีเหรอ สรรพากรจะไม่รู้

ไม่ใช่ครับในกรณีนี้หมายถึง จดแบบ ห้างหุ้นส่วนครับ
จนท. เค้าก็แนะนำมา แต่ผมงงในแนวทางในการ ปฏิบัติเท่านั้นเองว่า จะต้องเอาบัญชีขึ้นโชว์ หรือสลับยังไง

ขอบคุณครับ มีวิธีแก้ไขอย่างไรก็แนะนำด้วยนะครับ

เป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ  ก็เสียใกล้เคียงเดิม เนื่องจาก คุณมีแหล่งที่มาของรายได้ จากทางเดียว ไม่ได้มีหลายทาง

แต่
ถ้าเป็น ห้างหุ้นจำกัด  ก็สามารถเสีย น้อยลงแต่ มีหน้าที่เสียภาษีนิติบุคคลเพิ่ม ใน อัตราของ sme   แล้ว คุณก็รับเงินเดือนจาก ห้างหุ้นส่วนในฐานะ หุ้นส่วนผู้จัดการ  คุณก็เสียภาษีจากฐานเงินเดือน ของคุณอย่างเดียว  แล้ว ตัวห้างหุ้นส่วนจำกัด  ก็เสียภาษีในนามนิติบุคคลเฉพาะกำไร หลังหักรายจ่ายแล้ว ซึ่งถ้าแสดงผลขาดทุน ก็ไม่เสียภาษีนิติบุคคล  แล้ว ในส่วนของ vat คุณก็เสียเฉพาะ vat ขายหักด้วย vat ซื้อแล้ว

คนที่จะขายของแบบมี vat ได้ ก็คือผู้ที่มีหน้าที่ออก vat นะคะ ไม่ใช่ว่าสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำได้
ตรงนี้ต้องไปดูที่ตัวกฎหมายว่า ใครบ้างที่มีหน้าที่ออกภาษีมูลค่าเพิ่ม

ถ้าขายของแบบเล็กๆน้อยๆ แนะนำว่าเวลาซื้อของพยายามขอบิลที่มีหัวร้านค้า
ถ้าไม่มีเราก็ทำใบรับเงิน ให้เค้าเซ็นรับตอนได้เงินจากเราค่ะ
ที่สำคัญเราต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านเราแยกต่างหาก เขียนแต่ที่เป็นค่าใช้จ่ายของร้านอย่างเดียว
เวลาไปซื้อของตามห้าง ปั๊ม หรือทุกที่ที่สามารถออกใบกำกับภาษีได้ เราก็ขอแบบเต็มรูปแบบไปเลย
โดยให้เค้าลงหัวบิลลูกค้าเป็นชื่อเราเลยค่ะ เป็นชื่อบุคคลสามารถทำได้นะคะ
แต่เราต้องดูด้วยว่าของที่ซื้อเกี่ยวกับกิจการเราหรือไม่ พวกค่าใช้จ่าย ของใช้ส่วนตัวอะไรพวกนี้ไม่ได้นะคะ
แล้วเสตทเม้นท์กับรายการสั่งซื้อควรสัมพันธ์กันค่ะ เพื่อที่ยืนยันว่ารายได้มาจากไหน
เราจะถ่ายเอกสารแล้วมาเขียนเลยว่าค่าอะไร (เงินเดือนโด้ดท้ายบัญชีระบุอยู่แล้วว่าเป็นเงินเดือนไม่ต้องกังวลค่ะ)
อย่างลูกค้าโทร.สั่ง เนื่องจากไม่มีใบสั่งซื้อ เราก็จะเก็บใบเสร็จตอนส่งของไปรษณีย์ไว้เป็นหลักฐานว่าคนที่สั่ง โอนเข้า ส่งแล้ว
บัญชีจะได้สมดุลกันค่ะ
เอกสารการซื้อขายบัญชีเก็บไว้ประมาณ 5 ปี อย่าเพิ่งทิ้งค่ะ ตรงนี้เราไม่แน่ใจว่ากฎหมายระบุไว้ว่ากี่ปีเหมือนกัน

