ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeกฏ 90/10 เพิ่งได้อ่าน..โดนใจมั่ก ๆ โดยStephen Covey ครับ
หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: กฏ 90/10 เพิ่งได้อ่าน..โดนใจมั่ก ๆ โดยStephen Covey ครับ  (อ่าน 7955 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
myhometown
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 55
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 787



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 11:26:44 »

โหยอ่านแล้วโดนใจมั่ก ๆ ครับ ได้จาก e-mail อ่ะครับ


หลักการ 90/10

คือหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณให้ดีขึ้น (อย่างน้อยที่สุดจะเปลี่ยนปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ)

หลักการนี้คืออะไร ? เป็นเรื่องง่าย ๆ คือ 10% ของชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ ส่วนอีก 90%นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของคุณในการตอบสนองต่อเหตุการณ์

นัยยะของเรื่องนี้คือ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอยู่เหนือความคาดคิดหรือที่เราไม่สามารถควบคุมได้เพียง 10% เช่น เราไม่สามารถห้ามรถยนต์ไม่ให้เสีย หรือการที่เครื่องบินมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดจนทำให้กำหนดการต่าง ๆ คลาดเคลื่อนไป  หรือเราขับรถถูกช่องจราจรแต่ถูกรถคันอื่นขับปาดหน้า เราไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ 10% นี้ที่เกิดกับเรา แต่อีก 90% ที่เหลือนั้นเราสามารถกำหนดได้



ทำอย่างไร?
คำตอบคือด้วยปฏิกิริยาของคุณ
คุณไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่คุณสามารถควบคุมปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์เหล่านั้น คุณสามารถเลือกวิธีการตอบสนองได้

เรามาลองศึกษาจากตัวอย่างต่อไปนี้
สมมุติว่าคุณกำลังรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัว บังเอิญลูกสาวคุณพลาดทำกาแฟหกใส่เสื้อเชิ้ตคุณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เหนือการควบคุมของคุณ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ต่อจากนั้นจะเป็นเรื่องของปฏิกิริยาสนองตอบของคุณ

คุณอาจจะสบถและดุด่าลูกสาวคุณอย่างรุนแรงจนทำให้เธอร้องไห้ และตามด้วยการหันไปบ่นกับภรรยาคุณว่า วางแก้วกาแฟไว้ที่ริมโต๊ะมากเกินไป เหตุการณ์ต่อมาคือการถกเถียงกันเล็กน้อย แล้วคุณก็เดินปึงปังขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อในห้องชั้นบน เมื่อกลับลงมาก็พบว่าลูกสาวคุณยังคงร้องไห้ไม่หยุด ไม่พร้อมที่จะไปโรงเรียน ในที่สุดก็พลาดรถโรงเรียน ภรรยาคุณก็ต้องรีบออกไปทำงานทันที ดังนั้นคุณจึงต้องรีบขับรถเพื่อจะพาลูกสาวคุณไปส่งโรงเรียน แต่เป็นเพราะคุณกำลังสาย จึงเร่งขับรถด้วยความเร็ว 40 ไมล์ต่อชั่วโมง เกินกว่าพิกัดความเร็ว 30 ไมล์ต่อชั่วโมงที่กฎหมายกำหนดไว้ สิ่งที่ตามมาก็คือหลังจากเสียเวลาไป 15 นาที และค่าปรับอีก 60 ดอลลาร์ เมื่อมาถึงโรงเรียน ลูกสาวคุณก็รีบกระโดดลงจากรถโดยไม่ล่ำลาเลยสักคำ  ส่วนตัวคุณเองก็มาถึงที่ทำงานสาย 20 นาที .ซ้ำร้ายกว่านั้นคุณพบว่าตัวเองได้ลืมกระเป๋าทำงานไว้ที่บ้าน วันนั้นจึงเป็นวันที่แย่และเลวร้าย และดูเหมือนว่ามันยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ จนทำให้คุณรู้สึกอยากกลับบ้าน


เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณได้สัมผัสกับความหมางเมินของภรรยาและลูกสาวคุณ ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิม

ทำไม ? ทุกอย่างเกิดจากปฏิกิริยาของคุณต่อเหตุการณ์เมื่อตอนเช้านั่นเอง

เราลองมาสำรวจสาเหตุของวันที่แสนแย่นี้ด้วยกัน
       ก. กาแฟเป็นต้นเหตุอย่างนั้นหรือ?
       ข. ลูกสาวคุณเป็นคนก่อเหตุใช่ไหม?
       ค. ตำรวจเป็นสาเหตุของเรื่องหรือเปล่า?
หรือ ง. ตัวคุณเองนั่นแหละ ทำให้เกิดเหตุ
           การณ์ทั้งหมด ?

คำตอบคือ ข้อ ง.
คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาแฟแก้วนั้นได้ แต่ปฏิกิริยาของคุณใน 5 นาทีแรกนั่นเองคือสิ่งที่ก่อให้เกิดวันเลวร้ายนั้น


ต่อไปนี้คือสิ่งทีควรจะเกิดขึ้น

เมื่อกาแฟหกเลอะตัวคุณ ลูกสาวคุณกำลังตกใจและขวัญเสียจนจะร้องไห้ คุณควรจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรลูก ต่อไปขอให้ระวังมากกว่านี้ก็แล้วกัน” หลังจากนั้นรีบหาผ้าซับและไปเปลี่ยนเสื้อพร้อมหยิบกระเป๋าทำงาน เมื่อคุณลงมาก็พบว่าลูกสาวคุณกำลังขึ้นรถโรงเรียน เธอหันมาโบกมือลา ตัวคุณเองก็ถึงที่ทำงานก่อนเวลา 5 นาที สามารถสนทนากับเพื่อนๆด้วยอารมณ์เบิกบาน จนเจ้านายทักว่าคงเป็นวันที่ยอดเยี่ยมมากของคุณ  

เห็นความแตกต่างไหม

ความแตกต่างกันของ  2 เหตุการณ์ ที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน แต่จบต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทำไม ?
เพราะทุกอย่างเกิดจากปฏิกิริยาของคุณในการตอบสนองต่อเหตุการณ์
เราไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ 10% นี้ที่เกิดกับเรา แต่อีก 90% ที่เหลือนั้นเราสามารถกำหนดได้และนี่ก็คือการประยุกต์ใช้หลักการ 90/10  ถ้ามีผู้ใดกล่าวร้ายต่อคุณ อย่าทำตัวเป็นฟองน้ำดูดซับความรู้สึกต่างๆเข้าตัวเอง ให้ถ้อยคำเหล่านั้นเหมือนน้ำบนแผ่นแก้ว  อย่าให้มันทำร้ายคุณได้!


การตอบโต้ที่ถูกต้องเหมาะสมจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายคุณ ในทางตรงกันข้ามถ้าการตอบโต้ที่ผิด อาจทำให้เสียเพื่อน ถูกออกจากงาน หรือเกิดความเครียดขึ้นได้

คุณเคยสำรวจปฏิกิริยาของตัวเองเมื่อมีคนขับรถมาแซงหรือปาดหน้ารถคุณหรือไม่ คุณอาจจะอารมณ์เสีย กระทั่งทุบพวงมาลัยหรือเปล่าเพราะผมเคยมีเพื่อนที่โกรธจัดจนทำพวงมาลัยรถหักหลุด คุณอาจสบถหรือด่าทอกระทั่งความดันโลหิตพุ่งจี๊ด บางคนอาจจะพยายามขับจี้ตามไปชนรถคันดังกล่าว
คุณไม่เป็นอะไรหรอกหากจะมาถึงที่ทำงานช้าไปสัก 10 วินาที  ทำไมคุณจะปล่อยให้รถคันเดียวทำให้การขับรถของคุณมีปัญหา นึกถึงหลักการ 90/10 ไว้ และไม่ต้องกังวลอะไรกับมันอีก

