ThaiSEOBoard.com

อื่นๆ => Cafe => ข้อความที่เริ่มโดย: โก๊ะกัง ที่ 20 กันยายน 2011, 12:01:47



หัวข้อ: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: โก๊ะกัง ที่ 20 กันยายน 2011, 12:01:47
ขออภัยครับ เพื่อความไม่แตกแยก หรือบานปลาย ขอลบออก เพื่อพระพุทธศานาสืบต่อไป  :wanwan017: :wanwan017:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: หมีกระป๋อง ที่ 20 กันยายน 2011, 12:07:40
หยาบคายอะรับไม่ได้

แล้วพอมาว่าพระอาวุโสอีก อยากจะพูดเลยว่า

"มารศาสนา"


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: ken2 ที่ 20 กันยายน 2011, 12:09:07
หลายกระทู้แล้วมั้ง ไม่รู้อันเดียวกันมั้ย

http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,225286.0.html

http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,225274.0.html


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: bananaoxy ที่ 20 กันยายน 2011, 12:17:33
ดูเมื่อเช้าแล้วปลงครับ


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: meq ที่ 20 กันยายน 2011, 12:18:41
แย่มากๆ


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: Haniba55 ที่ 20 กันยายน 2011, 12:39:33
ไอ้นี้มันไม่ใช่ พระ แล้ว
แค่คนชั่วๆ เอาผ้าเหลืองมาห่มเท่านั้น
พวกมารศาสนา



หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: pyramide ที่ 20 กันยายน 2011, 12:43:58
มารศาสนาชัดๆ ขนาดแม่ชีกำลังตักข้าวอยู่แท้ๆ  ทำไมไม่มีใครจัดการ :'(


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: isaiguni ที่ 20 กันยายน 2011, 12:53:50
เฮ้อ นี่หรือเมืองพุทธ


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: tanawat30 ที่ 20 กันยายน 2011, 12:57:55
ทำใจไม่ขอวิจารณ์   :wanwan023:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: dhammarong ที่ 20 กันยายน 2011, 12:59:04
เอ่อ...พูดไม่ถูกครับ  :wanwan012:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: prince_ice ที่ 20 กันยายน 2011, 13:03:25
ทำไมญาติโยม ถึงนิ่ง?


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: chatgolf ที่ 20 กันยายน 2011, 13:04:55
ทุกวันนี้  จะทำบุญใส่บาตร  ผมกลับไปทำที่บ้านเท่านั้น ที่ขอนแ่นเท่านั้น
   


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: ่jojoekung ที่ 20 กันยายน 2011, 13:48:57
 :wanwan003: ผมอยากให้ทุกคนดูด้วยวิจารณญาณครับ บางครั้งการกระทำบางอย่างอาจไม่สามารถแสดงถึงจิตใจส่วนลึกได้ ดั่งคำพูดที่ว่าหนึ่งภาพสื่อได้หนึ่งพันความหมาย ในส่วนตัวผมก็ได้ใกล้ชิดกับวัดวามากตั้งแต่เด็ก  ได้ใกล้ชิดกับธรรมมาไม่มากก็น้อย ผมว่าอย่าเพิ่งไปตีความในแง่ไม่ดีเกินไป ในมุมมองของผมนี่คืออุบายธรรมมะ ว่าการไปวัดอย่าไปหวังอะไรมาก เช่นหวังได้โชคลาภเงินทองเป็นต้น
ซึ่งพระอรหันในอดีต ที่ทำท่าทางที่ทำให้คนไม่ศรัทธาแบบนี้ก้อมากเช่น หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นพระในสายของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์ ท่านก็ได้ประปฏิบัติสอนทำแบบโหดกว่านี้เยอะ สามารถอ่านประวัติของท่านเพิ่มเติ่มได้ ตามลิ้งด้านล่างครับ
http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=308:2010-03-24-11-14-10&catid=60:-lite-voyage&Itemid=59
หรือ
www.songpak16.com/11-lungputongrat.pdf (http://www.songpak16.com/11-lungputongrat.pdf)

ฉะนั้นเราจึงไม่ควรไปโพสดุด่า เราต้องหาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนให้ดีเสียก่อน

เด็กวัดป่า: http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94/110312755736461



หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: postmunnet ที่ 20 กันยายน 2011, 13:54:07
ไม่ขอวิจารณ์ครับ
แต่ขอให้ทุกท่านอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง :P

