โดย : ก้องเกียรติ
วัยเด็กวิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์
เกิดวันที่ 28 ตุลาคม 1955 ที่เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
เขาเกิดในครอบครัวของนักกฎหมาย ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ 3 (William Henry Gates III) เกตส์มีพี่น้อง 3 คน เขาเป็นคนกลาง และเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่อบอุ่นและมีอันจะกิน
เมื่อเกตส์อายุประมาณ 12 ปี เขาเรียนอยู่ในระดับ 6 (เทียบเท่าชั้นประถมปีที่ 6) เป็นช่วงเวลาที่เขากับแม่มีความขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อกับแม่ของเกตส์จึงตัดสินใจว่าควรจะพาเกตส์ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา หลังจากผ่านการพบกับผู้เชี่ยวชาญไปได้หนึ่งปี ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้พ่อและแม่ของเกตส์ควรหาทางปรับตัวให้เข้ากับเกตส์จะเป็นการดีกว่า
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1968 เกตส์เข้าเรียนในระดับ 8 ที่โรงเรียนซีแอตเติลเลคไซด์ ที่นี่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า ๆ อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งซื้อด้วยเงินบริจาคของกลุ่มผู้ปกครอง ตอนนั้นเกตส์มีอายุได้
13 ปี เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา และในอนาคตได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์กับเขา พอล อัลเลน เรียนอยู่ในระดับ 10 อัลเลนอายุแก่กว่าเกตส์ 2 ปี แต่ทั้งสองสนใจในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ คอมพิวเตอร์
มกราคม 1969 ทางโรงเรียนเริ่มเปิดหลักสูตรคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ทั้งเกตส์และ
อัลเลนเริ่มหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับทุกคนที่นั่นรวมทั้งครูผู้สอนด้วย ทั้งสองคนจึงต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โดยการศึกษาจากคู่มือที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่าที่จะหาได้ พวกเขาใช้เวลาเป็นวัน ๆ หมดไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
หลังจากเวลาผ่านไป 6 เดือน ทางโรงเรียนได้ขอให้พ่อแม่ของเกตส์และอัลเลนช่วยจ่ายค่าเช่าเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะทั้งสองคนใช้คอมพิวเตอร์เกินเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดไปมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาทั้งสองคนจึงถูกควบคุมเวลาในการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่าง
เข้มงวด แม้ว่าจะมีอุปสรรคแต่ความสนใจในคอมพิวเตอร์ของคนทั้งสองยังไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็ค้นพบสถานที่ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างไม่จำกัดเวลา
โดยการที่เกตส์และอัลเลนได้เข้าไปแนะนำตัวเองและตกลงเซ็นสัญญากับทางบริษัท CCC (Computer Center Corporation) ซึ่งมีข้อตกลงว่าทั้งเกตส์และอัลเลนจะสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้มากเท่าที่เขาทั้งสองต้องการ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่เขาทั้งสองจะต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบั๊กที่เกิดขึ้นในเครื่อง PDP-10 ให้กับทาง CCC ซึ่งทาง CCC จะได้รายงานมันให้กับทางดิจิตอลเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระเงินค่าเครื่องคอมพิวเตอร์
ในปี 1971 อัลเลนเข้าเรียนต่อในคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ส่วนในปี 1973 เกตส์เข้าเรียนต่อทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งในเวลานี้เขาอยู่ในช่วงที่สับสน ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ปีแรกของเกตส์ที่ฮาร์วาร์ด เขาใช้นโยบายโดดเรียนให้มากที่สุดและมาเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เมื่อใกล้ ๆ วันสอบ เขาใช้เวลาที่อยู่นอกห้องเรียนให้หมดไปกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เพราะเขาพบว่าสิ่งที่ไพ่โป๊กเกอร์สอนเขา คือมันทำให้เขารู้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ละคนมีกลวิธีในการเล่นอย่างไร จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนการเล่นของตัวเองเพื่อนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด
…บทเรียนที่เขาได้รับจากการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในครั้งนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเกตส์มานั่งบริหารไมโครซอฟท์…
ที่ฮาร์วาร์ด เกตส์ได้รู้จักกับสตีฟ บอลล์เมอร์ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนเอกทางด้านคณิตศาสตร์ โดยในภายหลังได้กลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน ทั้งสองพักอยู่ในห้องพักเดียวกันที่หอพักคูเรียร์เฮาส์ โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทั้งคู่พยายามโดดเรียนให้มากที่สุดและทำคะแนนให้สูงที่สุด เกตส์บอกว่าวิธีการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ดีโดยเฉพาะในการทำธุรกิจ และเขาก็ไม่เคยนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ในการทำงานที่ไมโครซอฟท์เลย
…หลังจากที่เกตส์สร้างไมโครซอฟท์ขึ้น บอลล์เมอร์กลายมาเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่ง ในความสำเร็จของไมโครซอฟท์จนกระทั่งปัจจุบัน…
ก่อนการก่อตั้งธุรกิจอัลเลนยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเกตส์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองพูดคุยกันถึงโอกาสที่จะสร้างบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของตนเอง และพยายามมองหาโอกาสนั้นอย่างจริงจัง
ในปี 1974 อินเทลเปิดตัวไมโครโพรเซสเซอร์รุ่น 8080 ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่น 4004 และ 8008 ที่ผ่านมา มันทรงพลังกว่าชิปรุ่น 8008 ถึง 10 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าไม่มากนัก แต่บรรจุทรานซิสเตอร์เอาไว้ถึง 2,700 ตัว ครั้งนี้อินเทลเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของชิปของตนอย่างเต็มที่และต้องการที่จะขยายตลาดออกไปในวงกว้าง หลังจากที่ทั้งสองได้ศึกษาคู่มือของมันโดยละเอียด จึงได้เล็งเห็นว่าดิจิตอลไม่มีทางขายเครื่อง PDP-8 ได้อีกต่อไป เพราะถ้าชิปขนาดเล็กอย่าง 8080 มีความสามารถมากขนาดนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะแข่งขันได้ และพวกเขาจะต้องสร้างภาษาเบสิกสำหรับชิป 8080 ซึ่งอัลเลนเชื่อว่าจะเป็นกุญแจที่นำพวกเขาทั้งสองไปสู่
ความสำเร็จ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องรอคอยคือ เครื่องคอมพิวเตอรที่ใช้ชิป 8080 ในการทำงาน
เดือนธันวาคม 1974 สิ่งที่เขาทั้งสองกำลังรอคอยก็มาถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องปิ้งขนมปัง ชื่อว่า "อัลแตร์ 8800 (ALTAIR 8800)" ซึ่งเอ็ด โรเบิร์ต และบริษัทของเขาชื่อ
เอ็มไอทีเอสเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทั้งเกตส์และอัลเลนรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่สำคัญมากเพียงใดและต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องชิงโอกาสนี้มาให้ได้ ทั้งสองพยายามติดต่อไปที่โรเบิร์ต และการเจรจาในการเอาโปรแกรมภาษาเบสิกที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นสำหรับอัลแตร์ไปใส่ไว้ในเครื่องก็เป็นไปด้วยความราบรื่น ซึ่งอัลเลนได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมงานกับทางเอ็มไอทีเอสในตำแหน่งซอฟต์แวร์ไดเร็กเตอร์ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับอัลแตร์ในเดือนพฤษภาคม 1975 ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุ 22 ปี
การก่อตั้งธุรกิจ
กำเนิดไมโครซอฟท์เพื่อการเจรจาข้อตกลงกับเอ็มไอทีเอสได้สะดวกมากขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 1975 เกตส์และอัลเลนได้ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "ไมโครซอฟท์ (Microsoft)" ซึ่งหมายความถึงซอฟต์แวร์สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ และนี่ถือเป็นจุดกำเนิดของไมโครซอฟท์
ช่วงระหว่างปีการศึกษา 1975 ถึงปี 1976 เกตส์ได้กลับไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด แต่ภายในใจของเขาไม่มีเรื่องของตำรากฎหมายอีกต่อไปแล้ว ใน 2-3 เดือนต่อมาเขาเดินทางกลับมาทำงานที่
เอ็มไอทีเอส และสิ่งที่เขาคิดในตอนนั้นก็คือ จะทำอย่างไรจึงจะสามารถขยายธุรกิจไมโครซอฟท์ออกไปให้ยิ่งใหญ่ได้ เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เขาจะต้องติดต่อกับบริษัทผู้สร้างไมโครคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ เพื่อขายสิ่งที่เขาและอัลเลนร่วมกันสร้างขึ้นมา