หรืออีกกรณี หากคุณถูกออกจากงาน  
เหตุการณ์นี้ทำให้คุณต้องคิดมาก เครียด จนนอนไม่หลับ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าคุณเอาเวลานั้นมาคิดหางานใหม่

หรือกรณีที่เครื่องบินมาถึงช้ากว่ากำหนด ทำให้กระทบกับกำหนดการต่าง ๆ ที่คุณได้วางแผนไว้ ทำไมคุณต้องหงุดหงิดใส่พนักงานต้อนรับ เหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในความควบคุมของพวกเธอเลย ใช้เวลาระหว่างที่รอคอยนี้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นแทนที่จะมัวเคร่งเครียด ซึ่งมีแต่ทำให้สถานการณ์แย่ลงและไม่ได้เป็นผลดีกับตัวคุณเอง


เชื่อว่ามาถึงจุดนี้ คุณคงจะรู้จัก หลักการ 90/10 แล้ว ขอให้นำมาปรับใช้ คุณจะพบว่ามันให้ผลดีแก่คุณ อย่างน่าอัศจรรย์
หลัก 90/10 นี้ อาจจะดูเหลือเชื่อและน้อยคนที่จะคิดถึงหลักง่าย ๆ นี้ ผู้คนนับล้าน ๆ คนที่ทนทุกข์กับความเครียดรุนแรง ความเจ็บปวดและปัญหาต่าง ๆ เพียงแค่เราเข้าใจและนำเอาหลัก 90/10 ที่ง่าย ๆ นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
มันเปลี่ยนชีวิตของคุณให้ดีขึ้นได้แน่ !!!



ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ
บันทึกการเข้า
Sylar
ทีมงานแสงอุษา
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 95
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,004



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 11:59:34 »

ผมขอเซฟกับไปอ่านบ้านนะครับ  เดี่ยวจะกลับมาคอมเม้นใหม่

ขอบคุณมากคัรบ
บันทึกการเข้า

tony
เกี๊ยวหวาน
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,079



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 12:05:10 »

ดีมักๆ
บันทึกการเข้า

ไม่ค่อยว่างมาดูเท่าไร แต่หัวใจยังกิ๊ดตึ๋ง
Solutions
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 138



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 12:05:35 »

ผมเคยอ่านแต่
กฎ 80/20 กฎเศรษฐศาสตร์มหัศจรรย์

ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีความรู้สึกดังต่อไปนี้เกิดขึ้นในชีวิต


- ทำงานสายตัวแทบขาด แต่ไม่เห็นร่ำรวยสมกับแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทไป


- การตัดสินใจไม่กี่ครั้งกลับมีความสำคัญมากกว่าการตัดสินใจส่วนใหญ่ของชีวิต


- เราเสียเงินซื้อเสื้อผ้าเต็มตู้ แต่กลับใส่จริงๆ แค่ชุดโปรดไม่กี่ชุด


- ฯลฯ


ปรากฎการณ์ข้างต้นเป็นปรากฎการณ์ที่แสดงถึงความไม่สมดุลที่พบเห็นประจำในชีวิตประจำวัน และในระดับมหภาค ไม่น่าเชื่อว่ามีนักคิดหลายคนได้นำปรากฎการณ์ที่ไม่สมดุลนี้มาเขียนเป็นกฎจนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์


ผู้ที่ค้นคว้าปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นคนแรกของโลกคือนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนชื่อ Vilfredo Pareto (1849 – 1923) เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว ซึ่ง Pareto ได้สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความมั่งคั่งกับสัดส่วนประชากรของประเทศอิตาลีในศตวรรษที่ 19 พบว่าร้อยละ 80 ของรายได้และความมั่งคั่งของประเทศท้งหมดมาจากประชากรร้อยละ 20 ของประเทศ และ Pareto ยังแสดงข้อมูลในหลายช่วงเวลาของอิตาลีและประเทศอื่นๆ ในขณะนั้นว่าเป็นไปในลักษณะเดียวกัน Pareto จึงตั้งชื่อปรากฎการณ์นี้ว่า Pareto Principle หรือ กฎ 80/20 ยังมีปรากฎการณ์อื่นที่คล้ายกับสิ่งที่ Pareto ค้นพบ