เราต้องมองหลายๆมุมๆหลายๆด้านนะครับ เห็นคำวิจารณ์แต่ละท่านแล้วทำให้นึกถึงข่าว ครูกับลูกศิษที่ฆ่าตัวตายเลย :P


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: นี่หรือเมืองพุทธ ที่ 20 กันยายน 2011, 14:57:22
เฮ้อ นี่หรือเมืองพุทธ

เรียกผมทำไมหรือครับ   :P


อ่านแล้วก็ปลงๆ กันไว้บ้าง

ขอ quote ข้อความนี้มาให้อ่านกัน

http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,225274.msg3092324.html#msg3092324

อย่าไปวิจารณ์หรือด่าทอพระภิกษุเลยครับ  บาปกรรมและนรกมันอยู่ที่ปากเรานี่เอง

เพราะเรายังไม่รู้ว่าจริง ๆแล้วจิตใจท่านเป็นเช่นไร

สมัยหนึ่งไม่นานมานี้ เคยมีคนวิพากษ์วิจารณ์ท่านพระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมมปันโน ว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์หรอก พูดจาก็

หยาบคาย ด่าคนโน้นคนนี้ และอื่นๆอีกมากมาย

แล้วบังเอิญมีพระรูปหนึ่ง ท่านสงสารจึงกล่าวเตือนว่า เรื่องของพระปล่อยให้พระท่านจัดการเถิด อย่าหาบาปใส่ตัวโดยไม่สมควรเลย

ท่านว่า มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ละอุปนิสัยได้ นอกนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายละได้แต่กิเลส แต่อุปนิสัยละไม่ได้

พระสารีบุตรเกิดเกิดเป็นลิงยาวนานถึง 500 ชาติ บางคราวท่านกระโดดข้าวลำธารด้วยความเคยชิน พระที่เป็นปุถุชนว่าท่านว่าไม่สำรวม

สงสัยคงบรรลุธรรมไม่จริง พระอรหันต์น่าจะสำรวมกาย วาจาใ จ ได้ดี



พระอีกรูปหนึ่งสมัยพุทธกาลชอบด่าคนว่าไอ้ถ่อย ท่านพูดหยาบเป็นปกติ แต่เป็นพระอรหันต์ ละกิเลสได้ เป็นที่รักของมนุษญ์และเทวดาทั้ง

หลาย พระพุทธเจ้าว่าท่านผู้นี้เคยเกิดเป็นพราหมณ์ชาติตระกูลบริสุทธิ์ไม่ปลอมปนสายโลหิตกับใครมาถึง 500 ชาติ ถ้อยคำด่าทั้งหลายนั้น

เป็นความเคยชินท่ีด่าผู้อื่นซึ่งมีวรรณะต่ำกว่าตนอยู่เสมอ(พาหมณ์เขาถือตนว่าวรรณธสูงส่ง บริสุทธฺ์กว่าผู้ใด) เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็ละกิเลส

ได้ แต่ละอุปนิสัยไม่ได้ เป็นความเคยชิน



พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้ใครตำหนิ ดูถูก ดูหมิ่นพระอริยะทั้งหลาย ทั้งกรณีพระสารีบุตร และพระอรหันต์รูปอื่น ๆ เพราะสิ่งทั้งหลายที่คนใน

โลกนับถือว่าดี ว่าเหมาะสม ว่าควรแล้ว ก็เป็นไปเพียงสมมุติเท่านั้น ผู้บรรลุธรรมท่านไม่มีความยึดถือในสิ่งเหล่านั้น ท่านไม่สนใจ ไม่มี

อิทธิพลต่อจิตใจของท่านเลย จะมีก็แต่เพียงอนุโลมตามโลกไปเท่านั้น



เช่นครั้งเลือกพระพุทธอุปปุฏฐาก ท่านก็ไม่เลือกพระอรหันต์ เพราะจะต้อนรับบุคคลให้เหมาะสมกับฐานะเขาไม่ได้ เนื่องจากพระอรหันต์มอง

คนเสมอกันหมด ปัญหาคือคนที่ยังมีกิเลสมักมีความถือตัว คิดว่าข้าเป็นกษัตริย์ ข้าเป็นพราหมณ์ ข้าเป็นพ่อค้าร่ำรวยมาก ทำไมจึงต้อนรับข้า