กรณีจขกท. แนะนำให้จดทะเบียนเป็น บจก. จ้างบริษัทบัญชีเค้าจะมีคำปรึกษาให้เราค่ะ
เวลามีปัญหากับสรรพากร ก็จะเคลียร์ให้เราได้ หากรายได้เยอะขนาดนี้ ถ้าคุณไม่จด อนาคตอาจจะเสียมากกว่าเดิมนะคะ
ขอให้ปัญหา อุปสรรคทุกๆอย่าง ผ่านไปด้วยดีค่ะ

**เรื่องบัญชี เราต้องศึกษาด้วยตัวเองค่ะ ถ้าคิดจะขายของ มีรายได้ ก็ต้องทำใจว่ามันเป็นหน้าที่
วิธีเลี่ยงภาษีถ้าทำได้ ก็อย่าพลาด เพราะถ้าพลาดก็เหมือนดาราพลอยน่ะค่ะ โดนกันเป็นแถบๆ
ทางที่ดี เราศึกษาเรื่องนี้ แล้วหาวิธีที่จะทำให้เสียน้อยที่สุด
อย่าเครียดค่ะ ไม่งั้นธุรกิจยักษ์ใหญ่ในประเทศเค้าคงอยู่กันไม่ได้หรอก จริงมั้ย
สู้ๆค่ะทุกคน  :'(

+1 ครับขอบคุณมากๆครับ

เข้ามาเก็บความรู้     วุ่นวายชิหาย  :wanwan004:  พอดีไม่ได้เรียนบัญชีมา
ทำแต่Affiliate, CPAเว็บนอกซะส่วนใหญ่  เจอแบบนี้มึน   :wanwan012:
หลายๆคอมเม้นมีประโยชน์มากมาย     คุณnopchan ตอบได้หายข้องใจ หลายข้อเลย  :wanwan017:  ++  ขอบคุณครับ 

คุณ yok38_ns

อยากรู้ว่าตอนเค้าตรวจสอบ ในเอกสารขอตรวจสอบ ระบุว่า ขอตรวจ "บัญชีเงินฝากธนาคาร" ใช่หรือไม่
หรือว่า เป็นการคุยด้วยวาจา ว่าขอตรวจ บัญชีเงินฝากธนาคาร

เอาเป็นว่า ปกติเค้าตรวจสอบบริษัท เค้าจะขอดูแต่บัญชีเท่านั้น ไม่เคยขอดู Statement เลย เคยส่งให้ก็ไม่เอาด้วยครับ

คือจะบอกว่า บัญชีเงินฝากธนาคาร ปกติแล้วมันเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ใครก็เข้าไปดูไม่ได้ครับ สรรพากรก็ขอจากธนาคารไม่ได้
เว้นแต่ใช้อำนาจศาลครับ

ขอบพระคุณมากครับ ได้ความรู้หลายๆอย่างเลยครับ น่ากลัวจริงๆ 7% ปลิดชีวิต  :'(

 :'(
พูดไม่ออก เพราะถ้าเสียขาดทุนย่อยยับ

ได้ความรู้เยอะเลยครับ..

เปลี่ยน เลขบัญชีทุก 6 เดือนครั้ง ได้ไหมอะ ครับ  :wanwan013:

ยังสงสัยอยู่ว่า หากจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นชื่อเรา

แต่เลขบัญชีเป็นชื่อภรรยา จะคิดภาษีเงินได้เป็นของคนไหน

ที่นี่ประเทศไทย ประเทศที่มีทางสีเทาจางๆ ให้เราเลือกเดินได้เสมอ
ของแบบนี้ไม่น่ากลัว มันมีทางออกอยู่
แค่เรียนรู้ และเข้าให้ถูกทางเท่านั้นเอง

อย่าเกรงกลัว อย่าละอายที่จะหาทางให้เราเสียภาษีให้น้อยที่สุด
ใครๆเค้าก็ทำกันทั้งนั้น บริษัทเล็กใหญ่ นักการเมือง มีทั้งนั้น

เงินภาษีที่คุณเสียไปนั้นมันจะวนกลับมาหาสังคมกันซักกี่บาทกัน
กว่าจะผ่าน ข้าราชการโง่ๆ นักการเมืองจอมตะกละ