เช่น Sir Isaac Pitman ผู้ประดิษฐ์การเขียนชอร์ตแฮนด์ พบว่ามีคำศัพท์เพียง 700 คำในภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ถึงสองในสามของการสื่อสารพูดคุยในชีวิตประจำวัน และ 700 คำเป็นรากศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษทั้งหมดกว่าร้อยละ 80


หรือเรามักจะสังเกตได้ว่าในคลังสินค้าต่างๆ มูลค่าสินค้าที่เคลื่อนย้ายออกบ่อย 20% แรก จะมีมูลค่ารวมกันถึง 80% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมดในคลังสินค้า

กฎข้างต้นเป็นการอ้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลสองชุด เช่น ระหว่างรายได้และความมั่งคั่งกับสัดส่วนประชากร หรือระหว่างการใช้คำจำนวนหนึ่งกับการใช้คำในภาษาอังกฤษทั้งหมด ภาพต่อไปนี้แสดงถึงกฎ 80/20 ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวเลขมหัศจรรย์ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในความไม่สมดุลของสิ่งต่างๆ ในโลก

ต่อมามีนักวิชาการหลายคนได้นำกฎของ Pareto มาประยุกต์ และเรียกว่า กฎของการออกแรงน้อยที่สุด (Principle of Least Effort) โดย George K. Zipf นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี 1949 และต่อมาได้นำแนวคิดนี้ไปใช้กันอย่างแพร่หลายในการค้นหาข้อมูลในห้องสมุด นอกจากนั้นวิศวกรอเมริกันชื่อ Joseph Juran ผลักดันให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Quality Revolution ระหว่าง 1950 – 1990 โดยเริ่มกระบวนการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ญี่ปุ่น ในปี 1953 ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นแนวคิดของ Total Quality Control และ Six Sigma ในเวลาต่อมา


บริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งได้นำเอาข้อสังเกตของความไม่สมดุล หรือกฎ 80/20 นี้ มาประยุกต์ในกลยุทธ์ด้านธุรกิจ เช่น บริษัทจะทราบว่ายอดขาย กำไร หรือการใช้งาน มิได้มาจากสาเหตุส่วนใหญ่ (จำนวนสินค้า จำนวนคน กลยุทธ์) อย่างเท่าเทียม แต่มาจากสาเหตุส่วนน้อยที่มีคุณภาพ จึงทำให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่การหาประโยชน์จากส่วนน้อยนั้น และพยายามขยายส่วนของสาเหตุที่ยังไม่เป็นประโยชน์ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น


หรือ ในปี 1963 บริษัท IBM สำรวจพบว่าร้อยละ 80 ของเวลาและทรัพยากรในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะเป็นการใช้งานจากโค้ดของ Operating System เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ดังนั้น IBM จึงได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้ใช้ประโยชน์จากส่วนร้อยละ 20 นี้ให้มากขึ้น ทำให้ส่วนนี้สามารถถูกใช้งานได้อย่างสะดวกและง่ายขึ้น


ดังนั้นจึงทำให้คอมพิวเตอร์ของ IBM ในยุคนั้นทำงานเร็ว และมีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่ง

อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็น 80/20 เสมอไป บางครั้งอาจจะเป็น 80/30 หรือ 80/10 หรือ 75/10 ก็ได้ ซึ่งตัวเลขไม่จำเป็นต้องบวกกันให้ได้ 100 เพราะเลขที่ใช้เป็นคนละชุดของข้อมูลกัน


