หัวข้อ: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: peeza ที่ 23 มกราคม 2011, 14:31:57 คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม :wanwan014:
อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…” http://gov.ca.gov/press-release/10291/ รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217 McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/ Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550 https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102 เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat http://www.bantransfats.com/ โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไตhttp://transfatdisease.com/why.html อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่… สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้ หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไต พาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ - ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส - แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ - ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย - กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที … …Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.) http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html ถึงเวลาล้างได้แล้ว ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และ ได้ผล สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว) วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ) สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง) นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม :wanwan019:## ได้รับ fw mail มาครับเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ จึงเอามาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน และ ตอนนี้น้ำมันปาล์มก็แพงมากขวดละ 6o กว่าบาท เราน่าจะหันมากินน้ำมันหมูกันดีกว่าครับ เจียวน้ำมันหมูแล้วยังได้แคบหมูไว้กินด้วย แคบหมูนี่ของชอบของผมเลย ## :wanwan020: หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 23 มกราคม 2011, 14:39:09 เมื่อก่อน น้ำมันหมูบรรจุปี๊บ ตักขายทีละกระบวยเล็กๆ กินอร่อยแค่คลุกข้าวสวยร้อนๆใส่น้ำปลาก็สุดยอดแล้ว..กลับมาใช้น้ำมันหมู่กันเถอะครับ (งานนี้ต้องขออภัย เพื่อนๆชาวมุสลิม ด้วยครับ).. :wanwan021:
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Blogger ที่ 23 มกราคม 2011, 14:39:59 เมื่อก่อน น้ำมันหมูบรรจุปี๊บ ตักขายทีละกระบวยเล็กๆ กินอร่อยแค่คลุกข้าวสวยร้อนๆใส่น้ำปลาก็สุดยอดแล้ว..กลับมาใช้น้ำมันหมู่กันเถอะครับ (งานนี้ต้องขออภัย เพื่อนๆชาวมุสลิม ด้วยครับ).. :wanwan021: อย่าลืมเติมพริกป่นด้วย ^ ^หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: drlovecat ที่ 23 มกราคม 2011, 15:19:26 transfat oil ไม่ได้แปลว่าน้ำมันพืชผ่านกระบวนการ มันเป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างสเตอรีโอไอโซเมอไรเซชันครับ cis, trans นู่น
:wanwan015: คนเขียน FWD ก็เนอะ hydrogenated เป็นขั้นตอนในการทำมาร์การีน เพื่อเปลี่ยนไขมันพืช จากของเหลวที่อุณหภูมิห้องไปเป็นสถานะของแข็งในผลิตภัณฑ์เนยเทียม กี มาร์การีน ไม่ได้เกี่ยวกับ ทอดอร่อย :wanwan015: ให้ความรู้ผิดๆ มันบาปกรรมนะ หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: TT ที่ 23 มกราคม 2011, 15:32:22 "เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไต พาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา"
ติงต๊องอ่ะ น้ำไม่ดูดซึมเเล้วมันจะเข้าสู่ไตได้ไง ไตมันมันกรองน้ำออกจากเลือด ถ้าน้ำไม่ดูดซึม เเล้วมันจะเข้าไปอยู่ในเลือดได้ไง :wanwan004: ถ้าไม่ดูดซึม มันก็ต้องอยู่ในระบบย่อยอหาาร ลงกะเพาะลงลำไส้เเล้วออกตูด เเสดงว่ากินน้ำมันพืชมากๆ จะขี้เเตกว่างั้น :wanwan005: :wanwan023: ไร้สาระมากมาย ( งี้คนไม่ขี้เเตกตายกันทั้งโลกเหรอ เพราะกินน้ำมันพืชเนี่ย ) ฟอเวิดเมล์ชอบจับเเพะชนเเกะตลอด :-X หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: ouichonyam ที่ 23 มกราคม 2011, 15:38:28 ความรู้ใหม่ เด่วทำล้างไขมันบ้างดีกว่า :wanwan015:
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 23 มกราคม 2011, 15:52:32 คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเชื่อฟอเวิดเมลโดยไม่คิด :wanwan004:
แต่น้ำมันหมูเอามาทอดไข่เจียวอร่อยที่สุด :-[ หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: jaowaan ที่ 23 มกราคม 2011, 16:21:43 :Pเดี๋ยวอ้วนเป็นหมูนา
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: fashionlover ที่ 23 มกราคม 2011, 17:08:07 อยากกิน แต่ว่า อ้วน อ่ะ กินอาหารปิ้ง นึ่ง ย่าง ต้ม ดีกว่า อิอิ
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: asuradech ที่ 23 มกราคม 2011, 17:11:50 :o ถ้ารวยเพราะงานออนไลน์ ผมหา น้ำมันหูฉลามมากินสักมื้อซะเลยนิ
แต่ปัญหาคือยังไม่รวยเนี่ยสิ :P หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: kasetthai ที่ 23 มกราคม 2011, 17:18:55 เอาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันหมูมาให้อ่านเพิ่มเติม แล้วลองพิจารณากันเอาเองนะครับ :wanwan017:
ข้อโต้แย้งระหว่างน้ำมันพืชกับน้ำมันหมู “เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก จะเห็นแม่สาละวนกับการเจียวน้ำมันหมูทุกๆ ๗ วัน เพื่อใช้ผัดกับข้าวให้พวกเรา รับประทานน้ำมันหมูนี่มันเก็บได้ไม่นานเพราะไม่มีตู้เย็นเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการใช้ก็ตักทีละน้อย เพราะน้ำมันที่ผัดหรือทอดแล้วดำและเหม็นหืนง่าย แต่พอข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่่น บรรดานักวิชาการสุขภาพ ก็เริ่มประกาศความมีพิษภัยของน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาชุดแรกๆ ก็เน้นที่ความไม่เป็นไข ( แข็งตัว) เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลง ของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เมื่อเทียบกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว โดยโฆษณาเน้นเรื่อง คอเลสเตอรอล ให้คนงตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพเรื่อง โรคหลอดเลือด และหัวใจ จะด้วยความโง่หรืออ่อนต่อโลกก็มิทราบได้ ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวมิได้จับตัวเป็นไขในร่างกายคนเพราะอุณหภูมิสูงถึง ๓๗ องศา c ( น้ำมันทั้ง ๒ ชนิดจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า ๒๕ องศาเชลเซียส) แต่ข้าพเจ้าก็เปลื่ยนน้ำมันทั้ง ๒ ชนิด ที่เคี่ยวเองได้หันมากินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Refined, Bleached,Deodorized) ด้วยความเชื่อนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า รู้จริง รู้ดี จึงกล้าแนะนำประชาชน หลายสิบปีผ่านไป การตรวจเลือดหาปริมาณคอเลสเตอรอลยังคงได้ตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากขึ้นทุกๆปีทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่อ้วนหรือน้ำหนักเกินดัชนีมวลกายและได้เลิกใช้น้ำมันหมูหืรอน้ำมันมะพร้าวไปนานเเล้ว อีกทั้งร้านอาหารทุกแห่งไม่ว่าริมถนนหรือภัตตาคารก็ไม่มีใครทำน้ำมันใช้เองอีกเเล้ว แม่ของข้าพเจ้าป่วยตายด้วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจเมื่ออายุ 81 ปี แต่ข้าพเจ้ากลับป่วยด้วยอาการ ของโรคไต (nephrosis) และมีอาการคล้ายกับเป็นแผลเบาหวานทั้งๆ ที่ น้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ๘ชั่วโมงเพียง ๙๐ หน่วย ( mg/dl) ดังนั้นแผลที่หายยากนั้นจึงเรียกว่า 11โรคเสันเลือดฝอยอักเสบเรื้อรัง ข้าพเจ้าโชคดีที่พบสาเหตุและยาแก้ แม้ว่าะเป็นยาสมุนไพรที่กินยาก แต่ข้าพเจ้าก็ฝ่ายได้เพราะความอดทน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ข้าพเจ้าเลิกกินอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีนาน ๑ ปี ระดับคอเลสเตอรอล ก็ลดลงต่ำกว่า ๑๕๐ มก./ดล (ค่าปกติ ๑๕๐-๒๐๐ มก/ดล ) ทั้งๆ ที่น้ำมันพืชทกชนิคมักจะอ้างว่าไม่มี คอเลสเตอรอลก็ว่าได้ ข้าพเจ้าได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นโรคไต แล้วค้นคว้าจนพบความจริงว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี นี้แหละเป็นต้นเหดุ ที่ทำให้ข้าพเจ้าป่วยเพราะกินน้ำมันนี้วันละ ๓ มื้อ มากกว่าอาหาร หรือยาชนิดใดๆ และ น้ำมันพืชฯนี้มันถูกเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายครั้ง