เพิ่มเติมข้อ 5 ให้ (จากประสบการณ์จริง)
คุณติด Ads ผิดประเภทก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เหตุผลในการโฆษณา ของผู้ลงโฆษณา มี 2 ข้อ คือ
1. เพื่อส่งเสริมการขาย (โฆษณาให้คนซื้อ ให้คนคลิก หรือ CPC) จ่ายค่าโฆษณาเมื่อมีคนคลิก Ads
2. เพื่อสร้าง แบรนด์ หรือ ภาพลักษณ์ (โฆษณาให้คนเห็น หรือ CPM) จ่ายค่าโฆษณา เมื่อมีการแสดงผล ต่อ 1000 ครั้ง
ข้อ 1. เรามักจะเห็นกันอยู่แล้ว ทั่วๆ ไป Ads มักจะเป็น text ads ที่จะมีข้อความเชิญชวนให้คลิกเข้าไปดู หรือ ถ้าตรงกับสิ่งที่คนกำลังค้นหา ก็อาจจะเข้าไปซื้อ
Ads ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับ เว็บไซต์เนื้อหา (ads for content) และ เว็บไซต์ค้นหาต่างๆ (ads for search) เพราะมันเป็น text links ads
ข้อ 2. Ads เพื่อสร้าง แบรนด์ Ads แบบนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็น image ads ลองสังเกตุ ป้ายโฆษณา ตามข้างทางด่วน หรือ โฆษณาต่างๆ ทางทีวี ดูนะครับ
เป็นโฆษณา ที่ให้เราเห็น ให้เราติดตา เราไม่ต้องคลิก แต่เห็นบ่อยๆ ก็จะจำโฆษณาได้ ตัวอย่างที่เห็นชัด ใน Google Ads ก็เช่น โฆษณาของ Amari
หลายคนคงจะเห็นจนเบื่อ ไปเว็บไหน ก็เจออยู่เรื่อยๆ
ทีนี้มาดูว่า เราติด Ads ผิดประเภทอย่างไร
ถ้าเว็บไซต์เราเป็นเว็บไซต์ เนื้อหา ให้ความรู้ คนเข้าเว็บอาจจะเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีจำนวนไม่มาก เข้ามาอ่าน เข้ามาหาข้อมูล ในขณะที่เราเลือก Ads แบบ image
ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็น CPM (จ่ายค่าโฆษณา เมื่อมีการแสดงผล ต่อ 1000 ครั้ง) ต่อให้มีคนคลิก เราก็ไม่ได้ค่าคลิก และกว่าจะแสดงผล ads ครบ 1000 ครั้ง
เราก็ได้ค่าโฆษณาไม่เท่าไหร่
ที่ถูกต้องคือ เราควรจะเลือก text ads (อย่างเดียว) ไม่ควรเลือก text and image และแทรก text ads ไว้ในเนื้อหา จะหัว กลาง หรือ ท้าย ก็ตามสะดวก
ถ้าเว็บไซต์เราเป็นเว็บไซต์ แสดงรูป เล่นเกมส์ อัพไฟล์ หรือ เว็บอะไรก็ตาม ที่มี impression จำนวนมาก แต่ไม่ค่อยมีคนคลิก Ads เห็นมาหลายคนแล้ว
ที่มักบ่นว่า imp เป็นหมื่น แต่ได้ค่าคลิกน้อย ก็คนส่วนใหญ่ มาดูรูป มาเล่นเกมส์ เขาก็รู้ว่าอันไหนเป็นโฆษณา เขาก็มักจะไม่คลิกกัน
ที่ถูกต้อง คือ เราควรจะเลือก เป็น image ads ที่นับจำนวน imp ทีนี้ คนไม่คลิก เราก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ทำอย่างไรให้ imp เยอะๆ แค่นั้นเป็นพอ
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าเว็บเราคนเข้าน้อย ใช้แบบ text ads ถ้าเว็บเรามี imp เยอะๆ แต่ไม่ค่อยมีคนคลิก ก็เลือก image ads
ก็ลองพิจารณากันดูละกันนะครับ ว่าเราติด Ads ถูกประเภท แล้วหรือยัง