จากกระทู้นี้ค่ะ
http://www.thaiseoboard.com/in...2.msg635931/topicseen.html#new ตอนแรกค่ะ
ก่อนอื่นขอออกตัวนิดนึงว่า ไมได้คิดว่าตัวเองเก่งกาจอะไร ดังนั้น ใครคิดเห็นอย่างไร หรือ เจอที่เขียนผิดตรงไหน ก็ท้วงติง และ comment ได้ตามสะดวกค่ะ
ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้นเอง ไม่ได้คัดลอกมาจากไหน และ ขออนุญาตสงวนสิทธิ์ตาม พรบ คอม นะคะ (ไม่อยากให้เป็น duplicate content มากไปน่ะค่ะ)
ผู้ที่อ่าน ควรจะสามารถใช้ excel คำนวณอะไรพื่นฐานได้พอสมควร หรือ สามารถใช้ internet ได้ เพื่อการหาข้อมูล หรือ ดูเว็บที่จะให้ในโอกาสต่อๆ ไป
อ้อ และ ที่สำคัญคือ บอกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก่อนว่า พี่เล่นมานานแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้กำไรตลอดเวลาที่ยาวนานนั้นเลย เรียกได้ว่า กำไรเมื่อปีหลังๆ มานี้เอง โดยใช้แนวทางหลายๆ แนวทางผสมกันไป
หุ้นนั้น มีท้งคนที่ได้ และ เสีย เป็น Zero Sum Game คือ เป็นอะไรที่ผลกำไรของคนที่กำไร ก็มาจากผลขาดทุนของคนอื่นๆ มีคนได้กำไร ก็มีคนขาดทุน (ไหนจะค่าคอมที่ต้องเสียให้กับโบรกเกอร์อีก) - แก้ไข ไม่ต้องสนใจประโยคนี้นะคะ
การแนะนำการซื้อขายหุ้น ผู้ที่ลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนจะลงทุน หาความรู้มากๆ ค่ะ ที่เขียนอาจจะไม่มีเนื้อหาอะไรมาก แต่จะพยายาม (น้ำเยอะเหลือเกิน)
เห็นน้องๆ บางคน รู้จักเก็บเงิน รู้จักสร้างรายได้ ก็คิดว่า หากมีความรู้เรื่องการลงทุนกันตั้งแต่ยังเด็กก็น่าจะดี แต่คงไม่ยินดีนัก หากเขียนแล้ว มีคนคิดว่ามันง่าย จนเปิดพอร์ต และ หมดเงินไปมากมาย (ซึ่งต้องโดนครหาแน่ๆ ว่ามาหาแมงเม่าแถวนี้เปล่า)
ปูพื้นฐานกันก่อนว่า หุ้น คือ อะไรสมมติ เรากับเพื่อน ต้องการทำธุรกิจ โดยใช้เงินลงทุน 10,000 บาท โดยลงหุ้นกันคนละ 5,000 บาท โดยกำหนดว่าให้มีจำนวนหุ้น 1,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท
ดังนั้น เราและเพื่อน จึงถือหุ้นคนละครึ่ง คือ คนละ 500 หุ้น หรือ ลงเงินคนละ 5,000 บาท
ทำธุรกิจซื้อมา ขายไป จนมีกำไร 1,000 บาท จากเงินลงทุน 10,000 บาทนั้น
เทียบได้ง่ายๆ ว่า แต่ละหุ้น สร้างผลกำไร หุ้นละ 1 บาท (อันนี้ คิดแบบง่ายๆ เลย ไม่มีปัจจัยอื่นมาคิดให้สับสน)
ณ ตอนนี้ เท่ากับว่า มูลค่าหุ้น จะกลายเป็น 11 บาทต่อหุ้น
จนวันนึง เพื่อนของเรา หรือ เรา ตัดสินใจเลิกลงทุน หรือเลิกการเป็นเจ้าของหุ้น จึงอาจจะขายคืนเพื่อนไป หรือหาเพื่อนมาซื้อ
เพื่อนที่มาซื้อ ถ้าหากเค้าคิดว่า ธุรกิจน่าจะไปต่อได้ดี ก็อาจจะยอมซื้อที่ราคาหุ้นละ 11 บาท หรือ ยอมซื้อในราคาที่สูงกว่า เช่น 12 บาท 13 บาท เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ถ้าหากคนที่คิดจะซื้อต่อ ไม่แน่ใจในกิจการ ก็อาจจะต่อรองว่า ขอซื้อในราคา 9 บาท หรือเท่าราคาตามบัญชีตอนเริ่มต้น คือ 10 บาท
ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงราคา
อันนี้ คือ แบบง่ายๆ (แล้วจะอธิบายให้ยุ่งยากทำไม ^_^)
ดังนั้น หุ้น ก็คือ สิ่งที่เป็นสิ่งแสดงแทนความเป็นเจ้าของกิจการ หุ้นมีหลายแบบ อันนี้ขอผ่าน ไม่สันทัดค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติม
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99
เลยค่ะ
แล้ว ตลาดหุ้น คือ อะไรตลาดหุ้น ก็คือ แหล่งสำหรับซื้อขายหุ้นนั่นเองค่ะ เรียกตามชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บางคนเรียก ตลาดหลักทรัพย์ เพราะเข้าไปแล้วเงินหาย เหมือนโดนลักทรัพย์ ^_^)
