ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.com< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน)สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe)เส้นทางชีวิตของผู้เริ่มต้นจาก O > BILL GATES & MICROSOFT
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เส้นทางชีวิตของผู้เริ่มต้นจาก O > BILL GATES & MICROSOFT  (อ่าน 8664 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
kitdee
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 305
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,162



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มกราคม 2009, 04:34:00 »

โดย : ก้องเกียรติ



วัยเด็ก

วิลเลี่ยม  เฮนรี่  เกตส์
เกิดวันที่ 28 ตุลาคม 1955  ที่เมืองซีแอตเติล  มลรัฐวอชิงตัน  สหรัฐอเมริกา

 

เขาเกิดในครอบครัวของนักกฎหมาย ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ 3 (William Henry Gates III) เกตส์มีพี่น้อง 3 คน  เขาเป็นคนกลาง และเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่อบอุ่นและมีอันจะกิน

เมื่อเกตส์อายุประมาณ 12 ปี เขาเรียนอยู่ในระดับ 6 (เทียบเท่าชั้นประถมปีที่ 6) เป็นช่วงเวลาที่เขากับแม่มีความขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อกับแม่ของเกตส์จึงตัดสินใจว่าควรจะพาเกตส์ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา หลังจากผ่านการพบกับผู้เชี่ยวชาญไปได้หนึ่งปี ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้พ่อและแม่ของเกตส์ควรหาทางปรับตัวให้เข้ากับเกตส์จะเป็นการดีกว่า

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1968 เกตส์เข้าเรียนในระดับ 8 ที่โรงเรียนซีแอตเติลเลคไซด์ ที่นี่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า ๆ อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งซื้อด้วยเงินบริจาคของกลุ่มผู้ปกครอง ตอนนั้นเกตส์มีอายุได้
13 ปี  เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา  และในอนาคตได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์กับเขา พอล อัลเลน เรียนอยู่ในระดับ 10 อัลเลนอายุแก่กว่าเกตส์ 2 ปี  แต่ทั้งสองสนใจในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ คอมพิวเตอร์

มกราคม 1969 ทางโรงเรียนเริ่มเปิดหลักสูตรคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ทั้งเกตส์และ
อัลเลนเริ่มหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับทุกคนที่นั่นรวมทั้งครูผู้สอนด้วย ทั้งสองคนจึงต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โดยการศึกษาจากคู่มือที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่าที่จะหาได้ พวกเขาใช้เวลาเป็นวัน ๆ หมดไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

หลังจากเวลาผ่านไป 6 เดือน ทางโรงเรียนได้ขอให้พ่อแม่ของเกตส์และอัลเลนช่วยจ่ายค่าเช่าเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะทั้งสองคนใช้คอมพิวเตอร์เกินเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดไปมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาทั้งสองคนจึงถูกควบคุมเวลาในการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่าง
เข้มงวด  แม้ว่าจะมีอุปสรรคแต่ความสนใจในคอมพิวเตอร์ของคนทั้งสองยังไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็ค้นพบสถานที่ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างไม่จำกัดเวลา

โดยการที่เกตส์และอัลเลนได้เข้าไปแนะนำตัวเองและตกลงเซ็นสัญญากับทางบริษัท CCC (Computer Center Corporation) ซึ่งมีข้อตกลงว่าทั้งเกตส์และอัลเลนจะสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้มากเท่าที่เขาทั้งสองต้องการ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่เขาทั้งสองจะต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบั๊กที่เกิดขึ้นในเครื่อง PDP-10 ให้กับทาง CCC ซึ่งทาง CCC จะได้รายงานมันให้กับทางดิจิตอลเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระเงินค่าเครื่องคอมพิวเตอร์