ไม่สมควรแก่ฐานะ ดังนี้จึงให้พระอานนท์ซึ่งเป็นพระโสดาบันเป็นพระพุทธอุปปุฏฐาก (พระโสดาบันกิเลสยังมากอยู่นะครับ ร้องไห้เสียใจก็

เป็น ราคะโทสะ ยังมีอยู่ แต่ท่านไม่ละเมิดธรรม)



เคยอ่านเรื่อง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านมีเพื่อนอีก 2 รูป คือท่านฤาษีลิงเล็ก กับใครอีกท่านหนึ่งผมจำ

ไม่ได้ ทั้ง 2 รูปนี้หลวงพ่อปานบอกให้ไปอยู่ในป่า ทั้งสองท่านมีอภิณญาแก่กล้า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าเพื่อน 2 คนนี้เก่งกว่าท่านอีกทำ

ฤทธิ์แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหิร เดินดิน ไปนรก สวรรค์ก็ได้ แต่พฤติกรรมส่วตัวจะออกแผลง ๆ ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา เดี๋ญวอยู่

ดี ๆ ท่านอาจจะนั่งเอาหัวทิ่มดินเอาขาชี้ฟ้าเล่นซะยั้งงั้น ชาวบ้านจะแตกตื่น และหมดความศรัทธา หาว่าพระเป็นบ้าเสีย อาจารย์ท่านเลยให้ไป

อยู่ป่า ห้ามเข้ามาอยู่ในเมือง



พระเซ็น ก็มักมีอะไรแผลง ๆ บางองค์ท่านอยู่แบบที่ใครก็คาดไม่ถึง มีรูปหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่  สอนลูกศิษ์ลูกหามามากมาย แต่หาคนตั้งใจ

ปฏิบัติเพื่อละกิเลสไม่ค่อยจะมี อยู่มาวันหนึ่งท่านเลยทิ้งวัด ออกเดินทางไปโดยลำพัง ลูกศฺษ์ก็พากันตามหา ท่านก็หนีเรื่อยไปเพราะเบื่อ

หน่าย จนสุดท้ายไม่มีใครหาท่านพบ จนลูกศิษญ์คนหนึ่งไปพบท่านกำลังขอทานอยู่ ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาดูไม่ได้ ลูกศิษย์อ้อนวอนให้

ท่านกลับวัด ท่านก็ไม่กลับ ลูกศิาย์เลยขออยู่ด้วย ท่านก็ไม่ให้อยู่ ลูกศิษญ์ก็ไม่ไป ท่านเลยบอกว่าถ้าทำตามท่านได้ก็อยู่ได้ แต่ถ้าทำตาม

ท่านไม่ได้ก็ต้องไป จนอยู่มาวันหนึ่งมีขอทานที่อยู่อาศัยใต้สะพานใกล้กันเสียชีวิต ท่านกับลูกศิษญ์ก็ช่วยกันฝัง แล้วพบว่าขอทานคนนี้มี

อาหารที่ตนขอทานมาได้อยู่ชามหนึ่งแต่อาหารนั้นเน่าบูดแล้ว  ลุกศิษย์จะเททิ้งแต่อาจารย์กลับเอามากิน แล้วก็บอกลูกศิษ์ให้กิน ลูกศิย์ก็กิน

ไม่ได้ สุดท้ายท่านบอกว่า เห็นไหมล่ะ เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้หรอก ตกลงลูกศิาษย์ต้องยอมไปจากอาจารย์



พระบางรูปในนิกายเซ็น แสดงปริศนาธรรม ด้วยการตบหน้าอาจารย์  แต่อาจารย์กลับยิ้ม บอกว่าดี ๆ

เป็นการแสดงว่าตนหมดความยึดถือในตัวตนแล้วทั้งศิษ์และอาจารย์


ท่าอาจารย์พุทธทาสของเรา สมัยยังหนุ่มๆ คนก็ยังหาว่าท่านเป็นพระบ้านะ เพราะทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาทำกัน


ผู้ที่บรรลุธรรมนั้นเขาหมดความยึดถือแล้ว  แต่เราปุถุชนนั้นยังยึดนั่นถือนี่อยู่เต็มไปหมด มันเลยยุ่ง