ตัวย่อของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ ตลท กำกับดูแลโดย กลต (คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์)
ทำไมต้องมี ตลทเพื่อการระดมทุนค่ะ เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่ง
สมมติว่า มีบริษัทหนึ่ง ต้องการเงินทุน 1,000 ล้าน แต่ไม่มีแหล่งเงินกู้ ก็เลยสนใจจะเข้าตลาดเพื่อระดมทุน การเข้าตลาด มันก็มีขั้นตอนค่ะ มีการออก IPO หรือ Initial Public Offering ที่เค้าเรียกกันว่า ไอ พี โอ ก็คือ หุ้นใหม่ที่เสนอขายให้แก่สาธารณชนตอนเริ่มเข้าตลาดวันแรก คือ ต้องจองกันค่ะ ก็ไม่เคยจองได้เลยค่ะ อาจจะด้วยสาเหตุจองน้อยไป หรือ จองช้าไป ยิ่งมีการเสนอขายให้กับบุคคลที่จำกัดด้วย เลยอด แต่ก็ซื้อหลังจากเข้าตลาดมาซื้อขายในกระดานก็ได้ค่ะ ไม่ต้องรีบจอง เพราะจองต้องจ่ายเงินก่อน และถ้าไมได้ก็คืน ส่วนตัวคิดว่ายุ่งยากพอสมควร
หุ้นมีหลายแบบ อย่างที่ซื้อขาย หรือ เรียกว่า เทรดกันในตลาดนั้น เป็นหุ้นสามัญ แบบไร้ใบหุ้น (แต่จริงๆ ถ้าเราจะเอาใบหุ้นก็ได้นะคะ เดี๋ยวค่อยขยายความค่ะ ย่อๆ คือ ตอนเราเปิดบัญชีซื้อขาย เรามีการเซนต์เอกสาร กับ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ถ้าเราจะเอาใบหุ้นมาแปะฝาบ้าน เค้าพูดเล่นๆ กันค่ะ ว่า สมมติ ราคาที่เราซื้อไว้ตอนราคาสูงๆ พอลงมามากๆ เจ็บใจ เลยเอาใบหุ้นมาแปะบ้านเล่น เหมือนที่เค้าชอบใช้คำว่า เอามาแปะฝาบ้าน แต่ ก็ทำจริงๆ ได้ค่ะ)
ราคาหุ้นเมื่อพูดถึงราคาหุ้น จะมีหลายแบบ เช่น ราคาตามบัญชี อันนี้ หมายถึง ราคาหุ้นตอนออกใหม่ เรียกว่าตามมูลค่าบัญชี แต่ราคาที่พูดถึงเวลาซื้อขายนั้น จะเป็น ราคาปัจจุบัน ณ เวลานั้นๆ
ราคาปัจจุบัน หมายถึง ราคาล่าสุด หรือ ราคาที่มีการซื้อขาย ณ เวลานั้นๆ
ราคาเมื่อวาน หมายถึง ราคาปิด ณ เวลาทำการวันที่ผ่านมา (เมื่อวาน) หรือ เมื่อวันศุกร์ ในกรณีวันหยุด
ราคาวันนี้ หมายถึง ราคาที่มีการซ้อขายวันนี้ มีสองแบบ คือ ราคาสูงสุดวันนี้และ ราคาต่ำสุดวันนี้
เปอร์เซนต์การเปลี่ยนแปลง คิดจาก ราคาที่เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง จากราคาเดิม เช่น เช่น หุ้น ปตท (ptt) ราคาปิดเมื่อวาน 160 บาท วันนี้ เพิ่มขึ้น 2 บาท มาอยู่ที่ 162 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้น 162-160 = 2 บาท จาก 160 บาท
จึงคำนวณได้ ดังนี้ 2/160 = 1.25%
ราคาซื้อขาย ราคาปิด ราคาเปิด ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็เป็นราคาหุ้นที่เคลื่อนไหว ในแต่ละวันน่ะค่ะ ดู ตัวอย่าง ราคาหุ้นของ ptt ได้จากหน้านี้นะคะ ไม่ยากค่ะ
http://www.settrade.com/S13_FastQuote.jsp?txtBrokerId=IPO&selectPage=&txtSymbol=ptt
ถ้าหากสนใจราคาหุ้นตัวอื่นๆ ก็ลองเปลี่ยนชื่อย่อของหุ้นแต่ละตัว ซึ่ง ชื่อย่อ ก็มี guide ให้ ในหน้านี้ค่ะ สามารถค้นหาได้
http://www.settrade.com/C18_Search_Symbol.jsp?txtBrokerId=IPO&txtSymbol=&selectPage=
http://www.set.or.th/th/company/companylist.html
ให้ถือข้อมูลในเว็บไซต์
www.set.or.th เป็นหลักนะคะ เพราะเป็นเว็บไซต์เป็นทางการของ ตลท ค่ะ
การเทรดหุ้นมีกำไร หรือ ขาดทุน นั้น ปัจจัยหลักๆ เลย ก็เป็นเพราะส่วนต่างของราคา หรือ ราคาที่มันเคลื่อนไหวนี่ล่ะค่ะ ส่วนปัจจัยอื่นๆ ก็เป็นเรื่องของ timing หรือ จังหวะที่เข้าซื้อขาย และ ปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
ตอนหน้า วันพฤหัส เรามาดูกันทีละส่วนนะคะ
ตอนที่ 2 ค่ะ
http://www.thaiseoboard.com/in...x.php/topic,50000.new.html#new