ผมยอมเลี่ยง แล้วพอมีเหลือผมก็จ่ายคืนสู่สังคมโดยตรงเลยดีกว่า

เจ๋งแฮะ กล้าที่จะประกาศแบบชัดเจนเลยแบบนี้

เอาใจช่วย จขกท ละกันครับ

และขอบคุณที่เล่าให้ฟัง

เป็นเคสที่น่าสนใจครับ แต่หากเราวางแผนภาษีดี ๆ ก็สามารถลดหย่อนไปได้พอสมควร เพราะภาษีเป็นหน้าที่ของทุกคนที่มีรายได้ตามกฎหมายพีงปฎิบัติครับ

ปัจจุบันสามารถยื่นแบบ และคำนวนภาษีออนไลน์ได้แล้ว

เสียภาษีออนไลน์ (http://creativeshooter.com/softwares-applications/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%8C/)

มาช่วย Confirm ครับ สรรพากรไม่มีสิทธิ์เข้าไปดู Statement ของเราครับ ที่เค้าพูดเพียงแค่ขู่เท่านั้น ว่าสามารถดูได้ในทันที

เว้นแต่
- ขออำนาจศาล หรือทำหนังสือไปยัง Bank
- ให้เจ้าของบัญชีนำไปชี้แจง

LIKE 1 ล้านครั้งครับ โดนมาก

นอกเรื่องนิดนึง ปีชง ที่หน้ารแกๆพูดถึง เท่าที่รู้มันไม่ได้ชงกันทุกคนหนิครับ มีไม่กี่คนเท่านั้นตามจริง ทำไมพูดเหมือนมันชงกันทั้งโลกละครับ

ภาษีไม่พอเก็บก็ขึ้นภาษีจาก 7% เป็น 10-20% แบบทางฝั่งตะวันตก ข้าวของเครื่องใช้จาก บวก 7 เป็น 10 เฮ!!

ภาษีนำเข้าส่งออก + เพิ่มเข้าไปอีก เฮ!!

หักภาษีจากเงินเดือน 10-37% (รายได้เกิน 150,000 ขึ้นไป) คิดเป็น 40%+ แบบอเมริกา เฮต่อ!!

กู้หนี้ยืมสินมาพัฒนาโครงการประเทศเพราะเงินในประเทศไม่พอ

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น.... ?? ให้คิดเหมือนทำบุญ ให้ 10 บาท กับให้ 1000 บาท ก็บุญเท่ากัน แต่ให้ไปเสร็จมานั่งคิดนั่นนี่ว่าเงินทำบุญจะไปไหร่ยังไง จะ 10 หรือ 10000 บาท บุญก็ไม่ได้แถมมานั่งจิตตก

โทษรัฐบาลอะไรไม่ได้ ต้องโทษที่ตัวเราทุกคน โกงกันตั้งแต่รากหญ้า โกงข้อสอบงี้ตอนเด็ก ๆ ขนาดทำอเมซอนยังพลิกแพลงให้มาจ่ายเงินแบบ DD ได้ เมื่อวานไปทำบุญมาก็เจอคนสูบบุหรี่เสร็จทิ้งขี้บุหรี่ในวัด แซงคิวยกครอบครัว ดังนั้นไม่ต้องโทษใครอะไรทั้งนั้น โทษตัวเราเองดีที่สุด นักการเมืองจะชั่วจะดีมีแค่หยิบมือ มันไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนไทย 70 ล้านคนทั่วประเทศได้หรอก

ขอบคุณมาก อ่านเพลิน และเป็นประโยขน์มาก ๆ เลย

ขอบคุณมากๆค่ะ กำลังจะไปจ่ายอยู่พอดี

คนจริง  :wanwan004:
แต่ก็เห็นด้วยครับ   ภาษีของประชาชน    หลายๆส่วนไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เลย
ส่วนมากนำไปใช้กับเรื่องไร้สาระหลายๆหมื่นล้าน   เพื่อสร้างประชานิยม   แค่นั้น  หวังผลในอนาคต