ที่เขียนมายืดยาวนี้ ผมไม่มีเอี่ยวอะไรกับใครเลย แค่อยากเตือนพวกเราว่าอย่าหาบาปใส่ตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงกาลเลย อยู่เฉย ๆดีกว่า


กรณีหลวงพ่อเกษมนั้น เรายังไม่รู้ว่าท่านดีหรือไม่ดีอย่างไร ดังนั้นอะไรที่เราไม่ทราบแน่ชัดก็อย่าไปคาดเดาเลยครับ เกิดท่านเป็นพระ

อรหันต์จริง การด่าว่า บริภาษพระอรหันต์นี่บาปหนักมากนะครับ เพราะท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยสิ้นเชิง

เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับว่าท่านเป็นเช่นไร แต่เราเป็นชาวบ้านผู้ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร ...ไม่รู้ก็เฉยไว้ดีกว่าครับ

ด้วยความรักและห่วงใยครับ



หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 20 กันยายน 2011, 15:01:25
วัดนี้ดังมากค่ะ เดินสายมาถึงเชียงรายเพื่อมาเผยแพร่คำสอน (ดังในทางเสื่อมนะ)


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: Poom Astina ที่ 20 กันยายน 2011, 15:14:14
ก้าวร้าวเกินไปอะ คิ้วก็ไม่ยอมโกน

ดูแล้วแปลกๆครับ


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: bubbleball ที่ 20 กันยายน 2011, 15:15:05
จริงๆความเสื่อมมันก็มีซ่อนอยู่ครับ อยู่ที่เห็นไม่เห็น แสดงออกไม่แสดงออก

จริงๆจะด่าคน หรือ ด่าพระ ก็บาป เหมือนกันครับ

แต่ก็ทำให้ผมสงสัยเหมือนกันว่า ด่าคน กับ ด่าพระ ไหนบาปกว่ากัน

ด่าคนดี กับ ด่าพระไม่ดี ไหนบาปกว่ากัน

หลังๆผมไม่ค่อยเอาสรรพนามหรือรูปลักษณ์ภายนอกมาเป็นตัวชี้วัดสักเท่าไรแฮะ

เอาเป็นว่าบาป บุญ อยู่ที่ตัวเราเองนั่นแหละ สิ่งที่เราเห็น ไม่ชอบใจ เราเอามาแกว่งใจเรา ใจเราก็ขุ่นเอง


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: ่jojoekung ที่ 20 กันยายน 2011, 15:24:29
@คุณPoom Astina ครับลองดูคลิปนี้ให้จบคับแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมท่านไม่โกนคิ้ว
ตามลิ้งค์นี้เลยคับ http://youtu.be/EFWUiaQhPgw


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: veemala ที่ 20 กันยายน 2011, 15:35:01
อ้างถึง
ที่เขียนมายืดยาวนี้ ผมไม่มีเอี่ยวอะไรกับใครเลย แค่อยากเตือนพวกเราว่าอย่าหาบาปใส่ตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงกาลเลย อยู่เฉย ๆดีกว่า

กรณีหลวงพ่อเกษมนั้น เรายังไม่รู้ว่าท่านดีหรือไม่ดีอย่างไร ดังนั้นอะไรที่เราไม่ทราบแน่ชัดก็อย่าไปคาดเดาเลยครับ เกิดท่านเป็นพระ

อรหันต์จริง การด่าว่า บริภาษพระอรหันต์นี่บาปหนักมากนะครับ เพราะท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วโดยสิ้นเชิง

เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับว่าท่านเป็นเช่นไร แต่เราเป็นชาวบ้านผู้ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร ...ไม่รู้ก็เฉยไว้ดีกว่าครับ

ด้วยความรักและห่วงใยครับ
อย่าเชื่อคำพูดแบบนี้เลยค่ะที่ว่า พระสงฆ์ทำผิดแล้วเราติเตียนท่านจะเป็นบาป
เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าวคำหยาบคายแบบนี้เลยค่ะ
พระผู้สละแล้วซึ่งห่างไกลกิเลศ โมหะย่อมไม่มี


อ้างถึง
อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า
              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์.
ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น.
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,
 
อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.

ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์
จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ?

"ไม่ทราบ พระเจ้าข้า."

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง
ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง
ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้."