ในปี 1971 อัลเลนเข้าเรียนต่อในคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ส่วนในปี 1973 เกตส์เข้าเรียนต่อทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งในเวลานี้เขาอยู่ในช่วงที่สับสน ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ปีแรกของเกตส์ที่ฮาร์วาร์ด เขาใช้นโยบายโดดเรียนให้มากที่สุดและมาเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เมื่อใกล้ ๆ วันสอบ เขาใช้เวลาที่อยู่นอกห้องเรียนให้หมดไปกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เพราะเขาพบว่าสิ่งที่ไพ่โป๊กเกอร์สอนเขา คือมันทำให้เขารู้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ละคนมีกลวิธีในการเล่นอย่างไร จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนการเล่นของตัวเองเพื่อนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

…บทเรียนที่เขาได้รับจากการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในครั้งนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเกตส์มานั่งบริหารไมโครซอฟท์…

ที่ฮาร์วาร์ด เกตส์ได้รู้จักกับสตีฟ บอลล์เมอร์ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนเอกทางด้านคณิตศาสตร์ โดยในภายหลังได้กลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน ทั้งสองพักอยู่ในห้องพักเดียวกันที่หอพักคูเรียร์เฮาส์ โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทั้งคู่พยายามโดดเรียนให้มากที่สุดและทำคะแนนให้สูงที่สุด เกตส์บอกว่าวิธีการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ดีโดยเฉพาะในการทำธุรกิจ และเขาก็ไม่เคยนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ในการทำงานที่ไมโครซอฟท์เลย

…หลังจากที่เกตส์สร้างไมโครซอฟท์ขึ้น บอลล์เมอร์กลายมาเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่ง  ในความสำเร็จของไมโครซอฟท์จนกระทั่งปัจจุบัน…

ก่อนการก่อตั้งธุรกิจ
อัลเลนยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเกตส์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองพูดคุยกันถึงโอกาสที่จะสร้างบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของตนเอง และพยายามมองหาโอกาสนั้นอย่างจริงจัง

ในปี 1974 อินเทลเปิดตัวไมโครโพรเซสเซอร์รุ่น 8080 ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่น 4004 และ 8008 ที่ผ่านมา มันทรงพลังกว่าชิปรุ่น 8008 ถึง 10 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าไม่มากนัก แต่บรรจุทรานซิสเตอร์เอาไว้ถึง 2,700 ตัว ครั้งนี้อินเทลเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของชิปของตนอย่างเต็มที่และต้องการที่จะขยายตลาดออกไปในวงกว้าง หลังจากที่ทั้งสองได้ศึกษาคู่มือของมันโดยละเอียด จึงได้เล็งเห็นว่าดิจิตอลไม่มีทางขายเครื่อง PDP-8 ได้อีกต่อไป เพราะถ้าชิปขนาดเล็กอย่าง 8080 มีความสามารถมากขนาดนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะแข่งขันได้ และพวกเขาจะต้องสร้างภาษาเบสิกสำหรับชิป 8080 ซึ่งอัลเลนเชื่อว่าจะเป็นกุญแจที่นำพวกเขาทั้งสองไปสู่
ความสำเร็จ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องรอคอยคือ เครื่องคอมพิวเตอรที่ใช้ชิป 8080 ในการทำงาน

เดือนธันวาคม 1974 สิ่งที่เขาทั้งสองกำลังรอคอยก็มาถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องปิ้งขนมปัง ชื่อว่า "อัลแตร์ 8800 (ALTAIR 8800)" ซึ่งเอ็ด โรเบิร์ต และบริษัทของเขาชื่อ
เอ็มไอทีเอสเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทั้งเกตส์และอัลเลนรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่สำคัญมากเพียงใดและต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องชิงโอกาสนี้มาให้ได้ ทั้งสองพยายามติดต่อไปที่โรเบิร์ต และการเจรจาในการเอาโปรแกรมภาษาเบสิกที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นสำหรับอัลแตร์ไปใส่ไว้ในเครื่องก็เป็นไปด้วยความราบรื่น ซึ่งอัลเลนได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมงานกับทางเอ็มไอทีเอสในตำแหน่งซอฟต์แวร์ไดเร็กเตอร์ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับอัลแตร์ในเดือนพฤษภาคม 1975 ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุ 22 ปี