กล่าวโดยรวมๆ คือกฎนี้จะตรงกันข้ามกับลักษณะ 50/50 หรือกฎความสมดุล ที่บอกว่าร้อยละ 50 ของ Inputs ก่อให้เกิดร้อยละ 50 ของ Outputs หรือผลงานที่เกิดขึ้น ซึ่งก็สามารถอธิบายปรากฎการณ์นี้ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การทำงานในชีวิตประจำวันของเรา


ผลงานที่ปรากฎส่วนใหญ่ จะเป็นการทำงานที่เกิดขึ้นในการใช้เวลาส่วนน้อยในแต่ละวัน หรือเวลาทำงานทั้งหมดของเรามิได้มีผลต่อความก้าวหน้าในงานของเรา ดังนั้นเราต้องทราบว่าเวลาที่สำคัญส่วนน้อยที่เป็นประโยชน์มากนั้นอยู่ตรงไหน และจะใช้มันให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร


หรือเราอาจจะประหลาดใจที่ได้เห็นเพื่อนบางคนไม่ได้เรียนหนัก แต่มีความรู้และได้คะแนนดี ซึ่งเราจะพบว่าหนังสือที่ต้องอ่าน หรือเนื้อหาการบรรยายที่ต้องทำความเข้าใจทั้งหมดมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นหัวใจในการตอบคำถามในการสอบ ประเด็นอยู่ตรงที่ร้อยละ 20 นั้นคืออะไร และอยู่ตรงไหน

กฎ 80/20 นี้สอดคล้องกับหลักเศรษฐศาสตร์ที่พยายามศึกษาหาหนทางที่จะให้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ในชีวิตประจำวันเราได้ 2 แนวทางคือ


1)จัดสรรทรัพยากรมายังปัจจัยส่วนน้อยที่เป็นประโยชน์ต่อการเกิดผลส่วนใหญ่มากขึ้น เช่น หากเราค้นพบว่าสินค้า 2 ตัว ใน 10 ตัวของบริษัทที่ทำกำไรให้เป็นส่วนใหญ่ เราก็ต้องหาทางสนับสนุนและขยายการทำตลาดสินค้าทำเงินเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น


2)ทำให้ Inputs ส่วนใหญ่ที่ยังไม่สร้างประโยชน์มากนักให้มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเราไม่ควรจะปล่อยให้ส่วนหนึ่งของการใช้งานสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

ที่มา
โค๊ด:
http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=415&page=1
บันทึกการเข้า
MeGaBiZ
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,090



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 12:23:17 »

ทุกคนมี ความรับผิดชอบ (responsibility) ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คับ  :wink: (responsibility มาจากคำว่า response กับ คำว่า ability เมื่อแยกศัพท์ออกมาแล้ว จะมีความหมายว่าความสามารถที่จะเลือกตอบสนอง)

Stephen R. Covey คนเขียนบทความนี้
เป็นคนแต่งหนังสือเรื่อง 7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง หรือ The Seven Habits of Highly Effective People
เป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองที่ดีมากๆ แนะนำให้อ่านคับ  Cool
บันทึกการเข้า
Ctrl-Alt-Del
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 608



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 12:32:11 »

อ่านแล้วดีมากครับ ขอบคุณครับ  Cheesy
บันทึกการเข้า

...
jane
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 25
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,265



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 12:44:53 »

ดี....จัง

ขอบคุณค่ะ  Cheesy
บันทึกการเข้า

youcanberich
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 124
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,803



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 13:08:41 »

เคย ได้ยิน คราวๆ มานานแล้วอะแต่ยังไม่เึคยอ่านเต็มๆซะที วันนี้ได้อ่านหมดเลย ทั้ง 80/20 และ 90/10 ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

aomnaruk
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,245



ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 13:37:06 »

ขอบคุณครับ :lol:  :lol:
บันทึกการเข้า
win
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 143
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,849



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 13:52:13 »

