*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
"ตลาดหมี" (Bear Market) และ "ตลาดกระทิง" (Bull Market) เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกสภาวะตลาดการลงทุน
ตลาดกระทิง มาจากการที่กระทิงจะใช้เขาขวิดขึ้นด้านบน เปรียบเหมือนกับราคาของสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหมี มาจากการที่หมีจะใช้กรงเล็บตะปบลงด้านล่าง เปรียบเหมือนกับราคาของสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ ตลาดหมี คือช่วงเวลาที่สินทรัพย์ในตลาดมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความกลัวและขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้การซื้อขายลดลงและคาดการณ์ได้ยากว่าราคาจะลงไปต่ำสุดที่จุดไหน รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดก็ต้องใช้เวลานานและมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระตุ้น
ปัจจัยหลัก 5 ประการที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง "ตลาดหมี" (Bear Market) มีดังนี้:1. ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ราคาสินทรัพย์จะลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ตลาดหุ้นตกลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลและรีบเทขาย ส่งผลให้ราคายิ่งตกต่ำลง
2. ปริมาณการซื้อขายลดลง
เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนจะระมัดระวังมากขึ้น บางคนอาจหลีกเลี่ยงการลงทุนเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่ม หรือบางคนอาจหยุดซื้อขายชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดโดยรวมลดลง
3. สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และกำไรลดลง อาจนำไปสู่การเลิกจ้างงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดการเงินเข้าสู่แนวโน้มขาลง
4. ข่าวสารเชิงลบจากสถานการณ์โลก
ข่าวสารที่สร้างความไม่แน่นอน เช่น การระบาดของโรค, สงครามระหว่างประเทศ หรือวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศมหาอำนาจ มักจะส่งผลกระทบให้ตลาดมีความผันผวนอย่างรุนแรงและมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะตลาดหมี
5. รูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนไป
นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตร, ทองคำ หรือหุ้นปันผล ขณะที่เทรดเดอร์บางส่วนจะใช้วิธี "ขายชอร์ต" (Short Selling) เพื่อทำกำไรจากช่วงที่ราคาลดลง
ตลาดกระทิง (Bull Market หรือ Bull Run) คือสภาวะที่ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ซึ่งนำไปสู่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก
แม้จะเป็นตลาดขาขึ้น แต่ก็มีการปรับฐานราคาอยู่เสมอ ซึ่งอาจเป็นการย่อตัวลงเพื่อสร้างฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิม นักลงทุนจึงควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเสมอ
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงตลาดกระทิง1. ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและกล้าที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
2. ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
เมื่อราคาเป็นขาขึ้น ผู้เล่นในตลาดจะเข้ามาซื้อขายอย่างคึกคัก เพื่อคว้าโอกาสในการทำกำไร ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
3. สภาวะเศรษฐกิจเติบโต
ตลาดกระทิงมักสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่เติบโต เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สูงขึ้น, GDP ที่เพิ่มขึ้น และบริษัทต่างๆ มีรายได้และกำไรมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจ้างงานที่สูงขึ้น
4. ข่าวสารเชิงบวกจากสถานการณ์โลก
ข่าวดีทั่วโลกมักเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เป็นประโยชน์, การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
5. รูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนไป
นักลงทุนจะหันไปเน้นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแต่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว เช่น หุ้นเติบโต (Growth stocks) และคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) รวมถึงนักเทรด Forex ที่นิยมกลยุทธ์ "ซื้อและถือ" (Buy and Hold) เพื่อทำกำไรในระยะยาว
อ่านต่อได้ที่:https://www.tradewithauntie.com/bear-market-bull-market/
กลยุทธ์การเทรด Forex ในตลาดหมีและตลาดกระทิง:
https://www.tradewithauntie.com/bear-market-bull-market/ 