สอบถามคะ

"แล้วกรณีเราเป็นตัวแทนของบริษัท ซึ่งบริษัทจดทะเบียน และเสียภาษีในสินค้านั้นมาแล้ว

แล้วเราเอามาจำหน่ายต่อ เราต้องเสียภาษีอีกรอบไหมอ่ะ"

สงสัยมากเลยคะ ขอคำตอบด้วยนะคะ ^^ ขอบคุณคะ   :wanwan003:

บริษัทเขาเสียของเขาไปแล้ว

แต่คุณยังไม่เสียของคุณค่ะ ^^

ต้องเสีย ตามปกติ ครับ  ถ้าให้ชัดเจน ระบุ นิดหนึ่ง ว่าคุณเป็นรูปบุคคล หรือ นิติบุคคล มี จด vat หรือไม่  และ ตอนซื้อมา มี vat หรือไม่  ก็จะบอกรายละเอียดได้ดีมากขึ้น

เสียภาษีเยอะจัง  :wanwan044: :wanwan044: :wanwan044:

ตอนซื้อมาให้ทางบริษัทออกใบกำกับภาษีให้คะ .. รวม Vat มาแล้ว  ... โอ๊ย คิดแล้วปวดเฮดๆๆๆ ^^

ถ้าคุณเป็นนิติบุคคลคุณก็ได้ภาษีซื้อเพื่อนำไปลดภาษีได้นะ อีกอย่างยังสามารถไปบวก 7% เพิ่มเติมได้อีก

ถ้าเป็น รูปบุคคล  ตัว vat ที่เสียไป เคลมคืนไม่ได้  และ ก็ยังต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราก้าวหน้า ยื่น สองรอบต่อปี คือ ครึ่งปี ยื่น ภงด. 94   และ อีกรอบ ต้นปี ถัดไป ภายในเดือนมี.ค. ยื่น ภงด. 90  คิดภาษีในอัตราก้าวหน้า ยอดเงินสุทธิ์ หลังหักลดหย่อนแล้ว ไม่เกิน 150,000 บาท ไม่เสียภาษี (ทีสำคัญอย่าให้ยอดทั้งปี ยอดขายรวมอย่าเกิน 1,800,000 บาท ไม่งั้นโดนบังคับจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ถ้า เป็น นิติบุคคล  ถ้า เป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ก็ตามเมื่อกี้ เหมือนหรือคล้ายกับ บุคคลธรรมดา

ถ้าเป็น นิติบุคคล บริษัทจำกัด หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ก็ ควรไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะดีกว่า เพราะ vat สามารถเคลมคืน หรือ เครดิตภาษี หักกับภาษีขายได้ เสียเฉพาะส่วนต่างภาษีขาย หัก ด้วยภาษีซื้อ  และ เสียภาษีในรูปนิติบุคคล  ซึ่งน่าจะได้ใน rate sme อยู่แล้ว   แต่เรื่อง vat ก็ ต้องนำส่งทุกเดือนเป็นปกติ เว้นแต่เดือนไหนภาษีซื้อสูงกว่า ก็ไปเครดิตภาษีเอาไว้ไปหักภาษีขายในเดือน ถัด ๆ ไป ได้

การจดทะเบียนนิติบุคคล นี่เราต้องอยู่ในรูปแบบบริษัทใช่ไหมคะ แล้วเราต้องมี พนง. บัญชีประจำด้วยไหม

คิด +++ ---- แล้ว ค่าใช่จ่ายบานเลยอ่ะ ... น่ากลัวจังเลยอ่ะคะ ^^ ไม่อยากโดนเรียกเลย ยังงั้นต้องขายให้ไม่เกิน 1800000 ต่อปี หรือ เดือนละ 150000 ทำยากมากๆ
เ

ถ้า นิติบุคคล บิลซื้อมี vat ก็ควรจด บริษัท ครับ (ถ้าจดแล้วเลิกยากนะครับ พิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดให้ดีก่อน)  แต่ถ้าเกินล้านแปดแสนบาทต่อปี อย่างไร ก็เลี่ยงไปทางอื่น ๆ ยากมาก ๆ