เป็นข้อคิดที่ดีจริงๆ ขอบคุณครับ

หลายๆ เรื่องในชีวิต ถ้าไม่ได้คอขาดบาดตาย ก็จงมองเป็นเรื่องขำๆ ซะ
ชีวิตจะได้ไม่เครียดมากไปและสดใสขึ้นอีกเยอะ

ตัวอย่างแนวคิดนี้ก็ หนังเรื่อง

Life is Beautiful   Cheesy
บันทึกการเข้า
Judas
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 937



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 14:15:26 »

ชอบครับ อ่านจบแล้ว
บันทึกการเข้า

sud
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 881



ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 14:35:04 »

ดีคับ ผมซื้อหนังสือมายังไม่ได้อ่านเลยอะ ขอบคุณมากๆ ผมชอบ  :lol:
บันทึกการเข้า

To be "successful" you have to learn and want to learn yourself - there are no shortcuts.
ถังเก็บน้ำ แท้งค์น้ำ ช็อกโกแลต แท๊งค์น้ำสแตนเลส
ColdMoney
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 200
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12,622



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 17:52:38 »

ดีครับ ผมชอบอ่ะ ขอบคุณนะครับ  :lol:
บันทึกการเข้า

geno
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,605



ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 17:59:43 »

ดีครับ  ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

Teng
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 891



ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 18:00:41 »

ในหนังสือของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ก็กล่าวเอาไว้เหมือนกันครับ กฎ 90/10
บันทึกการเข้า
sier
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 28



ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 18:17:11 »

เป็นข้อคิดที่ดีมากเลยคะ ^^/
บันทึกการเข้า

LOVE L'Are~en~ciel & HOLY FOREVER



.
.
idelsonar
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 59
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,018



ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 18:48:44 »

เหมือน Butterfly effect เลยแฮะ
บันทึกการเข้า

MeGaBiZ
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,090



ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 18:56:31 »

อ้างจาก: "idelsonar"
เหมือน Butterfly effect เลยแฮะ


ใช่ๆ ทุกการตอบสนองของเรา กับเหตุการ์ณต่างๆ ที่เราเจอ ส่งผลทำให้อนาคตของเราต่างไปได้มากทีเดียว

จะต่างกันแค่เราย้อยเวลาไม่ได้  Cool
บันทึกการเข้า
richeuro
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 32



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 21:25:19 »

เคยอ่านกฎ 80/20 กับกฎ 90/10 นานมากแล้วครับ ประมาณ4-5ปีแล้วครับ หนังสือสองเล่มนี้ตอนนั้นขายดีมากเลยครับ หนามากด้วย ผมอ่านมาได้คร่าวๆ ขอเสริมนิดนึงครับ ในหนังสือเค้าบอกว่า กฎ 80/20 ในเรื่องของความมั่งคั่ง หมายความว่า เมื่อคิดมูลค่าทรัพย์สินของทั้งโลกนี้รวมกันแล้ว ประชากรเพียง 20% บนโลกจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินมูลค่ารวม 80% ของโลกนี้ และประชากรอีก 80% ที่เหลือจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินมูลค่าเพียง 20% บนโลกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ แม้ว่าเราจะ reset โลกใบนี้ใหม่ ให้ทุกคนเริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมด สุดท้ายแล้ว ประชากร 20% เดิมนั้น ก็จะกลับมาครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 80% ของโลกเช่นเดิม

นั่นหมายความว่า ความร่ำรวยนั้น ไม่ใช่โชควาสนา แต่เป็นหลักการคิดและการกระทำที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น เวลาจะทำอะไรก็จงคิดให้แตกต่างจากคนทั่วไปเข้าไว้ หลักการนี้ผมก็ใช้เป็นคติสอนใจอยู่เสมอครับ เป็นทฤษฎีที่ผมชอบมากๆเลย