การก่อตั้งธุรกิจ
กำเนิดไมโครซอฟท์


เพื่อการเจรจาข้อตกลงกับเอ็มไอทีเอสได้สะดวกมากขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 1975 เกตส์และอัลเลนได้ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "ไมโครซอฟท์ (Microsoft)" ซึ่งหมายความถึงซอฟต์แวร์สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ และนี่ถือเป็นจุดกำเนิดของไมโครซอฟท์

ช่วงระหว่างปีการศึกษา 1975 ถึงปี 1976 เกตส์ได้กลับไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด แต่ภายในใจของเขาไม่มีเรื่องของตำรากฎหมายอีกต่อไปแล้ว ใน 2-3 เดือนต่อมาเขาเดินทางกลับมาทำงานที่
เอ็มไอทีเอส และสิ่งที่เขาคิดในตอนนั้นก็คือ จะทำอย่างไรจึงจะสามารถขยายธุรกิจไมโครซอฟท์ออกไปให้ยิ่งใหญ่ได้ เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เขาจะต้องติดต่อกับบริษัทผู้สร้างไมโครคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ เพื่อขายสิ่งที่เขาและอัลเลนร่วมกันสร้างขึ้นมา

 

ปีแรกของไมโครซอฟท์

ระหว่างที่เขายังคงรักษาสภาพการเป็นนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ด เกตส์กลายเป็นนักพูดเกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ขณะเดียวกันเขาได้พัฒนาทักษะใน
การดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เกตส์ค้นพบในไม่ช้าว่า ขณะที่อัลเลนยังคงทำงานอยู่ที่เอ็มไอทีเอส เขาเพียงคนเดียวจะไม่สามารถผลักดันไมโครซอฟท์ให้เดินรุดหน้าต่อไปได้ดีเท่าที่ควร เขาจึงเริ่มมองหาผู้ที่จะเข้ามาช่วยงานด้านการเขียนโปรแกรมของเขาได้

เดือนเมษายน 1976 มาร์ค แมคโดนัลด์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนเลคไซด์ กลายมาเป็นพนักงานคนแรกของไมโครซอฟท์ ในเดือนต่อมา ริค เวย์แลนด์ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเกตส์อีกเช่นเคย ได้กลายมาเป็นพนักงานคนที่สองของไมโครซอฟท์ เนื่องจากไมโครซอฟท์ยังไม่มีสำนักงาน ทั้งสองคนจึงต้องทำงานที่อพาร์ทเมนท์ของตนเอง โดยเกตส์จะเป็นผู้ตรวจสอบโปรแกรมที่ทั้งสองเขียนมาทั้งหมด

สิงหาคม 1976 เกตส์จ้างพนักงานอีก 2 คนคือ อัลเบิร์ต ชู และสตีฟ วู๊ด ถึงตอนนี้เมื่อรวมเกตส์และอัลเลน ไมโครซอฟท์จะมีพนักงานทั้งสิ้น 6 คนแล้ว และถึงเวลาที่ควรจะมีสำนักงานเป็นของตนเองเสียที โดยการเช่าสำนักงานแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอัลบูเคอร์คิวซึ่งมีห้องทั้งหมด
4 ห้อง เป็นสำนักงานแห่งแรกของไมโครซอฟท์

ฤดูใบไม้ร่วงปี 1976 ชีวิตการเป็นนักศึกษาของเกตส์ก็สิ้นสุดลง เขาพบว่าเขาไม่สามารถที่จะเรียนและบริหารไมโครซอฟท์ไปพร้อม ๆ กันได้ และเขาเลือกไมโครซอฟท์ ในเดือนพฤศจิกายน 1976 อัลเลนได้ลาออกจากเอ็มไอทีเอสเพื่อมาช่วยเกตส์ทำงานที่ไมโครซอฟท์เต็มเวลา โดยเด็กหนุ่มทั้ง 6 คนได้อุทิศเวลาให้กับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำอย่างไม่สามารถที่จะนับเป็นชั่วโมงการทำงานได้

…บัดนี้ไมโครซอฟท์พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตซึ่งรอคอยพวกเขาอยู่…