ไม่เหม็นหืน แต่ก็เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะโครงสร้างเคมีเปลี่ยนไปหลังผ่านกรรมวิธี เมื่อกินเข้าไป ในร่างกาย กลายเป็นคราบทำให้น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างน้ำมันมะพร้าวที่กั้นน้ำกะทิแล้วเคี่ยวเป็นน้ำมัน แม้น้ำมันมะพร้าวจะมี สัดส่วนไขมันอิ่มตัวง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี เพราะใช้ความร้อนสูง อีกทั้งยังละลายน้ำได้ จึงไม่เป็นคราบฝังแน่นในลำไส้และหน่วยไต ทานอาจจะยังไม่เชื่อข้าพเจ้า จึงอยากให้ทดลองเองที่บ้านนำน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณมิใกล้เคียงกับภายในร่างกายของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวแน่นของมัน ลองกับน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวที่เคี้ยวเอง แล้วเปรียบเทียบกัน แม่บ้านหลายคนกล่าวว่าการล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ แล น้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก คราบเหนียวหนึบยึดติดนี้ จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต ( ติดในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ติดในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้เป็นโรคไตวายเรึ้อรัง ) จะะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิต ด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วย โรคมะเร็ง เมื่อน้ำไม่สามารถชึมผ่านคราบน้ำมันในลำไส้เล็ก ร่างกายก็จะขาดน้ำชึ่งควรจะมีอยู่ ๒/๓ ของน้ำหนักตัว สารละลายน้ำเช่น วิตามินบี ซี กรดอมิโน ก็จะกลายเป็นภาระของไตต้องกรอง ไตทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรากินมากขึ้นตามความเรียบร้องของสมอง เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารละลายน้ำ ยิ่งกินมาก น้ำมันก็ยิ่งอุดตันไตก็ทำงานหนักขึ้นอีก แนวโน้มคนปวยโรคไต ไตวายเรึ้อรังมีมากถึง ๒๒ ล้านคน ถ้าไม่หักคนป่วยที่ตายไปแบบเฉียบพลันหรือที่เรียกว่า โรคไหลตายเเละไตวายเรี้อรังระยะสุดท้าย ที่ต้องฟอกไต ( ๓ ปี) แล้วตาย ประมาณว่า กึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคไตใน ๑๐-๒๐ ปี ขึ้นอยู่กับอัตราการบริโภคน้ำมันพืชฯ ส่วนอีกกึ่งหนึ่งก็ตายเพราะโรคมะเร็ง เพราะสารอาหารสำคัญที่ละลายน้ำใม่ถูกดูดซึมเป็น ๑๐ ปี (สังเกตจากกรณีพระประชวรของสมเด็จพระที่นางเธอฯ ที่ทรงเสวย พระกระยาหารเเบบเรียบง่ายเหมือนพสกนิกรทั่วไป หลังจากเคยหายจาก โรคมะเร็งไปนานถึง ๑o ปี) คนไทยร้อยละ ๗๐ กำลังเป็นโรคอ้วน เพราะการบริโภคน้ำมันพืชฯ ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันพืชฯ ต่อคนต่อเดือนสูงถึง ๑.๑ กก. หรือประมาณ ๑ ลิตร นั้นหมายความว่ามีคนเมืองจำนวนมากที่กินน้ำมันพืช มากกว่า ๑.๑ กก. เพราะในชนบทห่างไกล คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้ใช้น้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธีแต่ใช้น้ำมันหมูบ้าง น้ำมันมะพร้าวบ้าง ในราวต้นปี ๒๕๕๐ บริษัทฟ้าสฟู้ด KFC ในต่างประเทศได้ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนโดยไม่บอกเหตุผลจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าเพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรการปรุงอาหารเพิ่มต้นทุนการผลิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงทางการตลาดและกำไรทีลดน้อยลง ทำไมน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจึงมีอันตรายสะสม? คำตอบก็คือ การสกัดด้วยความร้อนทำให้เกิด การไหม้เกรียมเเละดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืช เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทำให้น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัว กลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัวและมีลักษณะหนืดเหนียว จับกุมเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ ๓๖-๔๐ องศาเซลเซียส ดร.