แต่ในหนังสือยังเขียนต่อไปอีกว่า ในอนาคตนั้น กฎนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก จากกฎ 80/20 กลายเป็นกฎ 90/10 หมายความว่า ความมั่งคั่งของโลกจะไปกระจุกตัวอยู่ในวงแคบๆมากยิ่งขึ้น เพราะผู้ที่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างมหาศาล ก็ยังคงร่ำรวยต่อไป ต่อไป และต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้น้อยนั้นก็ยังคงไม่สามารถก้าวตามได้ทัน และยิ่งห่างไกล ห่างไกล ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

แต่ในปัจจุบัน ผมคิดว่าหลักการนี้กำลังถูกลบล้างไปด้วยinternet เพราะ internet ทำให้คนหลายคนกลายเป็นผู้มั่งคั่ง มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ นักศึกษาหลายคนสามารถสร้างรายได้จาก internet ปีหนึ่งมากกว่า 1ล้านเหรียญ และคนอีกหลายแสนคนสามารถสร้างรายได้บนเนตได้อย่างงดงาม

internet เปลี่ยนแปลงโลกมากแค่ไหน?? ทุกคนในเวปนี้คงเข้าใจดี สิ่งยืนยันน่ะเหรอครับ... ปีที่แล้วนิตยสาร the newyork times ได้ประกาศให้ผู้ใช้ internet ทั่วโลกเป็นบุคคลแห่งปี แทนการยกย่องเพียงคนหนึ่งคนใด และประกาศว่า ผู้ใช้อินเตอร์เนตทั่วโลกเป็นผู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ข้อมูล..คิดเอง
อ้างอิง..จากหนังสือที่เคยอ่านเมื่อ5ปีที่แล้ว
ปล.. กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน

richeuro
บันทึกการเข้า
amaudy
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 9
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,212



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 01 มีนาคม 2007, 22:03:13 »

มีอยู่ช่วงนึง ผมเซ็งๆกับตัวเอง สับสนกับชีวิต
ทำอะไรก็ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่
เลยอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตบ้าง
ไปเจอหนังสือเล่มนี้แหละครับ "7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง" (The Seven Habits of Highly Effective People)
โอ! รู้สึกคึกขึ้นมาทีเดียว อ่านไปก็อ๋อไป ได้อะไรดีๆหลายอย่างมากจากหนังสือเล่มนี้ คุ้มกับเงินที่เสียไป

ช่วงเวลาเหมาะ หลังจากที่ผมอ่านจบเล่มได้ไม่นาน
มีโอกาสได้ไปบวชตามประเพณี
ประเพณีทางบ้านผม ต้องบวชเป็นพรรษานะครับ (เป็นพระสายกรรมฐาน วิปัสนาครับ)

การวิปัสนาการคือฝึกให้เห็นตามจริง ตามความเป็นจริง ฝึกให้มีสติ รู้จักอารมณ์ของตนเอง รู้จักตัวของเราเอง

เนื้อหาในหนังสือ "7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง" มันก็คือธรรมะดีๆนี่เอง
สิ่งที่มีในหนังสือคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้มาแล้ว เคยกล่าวสอนไว้แล้ว
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ เราๆท่านๆหลายคนมองข้ามไป แม้แต่ผมเองก็เถอะ เราสนใจแต่เรื่องอื่น แต่ไม่ได้สนใจ "ใจ" ของเราเองเลย

ฝึกวิปัสนากันบ้างนะครับ ไม่ต้องเข้าวัดก็ได้ อย่าที่เงียบๆค่อยๆฝึกไป อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ถ้าคุณยังหายใจอยู่

ถ้าเริ่มต้นไม่ถูก ลองฟัง "วิปัสนานุบาล" ของคุณดังตฤณ นะครับ เข้าใจง่ายดีครับ
http://www.dungtrin.org/vipassana.html

แก้ไข เพิ่มรูป เผื่อใครดูแล้วเกิดอยากบวชบ้าง
ผมไม่บอกนะว่าผมนั่งตรงไหน เดาเองนะครับ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1] 2  ทั้งหมด   ขึ้นบน
พิมพ์