ตรงทำบัญชี จ้างสำนักงานบัญชีทำ ไม่ต้องจ้างพนักงานเองได้ครับ คงประมาณ สัก 500 ถึง 1000 บาทต่อเดือนขึ้นอยู่กับว่ามีรายการเอกสารมากน้อยแค่ไหน

นิติ ดีนะผมว่า มันเป็น รายได้ -> ค่าใช้จ่าย -> ภาษี  สีแดงนี่หัวใจสำคัญสำหรับผมนะ

ส่วนค่าใช้จ่ายมันพลิกแพลงอะไรได้อีกพอสมควร (:wanwan007:)  บัญชีก็จ้างเอาเดือน 3k

ปัญหาเท่าที่เจอมาคือขั้นตอนในการนำเข้าเพื่อต้นทุนที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ทำให้ไม่สามารถเติบโต (เข้าระบบ) หรือเกิดการกลัวการเสียภาษีได้

ส่วนตัวผมโดน 40(2) กับ 40(8) ด้วย ก็ปรับตัวกันไปครับ   :wanwan011:

การจะเลี่ยงภาษีอะไรก็ตามแต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมือง เพราะเราโกงกินบ้านเมืองโดนการเลี่ยงไม่จ่ายภาษีทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของพลเมือง เพราะคิดว่านักการเมืองมันโกงกินแต่จริง ๆ แล้วนั่นคือข้ออ้างในการไม่เสียภาษีหรือไม่อยากเสียเงินให้ชาติของเรามากกว่า ทั้งที่หน้าที่ของเราคือเสียภาษีอันไหนลดหย่อนอะไรได้ก็ทำการลดหย่อนไปตามระเบียบ เราจ่ายภาษีไปแล้วก็คือทำหน้าที่ของเราจบแล้ว ต่อจากนั้นค่อยไปเพ่งเล็งว่านักการเมืองเอาภาษีเราไปทำอะไรก็ค่อยว่ากัน การที่เราเลี่ยงไม่จ่ายก็ไม่ต่างจากคนที่เลี่ยงภาษีไม่จ่ายและไม่ได้กลับประเทศคนนั้นสักกระนิดเดียว

ขนาดเรายังไม่อยากทำหน้าที่พลเมืองของประเทศชาติ แล้วมันต่างอะไรกับนักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง?? แบบนั้นเราก็ไปว่าเขาไม่ได้เพราะมันเข้าสุภาษิต "ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง"

แก่นคือทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด หน้าที่พลเมืองที่ดี ทุกคนต้องเสียภาษีก็เสียไป ดิ้นให้เสียน้อยก็ทำในกรอบที่กำหนด ส่วนเรื่องตรวจสอบด่าตามล้างนักการเมืองที่ออกนโยบายเฮงซวย เอาเงินภาษีไปผลาญอะไรก็เป็นอีกหน้าที่ที่ต้องทำแต่อย่าเอาสองเรื่องมาปนกัน นักการเมืองเอาภาษีกูไปผลาญเล่น กูไม่จ่ายภาษีดีกว่า อย่างนี้เรียกว่าตรรกูเพราะสุดท้ายแล้ว ตัวเองก็ไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ด่าอะไรไปมันก็เข้าตัวหมด

การย้ายตัวเอง  จากนอกระบบ เข้ามาในระบบซะ ทุกอย่าง มันจะหาทางออกได้ง่ายขึ้น อีกเยอะ ... และ ก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีก ก็มาบริหารยอดต่าง ๆ ให้เสียภาษีเท่าที่จำเป็น มันมีเรื่องค่าใช้จ่าย มีเรื่องลดหย่อน ต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย  ดีกว่าต้องระวังว่าจะเกินล้านแปดแล้ว หรือยัง  กลายเป็นว่าเราก็ไม่เติบโตทางธุรกิจ สักที

แต่ก็แปลกนะครับ ช่วยประเทศชาติได้ครับ แต่ตัวเอง ไม่มีกิน

อย่าง สมมุติ ต้นทุน 9 ล้าน ขายได้ 10 ล้าน
เสียไป 7 แสน กำไร 1 ล้าน - 7 แสน ได้แค่ 3 แสน เท่ากับว่า ปีนึงได้ 3 แสน เฉลี่ยแล้ว เดือนหละไม่เท่าไรเอง