อย่างไรก็ตามจะลืม มิเรียม ลูโบว์ เสียไม่ได้ ตอนนั้นเธออายุ 42 ปีและเป็นคุณแม่ลูก 4 เธอเป็นเลขาคนแรกของไมโครซอฟท์ที่มีหน้าที่ดูแลงานด้านเอกสารต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการเงินเดือน การทำบัญชี การจัดซื้อ การดูแลคำสั่งซื้อของลูกค้า ฯลฯ เธอจะคอยดูแลพนักงานของไมโครซอฟท์ทุกคนเหมือนลูก ให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างสบายที่สุด เพื่อที่จะมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิของพวกเขาได้ ซึ่งงานทั้งหมดที่ลูโบว์ทำนั้นได้กลายมาเป็นแผนกหลายแผนกของไมโครซอฟท์ในเวลาต่อมา

 

กลับสู่วอชิงตัน

ต้นปี 1978 ไมโครซอฟท์เปิดตัวเบสิกเวอร์ชันที่ 5 ซึ่งยังคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงสิ้นปีนั้น รายได้ของไมโครซอฟท์ขึ้นสู่ระดับล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปีที่ผ่านมา มีพนักงานทั้งสิ้น 13 คน เกตส์และอัลเลนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนในการบริหาร โดยอัลเลนดูแลด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ส่วนเกตส์ดูแลทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ รวมทั้งงานประจำวันในบริษัท

สิ่งที่เกตส์เป็นห่วงคือ การที่ไมโครซอฟท์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องการผู้ร่วมงานที่มีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งเมืองอย่างอัลบูเคอร์คิวนั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาในเรื่องนี้ได้ ทำให้เกตส์และอัลเลนตัดสินใจที่จะย้ายสำนักงานกลับมาที่วอชิงตัน ซึ่งที่นี่ปรัชญาอย่างหนึ่งของไมโครซอฟท์ในการเลือกพนักงานเข้ามาร่วมงานได้เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ

"คนที่มีใจรักและมีความสามารถเป็นพิเศษในการเขียนและพัฒนาโปรแกรม โดยไม่เห็นความจำเป็นของการมีปริญญาพ่วงท้าย คุณสมบัติต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากมหาวิทยาลัยไม่สำคัญเท่ากับความกระตือรือร้นในการทำงาน และความสามารถในการเขียนโปรแกรมของคน ๆ นั้น"

ในปี 1978 เกตส์และคนของไมโครซอฟท์ทุกคนมีความสุขอยู่กับการครอบครองตลาดโปรแกรมภาษาเครื่องสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีคู่แข่งขัน ในตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ขณะนั้น นอกเหนือจากมีการออกแบบสถาปัตยกรรมและระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันแล้ว ภาษาเบสิกของไมโครซอฟท์กำลังกลายเป็นมาตรฐานของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องไปเสียแล้ว

ในเดือนมีนาคม 1980 สตีฟ บอลล์เมอร์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของเกตส์ได้เข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ และกลายมาเป็นกำลังสำคัญที่สุดคนหนึ่งในช่วงเวลาต่อมา

 

จับมือกับไอบีเอ็มในโปรเจ็กต์ Chess

ปี 1980 ข่าวคราวความสำเร็จอย่างมหาศาลของแอปเปิ้ลในอุตสาหกรรมพีซีคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มเริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์มากขึ้น ไอบีเอ็มตัดสินใจจัดตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดำเนินงานโปรเจ็กต์ Chess โดยเริ่มต้นศึกษาถึงความสำเร็จของแอปเปิ้ล สิ่งที่พวกเขาค้นพบมี 2 อย่างคือ แอปเปิ้ลให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และสถาปัตยกรรมของพวกเขาเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิด ทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องติดตามมาเป็นจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ

จากการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของแอปเปิ้ล ทำให้ทีม Chess สังเกตพบว่า ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ที่รู้เรื่องของไมโครคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และโปรแกรมเบสิกของไมโครซอฟท์ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกปี ซึ่งเป็นที่ประทับใจทีมงานของไอบีเอ็มเป็นอย่างมาก