ณรงค์ โฉมเฉลาได้เขียนบทความ น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตรายหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ ในวารสาร เกษตรกรรมธรรมชาติ ใจความว่าประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวมีตัวเลขการตายจากโรคหัวใจและมะเร็งต่ำกว่าประเทศที่บิรโภคน้ำมันพืชอื่น แล้วทำไมจึงมีงานวิจัยในอดีตที่กล่าวหาว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจวายในอดีต จนทำให้ ใครๆ ต่างหวาดผวาน้ำมันมะพร้าว และเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูง มีคอเลสเตอรอลสูง ดร. ณรงค์ กล่าวว่า American Soybean Associatlon ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา วิจัยผลเสียของน้ำมันมะพร้าว เพื่อส่งออกถั่วเหลืองในตลาดโลก ข้าพเจ้าอยากเตือนคนไทยทั้งหลาย โปรดสำรวจตนเองว่าท่านกินน้ำมันวันละซีชี มันระบายออกมา ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านไม่หยุดกินโรคไต โรคเบาหวานโรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคความดันเลือดสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ จะมาเยือนท่านไม่ช้าก็เร็ว นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๒๙๑ ก.ค.๒๕๔๖ ลงบทความ “น้ำมันพืชใช้อย่างไรให้ถูกต้อง และปลอดภัย ” แนะนำว่า การผัดอาหารควรใช้ น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นน้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลืจง น้ำมันรำข้าว แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้ น้ำมัน พืช หรือสัตว์ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เพราะการทอดใช้ความร้อนสูงและจุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ ๑๘๐ องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ ว่า โพลาร์คอมเพาวด์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ข้าพเจ้าเคยพบด้วย กลิ่นที่ทำให้แสบจมูก มีพ่อค้าทอดขนมกู๋ไช่ คนหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัว จึงไปพบจักษุแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้เลิกอาชีพขาย อาหารทอดอาหารผัดอย่างถาวร มิฉะนั้น จะตาบอดได้ ทำไมน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันหมู และน้ำมันมะพร้าว จึงเหมาะแก่การทอด คำตอบก็คือ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู ๔๐ % น้ำมันมะพร้าว ๘๘ %) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน (c) ในลักษณะแขนเดี่ยว (single bond) เมื่อโดนความร้อนสูง ก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษและน้ำมันที่ใช้ทอดแล้วก็เก็บ ไว้ทอดซ้ำเกิน ๒ ครั้งไม่ได้ เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งผิดกับน้ำมันพืชอื่นๆ ชึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งมีโครงสร้างเคมีเป็นแขนคู่ ( doublebond) ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก ๒ อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน ( Hydrogenation) ซึ่งเรียกว่า TranS FattyAcid (TFA); Trans ; นี้เป็นผลลัพธ์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืชมีลักษณะเหมือน น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่ทำให้อาหารทอดกรอบอร่อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี เหล่านี้ไม่สามารถขับ ออกจากร่างกายได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันมะพร้าวที่ละลายน้ำได้ บางคนที่เป็นปู่ย่าตายายในขณะนี้ (อายุ ๗๐ ปีขึ้นไป) จะบอกกล่าวว่า พ่อแม่ของท่านใช้น้ำมันหมู และน้ำมัน มะพร้าวทำอาหาร และท่านก็มีอายุถึง ๙๐ ปีกว่า ก่อนเสียชีวตไม่ได้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเลย แต่ก็มีอายุยืนยาวได้ในทางสลับกัน คนไทยในสมัยนี้กินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมานาน กว่า ๓๐ ปี กลายเป็นโรคเบาหวานกันทั่วประเทศทุกหมู่บ้าน เด็กๆ ก็กลายเป็นโรคอ้วน เบาหวานในเด็ก ก็ลุกลามใหญ่โต จนในปีนี้องค์การเบาหวานโลก ได้เน้นการรณรงค์เบาหวานในวัยรุ่น ปีหนึ่งๆ จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในโลก ไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน สารเคมีที่กินเข้าไปคือ polar compound ยังไม่มีใครประกาศออกมาเลยว่ามีผลร้ายอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ มันหนืดเมื่อโดนความร้อนสูง และติดหนึบหนับในลำไส้เล็กของเรา จนทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึม สารอาหารที่ละลายน้ำ เช่น กรดอมิโน วิตามินบี ซี เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยแบบสะสม ค่อยเป็นค่อยไปซึ่งยากต่อการสังเกตเห็นบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบทความนี้เชียร์แต่น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวเอง น้ำมันปาล์ม ก็มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 48% ไม่เหมาะกับการทอดหรืออย่างไร จริงๆ แล้วก็เหมาะสม ถ้าผ่านการหีบเย็น แต่น้ำมันปาล์มที่ขายนั้นผ่านกรรมวีธี refined,bleached,deodorized จึงมี polarcompound เมื่อทอดนำมันพืชที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติคือ หีบเย็น ( cold press) หรือการบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี มีคุณค่าทางโชนาการ แต่เมื่อเอาไปดัดแปลงทางเคมีเติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยเป็นโทษ น้ำมันพืชที่หีบเย็นถ้านำมากินโดยไม่ผ่านการผัด การทอดก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลายแห่ง จึงนำไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้ลูกค้า นิตยสาร 1 เกษตรกรรมธรรมชาติ 1 ฉบับ ๒/๒๕๔๘บทความพิเศษ; น้ำมันมะพร้าวและกะทิเป็นอันตราย หรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ “โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ” กล่าวไว้ว่า “น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันพืชที่ ประเทศต่างๆ ในเอเชียและแปชิฟิคใช้เป็นแหล่งพลังงาน และการหุงหาอาหารมาช้านานโดยไม่ปรากฎ อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2521 ประเทศ ศรีลังกาเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าว มากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตันเพียง ๑ในแสนคน เปรียบเทียบกับ ๑๘๗ ในแสนคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว ” ดร.ณรงค์ยังกล่าวด้วยว่า “น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับโคเลสเตอรอลในเลือด เนื้อมะพร้าวกับน้ำมะพร้าวลดระดับโคเลสเตอรอลอย่างมีนัยสำคัญ น้ำมันมะพร้าวเพิ่มปริมาณของ High density 1ipoprotein (HDL) ได้มากกว่าน้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มอัตราส่วนของ LDL ต่อ HDLในขณะที่ไปลดระดับของไตรกลีเซอไรด์” *** ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเชื่อมั่นในภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มา http://www.thaicalory.com/index.php?topic=6144.0 หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: Horakung ที่ 23 มกราคม 2011, 17:19:00 Fw เชื่อไม่ค่อยได้ :p
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: pacapao ที่ 23 มกราคม 2011, 17:38:01 สมัยเด็กก็กินน้ำมันหมู ทอดอาหาร หอมอร่อยจริงๆ
พวกร้านสุกี้ ร้านบาบีคิว เอามันหมูต้มในหม้อ หรือวางไว้บนกระทะ ตอนกับวอด มันจะละลายเกือบหมด ซดน้ำอร่อยมากมาย น้ำมันหมูดีดีก็ไม่กินกัน ประหลาดแท้ๆ หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: pyopyo ที่ 23 มกราคม 2011, 18:26:02 :wanwan015:สมัยปู่ย่าตายายเค้าก็กินน้ำมันที่ได้จากสัตว์แหละมะมีน้ำมันพืชน้ำมันรำข้าวอ่านะ
เชียร์น้ำมันหมูครับ :wanwan003: :wanwan003: :wanwan003: :wanwan003: หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: barbies55 ที่ 23 มกราคม 2011, 18:46:21 น้ำมันมะพร้าวอ่ะ ดีจริงค่ะ
แต่น้ำมันหมูน่ะ มันยังไม่ใช่ หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: Go2 ที่ 23 มกราคม 2011, 18:49:59 คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเชื่อฟอเวิดเมลโดยไม่คิด :wanwan004: แต่น้ำมันหมูเอามาทอดไข่เจียวอร่อยที่สุด :-[ เห็นด้วยครับ ๆ หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: cateye ที่ 23 มกราคม 2011, 19:33:21 สินค้าหลายอย่างใช้ข้อมูลการวิจัยมาทำการตลาด และเมื่อวิจัยได้ข้อมูลใหม่การตลาดก็เปลี่ยนตามไปอีก :wanwan044:
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: vicker ที่ 23 มกราคม 2011, 19:51:01 น้ำมันหมูใส่กระเทียมเจียว แถมกากหมูด้วย ม่ายอยากจะคิด...
หัวข้อ: Re: น้ำมันปาล์มแพง มากินน้ำมันหมูกันดีกว่า เริ่มหัวข้อโดย: RICHEST ที่ 23 มกราคม 2011, 19:54:25 FW เมลล์อันนี้เชื่อได้ครับ ผมมีความรู้ด้านนี้ :wanwan017:
|