แต่เราก็จำเป็นครับ

ปัญหา หลัก ๆ เดี่ยวนี้ คือ ถ้าเข้าระบบตั้งแต่ ต้นทาง  เวลาคำนวณ ต้นทุน เป็น จะ เป็น


ซื้อมา  9,000,000 + ภาษี (7%)  630,000 = 9,630,000 บาท
ขายไป 10,000,000 +  ภาษี (7%) 700,000 = 10,700,000 บาท

นำส่ง vat  เท่ากับ  700,000 - 630,000 = 70,000 บาท 

แต่ถ้า ต้นทาง เลี่ยงมาตั้งแต่ต้น ไม่นำส่ง 630,000 กับสรรพากร   แล้ว ปลายทางต้องนำส่ง 700,000 บาทเต็ม ๆ โดยไม่มีภาษีซื้อมาหัก  กรรมก็ตกกับปลายทางที่โดนตรวจนั่นแหละ  ทุกวันนี้เลยกลายเป็นพอหาบิลซื้อไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยากเปิดบิลขาย เพราะไม่อยากเสียเต็ม ๆ รับกรรมไปเต็ม ๆ

แต่ พอปลายทางโดนตรวจสอบ และ ให้เสียภาษี ก็เดือดร้อนล่ะ ทำอย่างไร ให้ซื้อของมาแล้วมีบิลถูกต้องทุกรายการได้ นี่สิปัญหาโรคแตก  :P

ไม่ค่อยว่าเลยไม่ได้เข้ามาตอบเลยครับ ขอเป็นข้อๆละกันครับ


มีเป็นรายลักอักษรมาเลยครับว่าขอเลขนี้ๆๆๆ (ละเอียดยิบครับ)



ตามหลักแล้วเอาตามผู้ที่มีเงินได้ครับ
ผู้ แฟนคุณ ถ้าคุณไม่รับผิดชอบแฟนคุณก็ต้องเสียครีบ
แต่ถ้าไปชี้แจงว่า คุณใช้บัญชีแฟน ก็สามารถคุยกับ สรรพากร ให้รับทราบได้ว่า คุณยินดีจ่ายภาษีแทนแฟน



โดนใจครับ +1



ก็แค่บ่นไปเรื่อยๆครับ
ปีนี้ผมก็ชงครับ (โอวัลติน ทุกเช้าเลย)

คิดมากปวดหัวนะครับท่าน :wanwan016:



ขอบคุณครับมองเห็นภาพเลย




ประมาณนั้นครับ




ใช่ครับปัญหาโลกแตก
สินค้าที่ผมขาย เวลาไปซื้อเดินซื้อครับ
ไม่มีร้านไหนที่จะออก VATให้ได้เลยครับ
ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะยังไง เดี๋ยวต้องวิ่งไปหา บ.บัญชีปรึกษาอย่างจริงจังแล้วครับ



ยังไงผมต้องขอโทษทุกคนที่ช่วยแนะนำ และ เสนอข้อคิดเห็นนะครับ
ท้อมา 2-3 วันครับ จนวันนี้รู้สึก ท้อไปทำไมว่ะ เครียดแล้วได้อะไรว่ะ
สู้สิ ต้องสู้ แล้วสุดท้ายก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิมทุกวันโดยที่ไม่เครียดแล้ว

แค่คำว่าสู้ไหม ถามตัวเอง คำตอบมันก็คือ สู้
สู้แล้วจะกลัวอะไร ตอบเลยครับตอนนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว
ภาษีถ้าเกิดคำนวนออกมาแล้ว ลดหย่อนแล้วยังเยอะอยู่ ก็ถือว่าบทเรียนราคาแพงไป
หลังจากนี้จะวาง แผนให้ดีๆ ไม่เลี่ยงหรอกครับ ยินดีจ่าย แต่สำหรับผมก็อยากจ่ายให้มันเหมาะสมครับ
เพราะกำไรไม่ได้เยอะอะไร อยู่ๆเรียกมาครึ่งล้านกว่า ฟังทีแรก โคต_ร ช๊อก :o