พรหมชาลสูตร ๙/๓

ที่มา  พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ


อย่าดีใจตื่นเต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจ้า
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ท่านทั้งหลายไม่พึงแสดงความชื่นชมโสมนัส หรือความรู้สึกตื่นเต้นในบุคคลเหล่านั้น

เพราะถ้าท่านทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัส มีความตื่นเต้นในบุคคลที่กล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
อันตรายเพราะเหตุนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงรับรองเรื่องที่เป็นจริง ให้เห็นว่าเป็นจริง
ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นจริง
ข้อนั้นแท้ ข้อนั้นมีในพวกเรา ข้อนั้นปรากฏในพวกเรา ดังนี้."

พรหมชาลสูตร ๙/๔
ที่มา  พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ




หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: testsoft ที่ 20 กันยายน 2011, 15:39:37
นี่ไช่พระสงค์หรือ "ความสำรวม" อยู่ที่ใด ?


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: veemala ที่ 20 กันยายน 2011, 15:42:52
ศีลข้อ 4 มุสา ไม่ได้แปลว่าไม่พูดปดเท่านั้น !
การเข้าใจผิดเรื่องความหมายของศีลข้อที่ 4 มุสาวาทา เวรมณี ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ท่องมาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งผมก็ลองถามเพื่อนหลายคน แทบจะตอบเหมือนกันหมดว่าหมายถึงไม่พูดปด
ซึ่งถ้าเป็นช่วงก่อนบวชผมก็คงตอบอย่างนั้นเหมือนกัน  รวมถึงท่านที่ได้อ่านบทความนี้หลายคนด้วย

แต่จริง ๆ แล้ว ศีลข้อ 4 มุสาวาท ไม่ได้หมายความตื้น ๆ แค่ไม่พูดปด แต่ครอบคลุมถึง 4 อย่างด้วยกัน
คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ


การพูดนินทาผิดศีลหรือไม่
มาถึงตอนนี้ หลายท่านอาจตั้งคำถามว่า ถ้าอย่างนั้น การพูดนินทาก็ไม่ผิดศีลน่ะสิ เพราะที่ว่ามา 4 อย่างไม่เห็นมีไม่พูดนินทา
แต่ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว ตอบได้ว่า การพูดนินทานั้นแทบจะเป็นการพูดผิดศีลทั้ง 4 แบบ
เช่น ถ้าพูดนินทาเมื่อไหร่ก็จะเข้าข่ายเป็นการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์
เพราะถ้าอยากให้เกิดประโยชน์จริง ๆ ต้องกล้าตักเตือนต่อหน้าหรือหาทางอื่น เช่น ให้ผู้บังคับบัญชาตักเตือนแทน
อย่างที่สอง การพูดนินทามักจะเป็นการพูดส่อเสียด และถ้านินทาให้มันส์ก็ต้องใส่สีสันก็คือพูดปดนั่นเอง
และร้อยทั้งร้อยก็จะมีคำหยาบคายเข้าไปผสมด้วย ดังนั้น การพูดนินทาจึงเป็นการกระทำผิดศีลข้อ 4 แน่นอน

ผลของการผิดศีลข้อ 4
และเมื่อเราเข้าใจดีขึ้นแล้วว่ามุสาไม่ได้รวมแค่พูดปดอย่างเดียว ก็ขอให้ลองพิจารณาต่อไปว่า
ความทุกข์ที่เราท่าน ๆ เจอหรือปัญหาที่สังคมเจอส่วนหนึ่งมาจากการผิดศีลข้อมุสาวาทนี่เอง
เริ่มจากในครอบครัว พ่อแม่มักจะด่าว่าลูกโดยนึกภายในใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมาจากเจตนาที่ดี
แต่ปัญหาคือลูกไม่รู้เจตนาหรือความคิดของพ่อแม่ จึงมักไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ยิ่งพ่อแม่ใช้คำหยาบคายมากเท่าไหร่
ไม่น่าเชื่อว่าลูกก็จะพลอยติดการใช้คำพูดนั้นอย่างน่ากลัว ท่านที่ยึดธรรมะเป็นหลักจึงควรใช้สติในการสั่งสอนลูกและใช้ถ้อยคำที่สุภาพ
แต่เข้มงวดในเนื้อหาหรือพยายามใช้กุศโลบายต่าง ๆ อธิบายให้เห็นถึงเหตุผล
ผมเชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ หากพ่อแม่รู้จักเล่าตัวอย่างเหตุการณ์หรือใช้เหตุผล เค้าก็จะเชื่อฟังและนำไปไปฏิบัติได้ดี