ในที่สุดไอบีเอ็มตกลงที่จะให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ สำหรับเครื่องไมโคร-คอมพิวเตอร์ ทั้งภาษาเบสิก รวมถึงฟอร์แทรน ปาสกาล และโคบอลด้วย ซึ่งในตอนแรกทางไอบีเอ็มตัดสินใจที่จะใช้ระบบปฏิบัติการ CP/M (Control Program for Microcomputer) ของดิจิตอลรีเสิร์ชที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในตอนนั้น แต่ทางดิจิตอลรีเสิร์ชกลับไม่ให้ความสนใจซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ดังนั้นไอบีเอ็มจึงตกลงให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแทน ทั้งที่เกตส์รู้ว่ามีความเสี่ยงมากเนื่องจากไอบีเอ็มมีกำหนดเส้นตายที่เข้มงวด และสงวนสิทธิ์ที่จะยกเลิกสัญญา
เมื่อไรก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดมือไป เกตส์รู้เป็นอย่างดีว่าไมโครซอฟท์ไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการที่ไอบีเอ็มต้องการได้ทันกำหนดเวลา จึงทำการซื้อระบบปฏิบัติการ QDOS (Quick and Dirty Operating System) จากทิม แพตเตอร์สันในราคาเพียงแค่ 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อมาทำการพัฒนาต่อ

…การร่วมมือกันระหว่างไอบีเอ็มกับไมโครซอฟท์ในการพยายามพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ จะส่งผลกระทบอันยาวไกลต่ออนาคตของทั้งสองบริษัทและต่ออุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบ…

ตลอดช่วงระยะเวลาของการร่วมมือกัน ไมโครซอฟท์ได้ให้คำปรึกษาแก่ไอบีเอ็มในหลาย ๆ เรื่อง และการทำงานร่วมกับไอบีเอ็มได้สร้างมาตรฐานใหม่ ๆ หลายอย่างให้กับไมโครซอฟท์ เกตส์รับเอามาตรฐานการทำงานของไอบีเอ็มเข้าไว้ในมาตรฐานของไมโครซอฟท์ทีละน้อย ๆ พวกเขาค่อย ๆ เปลี่ยนมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การวางแผนโครงการ ตลอดจนมาตรฐานด้านความมั่นคงและปลอดภัย

เกตส์และทีมงานร่วมกันพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ จนกระทั่งนาทีสุดท้าย จึงเกิดเป็นดอสเวอร์ชัน 1.0 มีจำนวนบรรทัดทั้งสิ้น 4,000 บรรทัด เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลี และใช้เนื้อที่ของหน่วยความจำทั้งสิ้น 12 กิโลไบต์ ซึ่งไอบีเอ็มก็ยอมรับเอ็มเอสดอสที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์เป็นระบบปฏิบัติการของเครื่องไอบีเอ็มพีซีอย่างเป็นทางการ

 
บันทึกการเข้า

"ชีวิตนี้สั้นนัก, อย่ายึดติดกับกฎเกณฑ์, อภัยให้ไว, รักอย่างแท้จริง, หัวเราะให้เต็มที่ และยิ้มอยู่เสมอ "
kitdee
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 305
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,162



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มกราคม 2009, 04:36:21 »



ชัยชนะของเอ็มเอสดอส

12 สิงหาคม 1981 ไอบีเอ็มประกาศเปิดตัวเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการ และได้รับการต้อนรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้เอ็มเอสดอสประสบความสำเร็จตามไปด้วย ซึ่งคู่แข่งรายสำคัญในตลาดระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นยังคงเป็นดิจิตอลรีเสิร์ช หนึ่งปีหลังจากการวางตลาดของไอบีเอ็มพีซี จำนวนของผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หันมาใช้
เอ็มเอสดอส เป็นระบบปฏิบัติการมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในขณะเดียวกันไมโครซอฟท์ก็ได้ปรับปรุงเอ็ม-เอสดอสให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้นตามลำดับ