ปีแรกของไมโครซอฟท์ระหว่างที่เขายังคงรักษาสภาพการเป็นนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ด เกตส์กลายเป็นนักพูดเกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ขณะเดียวกันเขาได้พัฒนาทักษะใน
การดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เกตส์ค้นพบในไม่ช้าว่า ขณะที่อัลเลนยังคงทำงานอยู่ที่เอ็มไอทีเอส เขาเพียงคนเดียวจะไม่สามารถผลักดันไมโครซอฟท์ให้เดินรุดหน้าต่อไปได้ดีเท่าที่ควร เขาจึงเริ่มมองหาผู้ที่จะเข้ามาช่วยงานด้านการเขียนโปรแกรมของเขาได้
เดือนเมษายน 1976 มาร์ค แมคโดนัลด์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนเลคไซด์ กลายมาเป็นพนักงานคนแรกของไมโครซอฟท์ ในเดือนต่อมา ริค เวย์แลนด์ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเกตส์อีกเช่นเคย ได้กลายมาเป็นพนักงานคนที่สองของไมโครซอฟท์ เนื่องจากไมโครซอฟท์ยังไม่มีสำนักงาน ทั้งสองคนจึงต้องทำงานที่อพาร์ทเมนท์ของตนเอง โดยเกตส์จะเป็นผู้ตรวจสอบโปรแกรมที่ทั้งสองเขียนมาทั้งหมด
สิงหาคม 1976 เกตส์จ้างพนักงานอีก 2 คนคือ อัลเบิร์ต ชู และสตีฟ วู๊ด ถึงตอนนี้เมื่อรวมเกตส์และอัลเลน ไมโครซอฟท์จะมีพนักงานทั้งสิ้น 6 คนแล้ว และถึงเวลาที่ควรจะมีสำนักงานเป็นของตนเองเสียที โดยการเช่าสำนักงานแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอัลบูเคอร์คิวซึ่งมีห้องทั้งหมด
4 ห้อง เป็นสำนักงานแห่งแรกของไมโครซอฟท์
ฤดูใบไม้ร่วงปี 1976 ชีวิตการเป็นนักศึกษาของเกตส์ก็สิ้นสุดลง เขาพบว่าเขาไม่สามารถที่จะเรียนและบริหารไมโครซอฟท์ไปพร้อม ๆ กันได้ และเขาเลือกไมโครซอฟท์ ในเดือนพฤศจิกายน 1976 อัลเลนได้ลาออกจากเอ็มไอทีเอสเพื่อมาช่วยเกตส์ทำงานที่ไมโครซอฟท์เต็มเวลา โดยเด็กหนุ่มทั้ง 6 คนได้อุทิศเวลาให้กับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำอย่างไม่สามารถที่จะนับเป็นชั่วโมงการทำงานได้
…บัดนี้ไมโครซอฟท์พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตซึ่งรอคอยพวกเขาอยู่…
อย่างไรก็ตามจะลืม มิเรียม ลูโบว์ เสียไม่ได้ ตอนนั้นเธออายุ 42 ปีและเป็นคุณแม่ลูก 4 เธอเป็นเลขาคนแรกของไมโครซอฟท์ที่มีหน้าที่ดูแลงานด้านเอกสารต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการเงินเดือน การทำบัญชี การจัดซื้อ การดูแลคำสั่งซื้อของลูกค้า ฯลฯ เธอจะคอยดูแลพนักงานของไมโครซอฟท์ทุกคนเหมือนลูก ให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างสบายที่สุด เพื่อที่จะมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิของพวกเขาได้ ซึ่งงานทั้งหมดที่ลูโบว์ทำนั้นได้กลายมาเป็นแผนกหลายแผนกของไมโครซอฟท์ในเวลาต่อมา
กลับสู่วอชิงตันต้นปี 1978 ไมโครซอฟท์เปิดตัวเบสิกเวอร์ชันที่ 5 ซึ่งยังคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงสิ้นปีนั้น รายได้ของไมโครซอฟท์ขึ้นสู่ระดับล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปีที่ผ่านมา มีพนักงานทั้งสิ้น 13 คน เกตส์และอัลเลนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนในการบริหาร โดยอัลเลนดูแลด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ส่วนเกตส์ดูแลทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ รวมทั้งงานประจำวันในบริษัท
สิ่งที่เกตส์เป็นห่วงคือ การที่ไมโครซอฟท์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องการผู้ร่วมงานที่มีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งเมืองอย่างอัลบูเคอร์คิวนั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาในเรื่องนี้ได้ ทำให้เกตส์และอัลเลนตัดสินใจที่จะย้ายสำนักงานกลับมาที่วอชิงตัน ซึ่งที่นี่ปรัชญาอย่างหนึ่งของไมโครซอฟท์ในการเลือกพนักงานเข้ามาร่วมงานได้เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ
"คนที่มีใจรักและมีความสามารถเป็นพิเศษในการเขียนและพัฒนาโปรแกรม โดยไม่เห็นความจำเป็นของการมีปริญญาพ่วงท้าย คุณสมบัติต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากมหาวิทยาลัยไม่สำคัญเท่ากับความกระตือรือร้นในการทำงาน และความสามารถในการเขียนโปรแกรมของคน ๆ นั้น"