นอกจากเรื่องการสอนลูกแล้ว ผมเชื่อว่าสามีภรรยาที่มีปัญหากันส่วนหนึ่งเกิดจากการพูดส่อเสียด หรือกระแนะกระแหน
เช่น ภรรยาก็มักจะส่อเสียดว่าหายไปไหนทั้งวัน มีกิ๊กที่ไหน สามีฟังก็ไม่พอใจก็พูดหยาบคายกลับ
และกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่สามีอาจจะยังไม่มีกิ๊กเลยก็ได้

กว้างกว่านั้น ผมพบว่าปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงานก็ล้วนมาจากการผิดศีลข้อ 4
ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการพูดหยาบคายของหัวหน้า ทั้ง ๆ ที่เจตนาดีแต่ไม่มีใครรู้
แล้วตามติดด้วยการพูดนินทาในที่ทำงานเพราะไม่พอใจคนโน้นคนนี้ ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ และร้อยทั้งร้อย
คำพูดนินทาก็จส่งต่อ ๆ กันไปถึงหูคนที่ถูกนินทาแถมยังถูกเพิ่มเติมสีสันให้มันปาก ก็ทำความไม่พอใจให้ผู้ถูกนินทา
และโต้ตอบกันไปมาจนเป็นเรื่องใหญ่และทำงานไม่สนุก องค์กรก็แย่ลงเรื่อย ๆ

เช่นเดียวกับปัญหาระดับเมืองหรือประเทศ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการพูดปดเพื่อให้เชื่อถือ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าในทางปฏิบัติทำไม่ได้ แต่ไม่ยอมรับความจริง
จนในที่สุดประชาชนก็เบื่อหน่ายไม่เชื่อถือและไม่ให้ความร่วมมือกันพัฒนาเมืองหรือประเทศต่อไป

ที่มา http://variety.teenee.com/saladharm/37516.html


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: TG_Min ที่ 20 กันยายน 2011, 15:47:46
เค้าทำ เค้าก็ได้กับเค้า
เราไปทำไปว่าเค้า เราก็ได้กับเรา
ทางสายกลางโยม

รู้ว่าเหตุเกิด เราก็ต้องไปดับที่เหตุ แล้วทิ้งมันไปเสีย อย่ายึดติด


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: SKMAX ที่ 20 กันยายน 2011, 15:59:25
ศีลข้อ 4 มุสา ไม่ได้แปลว่าไม่พูดปดเท่านั้น !
การเข้าใจผิดเรื่องความหมายของศีลข้อที่ 4 มุสาวาทา เวรมณี ที่เรา ๆ ท่าน ๆ ท่องมาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งผมก็ลองถามเพื่อนหลายคน แทบจะตอบเหมือนกันหมดว่าหมายถึงไม่พูดปด
ซึ่งถ้าเป็นช่วงก่อนบวชผมก็คงตอบอย่างนั้นเหมือนกัน  รวมถึงท่านที่ได้อ่านบทความนี้หลายคนด้วย

แต่จริง ๆ แล้ว ศีลข้อ 4 มุสาวาท ไม่ได้หมายความตื้น ๆ แค่ไม่พูดปด แต่ครอบคลุมถึง 4 อย่างด้วยกัน
คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ


การพูดนินทาผิดศีลหรือไม่
มาถึงตอนนี้ หลายท่านอาจตั้งคำถามว่า ถ้าอย่างนั้น การพูดนินทาก็ไม่ผิดศีลน่ะสิ เพราะที่ว่ามา 4 อย่างไม่เห็นมีไม่พูดนินทา
แต่ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว ตอบได้ว่า การพูดนินทานั้นแทบจะเป็นการพูดผิดศีลทั้ง 4 แบบ
เช่น ถ้าพูดนินทาเมื่อไหร่ก็จะเข้าข่ายเป็นการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์
เพราะถ้าอยากให้เกิดประโยชน์จริง ๆ ต้องกล้าตักเตือนต่อหน้าหรือหาทางอื่น เช่น ให้ผู้บังคับบัญชาตักเตือนแทน
อย่างที่สอง การพูดนินทามักจะเป็นการพูดส่อเสียด และถ้านินทาให้มันส์ก็ต้องใส่สีสันก็คือพูดปดนั่นเอง
และร้อยทั้งร้อยก็จะมีคำหยาบคายเข้าไปผสมด้วย ดังนั้น การพูดนินทาจึงเป็นการกระทำผิดศีลข้อ 4 แน่นอน