แต่ชัยชนะที่เห็นได้ชัดเจนของเอ็มเอสดอสเกิดขึ้นในปี 1983 เมื่อโลตัสได้เปิดตัวโปรแกรม
โลตัส 1-2-3 ซึ่งทำงานบนเอ็มเอสดอสออกมาและได้รับความสำเร็จอย่างล้นหลาม จึงส่งผลทำให้เอ็มเอสดอสได้รับการยอมรับว่า เป็นมาตรฐานของระบบปฏิบัติการของเครื่องพีซี

…นับแต่นั้นมา ก็เข้าสู่ยุคของไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่ในวงการซอฟต์แวร์…

ความล้มเหลวของไมโครซอฟท์

ในขณะที่ไมโครซอฟท์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จของโปรแกรม VisiCalc ของ
แอปเปิ้ล ทำให้เกตส์และอัลเลนตัดสินใจว่า พวกเขาควรจะขยายงานของไมโครซอฟท์เข้าไปในตลาดเกี่ยวกับโปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ แทนที่จะมัวพัฒนาแต่เพียงโปรแกรมภาษาเครื่องแต่เพียงอย่างเดียว โดยพวกเขาเลือกที่จะพัฒนาโปรแกรมทางด้านสเปรดชีตเป็นอย่างแรก

การวางแผนในการพัฒนาแอพพลิเคชันทางด้านสเปรดชีตของไมโครซอฟท์ที่จะเอาชนะ
วิสิแคลให้ได้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในตลาดของสเปรดชีต ไมโครซอฟท์เป็นคนที่มาทีหลัง ดังนั้นสิ่งที่เกตส์คิดคือ สิ่งที่พวกเขาทำต้องดีกว่าและมีความแตกต่างมากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาด และอีกช่องทางที่เขาจะสามารถชนะคู่แข่งได้คือ โปรแกรมของไมโครซอฟท์จะต้องสามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกบริษัทและทุกระบบปฏิบัติการ นอกจากนั้นเกตส์ตัดสินใจที่จะใช้
ภาษาซีในการเขียนเนื่องจากมันเป็นภาษาระดับสูง ทำให้สามารถเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้มากขึ้น ด้วยยุทธศาสตร์ดังกล่าว เกตส์เชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้

โปรแกรมดังกล่าวชื่อว่า "มัลติแพลน" ซึ่งเกตส์ยินยอมทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ นั่นคือต้องสามารถทำงานโดยใช้หน่วยความจำน้อยกว่า 64K ซึ่งทำให้โปรแกรมเมอร์ของไมโครซอฟท์ที่ดูแลโครงการนี้อยู่ต้องทำงานซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคาดหมาย และกลายมาเป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงในเวลาต่อมา

มัลติแพลนได้รับการต้อนรับจากผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก แต่ยอดการจำหน่ายก็ยังคงสู้
วิสิแคลไม่ได้อยู่ดี เดือนมกราคม 1983 ยอดขายรวมของวิสิแคลขึ้นไปถึง 500,000 ชุด แต่เกิดความ-ขัดแย้งกันขึ้นภายในเสียก่อน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับมัลติแพลนของไมโครซอฟท์ แต่ผู้ที่มาหยิบชิ้นปลามันไปกินในครั้งนี้กลับเป็นโลตัส 1-2-3

โลตัส 1-2-3 เปิดตัวครั้งแรกในงานคอมเด็กซ์ ที่ลาสเวกัสในเดือนพฤศจิกายน 1982 ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างมากจากบรรดานักธุรกิจ โดยภายในเวลาเพียงแค่ 2-3 วันหลังจากการเปิดตัว ก็มีคำสั่งซื้อโลตัส 1-2-3 เข้ามานับล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนนับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก โลตัส 1-2-3 ก็สามารถแซงวิสิแคลขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโปรแกรมทางด้านสเปรดชีต และไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรที่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้