ในปี 1978 เกตส์และคนของไมโครซอฟท์ทุกคนมีความสุขอยู่กับการครอบครองตลาดโปรแกรมภาษาเครื่องสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีคู่แข่งขัน ในตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ขณะนั้น นอกเหนือจากมีการออกแบบสถาปัตยกรรมและระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันแล้ว ภาษาเบสิกของไมโครซอฟท์กำลังกลายเป็นมาตรฐานของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องไปเสียแล้ว
ในเดือนมีนาคม 1980 สตีฟ บอลล์เมอร์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของเกตส์ได้เข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ และกลายมาเป็นกำลังสำคัญที่สุดคนหนึ่งในช่วงเวลาต่อมา
จับมือกับไอบีเอ็มในโปรเจ็กต์ Chessปี 1980 ข่าวคราวความสำเร็จอย่างมหาศาลของแอปเปิ้ลในอุตสาหกรรมพีซีคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มเริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์มากขึ้น ไอบีเอ็มตัดสินใจจัดตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดำเนินงานโปรเจ็กต์ Chess โดยเริ่มต้นศึกษาถึงความสำเร็จของแอปเปิ้ล สิ่งที่พวกเขาค้นพบมี 2 อย่างคือ แอปเปิ้ลให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และสถาปัตยกรรมของพวกเขาเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิด ทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องติดตามมาเป็นจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ
จากการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของแอปเปิ้ล ทำให้ทีม Chess สังเกตพบว่า ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ที่รู้เรื่องของไมโครคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และโปรแกรมเบสิกของไมโครซอฟท์ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกปี ซึ่งเป็นที่ประทับใจทีมงานของไอบีเอ็มเป็นอย่างมาก
ในที่สุดไอบีเอ็มตกลงที่จะให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ สำหรับเครื่องไมโคร-คอมพิวเตอร์ ทั้งภาษาเบสิก รวมถึงฟอร์แทรน ปาสกาล และโคบอลด้วย ซึ่งในตอนแรกทางไอบีเอ็มตัดสินใจที่จะใช้ระบบปฏิบัติการ CP/M (Control Program for Microcomputer) ของดิจิตอลรีเสิร์ชที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในตอนนั้น แต่ทางดิจิตอลรีเสิร์ชกลับไม่ให้ความสนใจซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ดังนั้นไอบีเอ็มจึงตกลงให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแทน ทั้งที่เกตส์รู้ว่ามีความเสี่ยงมากเนื่องจากไอบีเอ็มมีกำหนดเส้นตายที่เข้มงวด และสงวนสิทธิ์ที่จะยกเลิกสัญญา
เมื่อไรก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดมือไป เกตส์รู้เป็นอย่างดีว่าไมโครซอฟท์ไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการที่ไอบีเอ็มต้องการได้ทันกำหนดเวลา จึงทำการซื้อระบบปฏิบัติการ QDOS (Quick and Dirty Operating System) จากทิม แพตเตอร์สันในราคาเพียงแค่ 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อมาทำการพัฒนาต่อ
…การร่วมมือกันระหว่างไอบีเอ็มกับไมโครซอฟท์ในการพยายามพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ จะส่งผลกระทบอันยาวไกลต่ออนาคตของทั้งสองบริษัทและต่ออุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบ…
ตลอดช่วงระยะเวลาของการร่วมมือกัน ไมโครซอฟท์ได้ให้คำปรึกษาแก่ไอบีเอ็มในหลาย ๆ เรื่อง และการทำงานร่วมกับไอบีเอ็มได้สร้างมาตรฐานใหม่ ๆ หลายอย่างให้กับไมโครซอฟท์ เกตส์รับเอามาตรฐานการทำงานของไอบีเอ็มเข้าไว้ในมาตรฐานของไมโครซอฟท์ทีละน้อย ๆ พวกเขาค่อย ๆ เปลี่ยนมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การวางแผนโครงการ ตลอดจนมาตรฐานด้านความมั่นคงและปลอดภัย
เกตส์และทีมงานร่วมกันพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ จนกระทั่งนาทีสุดท้าย จึงเกิดเป็นดอสเวอร์ชัน 1.0 มีจำนวนบรรทัดทั้งสิ้น 4,000 บรรทัด เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลี และใช้เนื้อที่ของหน่วยความจำทั้งสิ้น 12 กิโลไบต์ ซึ่งไอบีเอ็มก็ยอมรับเอ็มเอสดอสที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์เป็นระบบปฏิบัติการของเครื่องไอบีเอ็มพีซีอย่างเป็นทางการ