ผลของการผิดศีลข้อ 4
และเมื่อเราเข้าใจดีขึ้นแล้วว่ามุสาไม่ได้รวมแค่พูดปดอย่างเดียว ก็ขอให้ลองพิจารณาต่อไปว่า
ความทุกข์ที่เราท่าน ๆ เจอหรือปัญหาที่สังคมเจอส่วนหนึ่งมาจากการผิดศีลข้อมุสาวาทนี่เอง
เริ่มจากในครอบครัว พ่อแม่มักจะด่าว่าลูกโดยนึกภายในใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมาจากเจตนาที่ดี
แต่ปัญหาคือลูกไม่รู้เจตนาหรือความคิดของพ่อแม่ จึงมักไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ยิ่งพ่อแม่ใช้คำหยาบคายมากเท่าไหร่
ไม่น่าเชื่อว่าลูกก็จะพลอยติดการใช้คำพูดนั้นอย่างน่ากลัว ท่านที่ยึดธรรมะเป็นหลักจึงควรใช้สติในการสั่งสอนลูกและใช้ถ้อยคำที่สุภาพ
แต่เข้มงวดในเนื้อหาหรือพยายามใช้กุศโลบายต่าง ๆ อธิบายให้เห็นถึงเหตุผล
ผมเชื่อว่าเด็กสมัยใหม่ หากพ่อแม่รู้จักเล่าตัวอย่างเหตุการณ์หรือใช้เหตุผล เค้าก็จะเชื่อฟังและนำไปไปฏิบัติได้ดี

นอกจากเรื่องการสอนลูกแล้ว ผมเชื่อว่าสามีภรรยาที่มีปัญหากันส่วนหนึ่งเกิดจากการพูดส่อเสียด หรือกระแนะกระแหน
เช่น ภรรยาก็มักจะส่อเสียดว่าหายไปไหนทั้งวัน มีกิ๊กที่ไหน สามีฟังก็ไม่พอใจก็พูดหยาบคายกลับ
และกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่สามีอาจจะยังไม่มีกิ๊กเลยก็ได้

กว้างกว่านั้น ผมพบว่าปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงานก็ล้วนมาจากการผิดศีลข้อ 4
ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการพูดหยาบคายของหัวหน้า ทั้ง ๆ ที่เจตนาดีแต่ไม่มีใครรู้
แล้วตามติดด้วยการพูดนินทาในที่ทำงานเพราะไม่พอใจคนโน้นคนนี้ ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ และร้อยทั้งร้อย
คำพูดนินทาก็จส่งต่อ ๆ กันไปถึงหูคนที่ถูกนินทาแถมยังถูกเพิ่มเติมสีสันให้มันปาก ก็ทำความไม่พอใจให้ผู้ถูกนินทา
และโต้ตอบกันไปมาจนเป็นเรื่องใหญ่และทำงานไม่สนุก องค์กรก็แย่ลงเรื่อย ๆ

เช่นเดียวกับปัญหาระดับเมืองหรือประเทศ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการพูดปดเพื่อให้เชื่อถือ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าในทางปฏิบัติทำไม่ได้ แต่ไม่ยอมรับความจริง
จนในที่สุดประชาชนก็เบื่อหน่ายไม่เชื่อถือและไม่ให้ความร่วมมือกันพัฒนาเมืองหรือประเทศต่อไป

ที่มา http://variety.teenee.com/saladharm/37516.html

ลายเซ็นต์ก็เขียนไว้เเล้วนะนี้  :wanwan004:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: dj mixkajay ที่ 20 กันยายน 2011, 16:58:53
ที่พระท่านพูดมาจะว่าผิดมันก็ไม่เชิง จะว่าถูกก็ไม่ใช่ (ทั้งหมด)

ผมถึงแม้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา แต่ก็เคารพนับถือศาสนาพุทธ จากที่ได้เรียน คุณพระคุณเจ้า ถึงแม้แต่คุณครูที่สอน ตลอดจนพ่อแม่
ที่สั่งสอนมาตั้งแต่เด็กจนโต พอจะสรุปสั้นๆ ได้ใจความว่า

1. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็คือเอาตัวเองให้อยู่ในสังคมให้รอด โดยวิธีที่สุจริตไม่ไปลักขโมยเขา ให้คนอื่นเดือดร้อน
2. เป็นคนที่เสียสละ ก็คือ รวมทุกอย่างเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตา ทำได้ข้อนี้ก็คงไม่เป็นคนชั่วแล้วละ
3. และศีล 5 ซึ่งทำได้ทุกข้อย่อมเกิดผลดี ต่อตนเองแล้วละ

แต่เรื่อง พระพุทธรูป ผมเห็นด้วยที่ท่านพูดว่า ไม่ได้ตบ เพราะ เหยียบหยาม ตบเพราะ "ตั้งใจ" เข้าใจความหมายของท่านที่บอกว่าตั้งใจ "อยากให้คนเห็นความสำคัญของคำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าที่จะกราบไหว้พระพุทธรูป"
แต่ในทางกลับกัน พระพุทธรูป ที่ท่านว่า ไม่ต้องไปเคารพ ควรจะเคารพ คำสอน แล้วถ้า มีคนไป ตบหน้าท่าน ว่าเป็นสิ่งที่ท่าน กำลังพูดถึง เหมือน ที่ท่านพูดอยู่ จะเป็นอย่างไร ?

ในความหมายของ พระพุทธรูป ที่ชาวพุทธกราบไหว้ ไม่ใช่เป็นเพียง ทรงที่หลอมออกมา หรือเป็นสิ่งที่งมงาย หรอก แต่เป็นสิ่งรำลึกถึง คำสอนของพระพุทธเจ้า ต่างหาก
ผมคิดว่า พระพุทธรูป เป็นศูนย์รวมจิตใจ ชุมชนและผู้คน  ก็เหมือนเราเข้าวัด ทุกคนก้มลงกราบ พร้อมๆกัน รู้สึกว่า เออ ทำไม เราถึงทำเหมือนกัน ตั้งใจกราบ ด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ
มันทำให้รู้สึกเกิดพลัง เกิดความอบอุ่น ถึงแม้ คนที่อยู่ข้างๆ ตัวเรา ไม่ใช่เป็นคนที่รู้จักกันเลย แต่ก็สามารถส่งความรู้สึก นั้นให้แก่กันได้ นั่นคือ การได้รับรู้ และ ใจที่เปิดรับ คำสอนของพระพุทธเจ้า

และนำเอาไป ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน


เอาละพูดจบละ กะว่า จะไปบวช เลยดีไหม  :wanwan017:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: นารายณ์อวตาร ที่ 20 กันยายน 2011, 17:08:30
อ้างถึง
จริงๆความเสื่อมมันก็มีซ่อนอยู่ครับ อยู่ที่เห็นไม่เห็น แสดงออกไม่แสดงออก

จริงๆจะด่าคน หรือ ด่าพระ ก็บาป เหมือนกันครับ

แต่ก็ทำให้ผมสงสัยเหมือนกันว่า ด่าคน กับ ด่าพระ ไหนบาปกว่ากัน

ด่าคนดี กับ ด่าพระไม่ดี ไหนบาปกว่ากัน

หลังๆผมไม่ค่อยเอาสรรพนามหรือรูปลักษณ์ภายนอกมาเป็นตัวชี้วัดสักเท่าไรแฮะ

เอาเป็นว่าบาป บุญ อยู่ที่ตัวเราเองนั่นแหละ สิ่งที่เราเห็น ไม่ชอบใจ เราเอามาแกว่งใจเรา ใจเราก็ขุ่นเอง

วัชพืช แย่งอาหารไปจากพืชชาวนาฉันใด วัชพระ แย่งความดีไปจากพระพุทธศาสนาฉันนั้น (แต่งเองนะเนี่ย)



หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: cs2553 ที่ 20 กันยายน 2011, 17:10:07
มาไม่ทัน  :wanwan031:


หัวข้อ: Re: อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์ "พระไม่อยากดัง"
เริ่มหัวข้อโดย: Kamilia ที่ 20 กันยายน 2011, 17:18:03
แค่ไม่สำรวมก็ไม่นับถือแล้วค่ะ :P