เดือนกุมภาพันธ์ 1984 ไมโครซอฟท์นำมัลติแพลนเวอร์ชัน 1.1 ออกสู่ตลาด มัลติแพลนเวอร์ชันดังกล่าวสามารถทำงานกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้เกือบทุกระบบ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทาง
โลตัส 1-2-3 ไม่สามารถทำได้ และทำให้ผู้ผลิตเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์หลายแห่งนำมัลติแพลนออกจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจากตน อย่างไรก็ตามการที่โลตัส 1-2-3 เขียนขึ้นมาเพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มรวมทั้งเครื่องที่เลียนแบบ ทำให้มันได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ถึงสิ้นปี 1984 โลตัสกลายมาเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่มีรายได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยมีรายได้รวมกันถึง 157 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไมโครซอฟท์มีรายได้เพียง 125 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

กำเนิดไมโครซอฟท์เอ็กเซล

เกตส์ตัดสินใจว่าไมโครซอฟท์ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในที่ประชุมเกตส์บอกกับทุกคนว่าความเร็วในการคำนวณเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่สุด บางคนเสนอว่าโปรแกรมที่สร้างขึ้นใหม่ควรที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสูตรในการคำนวณด้วยตนเองได้ ขณะที่บางคนบอกว่าควรสร้างโปรแกรมที่ออกมาในรูปของกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ เหมือนกับ
แมคอินทอชของแอปเปิ้ล หรือวินโดวส์ที่ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาอยู่

นอกจากนี้เกตส์ยังอยากจะให้คนที่ทำหน้าที่ทางด้านการตลาดเป็นผู้ที่เข้ามาดูแลในเรื่องข้อกำหนดกฏเกณฑ์สำหรับซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า "เอ็กเซล" ตัวนี้ด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่แตกต่างไปจากการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยปกติ เหตุผลก็คือเกตส์เชื่อว่า คนที่ทำหน้าที่ทางการตลาดจะมีความใกล้ชิดและทราบความต้องการของผู้ใช้งานมากกว่า

เนื่องจากบรรดาธุรกิจส่วนใหญ่ของอเมริกายอมรับเอาโลตัส 1-2-3 เป็นมาตรฐานของโปรแกรมประเภทนี้ไปแล้ว ทีมการตลาดของไมโครซอฟท์จึงเชื่อว่า เป็นการยากที่จะเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ และตลาดเดียวที่ไมโครซอฟท์จะยังสามารถเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในโปรแกรมประเภทสเปรดชีตได้คือ ตลาดของแมคอินทอช

ในทัศนะของเกตส์เอง การนำเอ็กเซลเข้าบุกตลาดเครื่องแมคอินทอชเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลแรกคือเกตส์เชื่อว่า  อนาคตของโปรแกรมต่าง ๆ จะต้องเป็นโปรแกรมประเภทกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซเท่านั้น การพัฒนาเอ็กเซลสำหรับทำงานบนวินโดวส์ที่ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาอยู่อาจจะยังไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะวินโดวส์ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เอ็กเซลทำงานได้อย่างเต็มที่ และการที่ไมโครซอฟท์พัฒนาเอ็กเซลสำหรับเครื่องแมคอินทอชก่อน จะทำให้ได้รับประสบการณ์จากการทำงานและนำมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมสำหรับวินโดวส์ของตนเอง

สำหรับเหตุผลที่สองนั้น เกตส์ทราบข่าวมาว่า แอปเปิ้ลจะนำเครื่องแมคอินทอชที่มีหน่วยความจำ 512K เข้าสู่ตลาด ซึ่งจะทำให้เอ็กเซลสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

ในขณะเดียวกันโลตัสก็ได้เตรียมการพัฒนาโปรแกรมโลตัส 1-2-3 และโปรแกรมอื่น ๆ สำหรับเครื่องแมคอินทอชเช่นเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า "Jazz" ซึ่งพวกเขาจะสร้างให้แจ๊ซมีทั้งโปรแกรมทางด้านดาต้าเบส, สเปรดชีต, กราฟิก, เวิร์ด และการติดต่อสื่อสาร

ในตอนแรกแมคอินทอชต้องการจะใช้แต่แจ๊ซของโลตัสเท่านั้น แต่ทว่าในเดือนมีนาคม 1985 โลตัสออกมาประกาศเลื่อนกำหนดการในการวางตลาดของแจ๊ซออกไปอีก 2 เดือน ทำให้ความสนใจในแจ๊ซของคนทั่วไปลดลงอย่างช่วยไม่ได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่โลตัสออกมาประกาศการเลื่อนกำหนดการวางตลาดผลิตภัณฑ์ของตนเอง ความล่าช้าดังกล่าวทำให้แมคอินทอชหันกลับมาให้ความสนใจกับเอ็กเซลแทน ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการตัดหน้าแจ๊ซเพียงแค่ 3 สัปดาห์

นอกจากนี้ เมื่อแจ๊ซออกวางตลาดจริง ๆ มันถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้งานจำนวนมาก สาเหตุใหญ่ ๆ ก็คือ

1.      การขาดคุณสมบัติเรื่องมาโคร การขาดคุณสมบัติในเรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับคนจำนวนมาก เพราะมาโครเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความสำเร็จให้กับโลตัส 1-2-3

2.      สามารถอ่านงานที่เป็นสเปรดชีตในรูปแบบของโลตัสได้ แต่ไม่สามารถสร้างงานที่เป็นสเปรดชีตในรูปแบบของโลตัสได้ เอ็กเซลกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการที่จะนำงานที่ทำด้วยโลตัส 1-2-3 มาทำต่อบนแมคอินทอช

3.      การทำงานช้ามาก นี่เป็นอีกเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะการที่โลตัส 1-2-3 ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่ถูกใจของคนจำนวนมาก

ด้วยความสำเร็จของเอ็กเซลทำให้ไมโครซอฟท์กลายเป็นอันดับหนึ่งสำหรับผู้พัฒนา
แอพพลิเคชันที่ใช้งานทางธุรกิจ และทำให้พวกเขาสามารถเขี่ยโลตัสออกจากโลกของแมคอินทอชได้อย่างเด็ดขาด

…บทเรียนหนึ่งที่เกตส์ได้เรียนรู้จากชัยชนะในครั้งนี้ก็คือ ไมโครซอฟท์มีความเข้มแข็งมากในเรื่องของกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ จากจุดนั้น เส้นทางแห่งการไปสู่ชัยชนะในตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็ได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว…

แม้ว่าโลตัสจะพ่ายแพ้แก่ไมโครซอฟท์ในตลาดเครื่องแมคอินทอช แต่โลตัสก็ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งในตลาดซอฟต์แวร์อยู่ดี แต่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าไมโครซอฟท์ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า และน่าจะสามารถแซงหน้าโลตัสขึ้นไปได้ เนื่องจากไมโครซอฟท์มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า และผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีคุณภาพที่ดี ขณะที่โลตัสมีผลิตภัณฑ์ที่เด่น ๆ อยู่เพียงตัวเดียวคือ โลตัส 1-2-3 ซึ่งทำรายได้ให้กับโลตัสถึง 60% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอ็กเซลทำรายได้ให้แก่ไมโครซอฟท์เพียงแค่ 8% เท่านั้น

หลังจากการพัฒนาเอ็กเซลสำหรับแมคอินทอชเสร็จสิ้นลง การพัฒนาเอ็กเซลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็เป็นเป้าหมายต่อไป ซึ่งมันเป็นงานที่ยากกว่าเนื่องจากวินโดวส์มีความซับซ้อนมากกว่าแอปเปิ้ล และในวันที่ 6 ตุลาคม 1987 เอ็กเซลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้งานในระดับธุรกิจ

เกตส์บอกว่า เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้กราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ และความเข้มแข็งของโลตัสในตลาดสเปรดชีต อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขาเอง ผู้ใช้งานที่ชอบใช้โลตัส 1-2-3 อาจจะไม่ต้องการให้โลตัสมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยีโดยรวมกำลังเปลี่ยนแปลง นั่นแปลว่าเอ็กเซลมีโอกาสมากที่จะได้รับชัยชนะในการแข่งขัน

นอกจากนี้การที่ไมโครซอฟท์สามารถวางตลาดทั้งวินโดวส์และเอ็กเซลได้พร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดอย่างใหญ่หลวง เวอร์ชันใหม่ของวินโดวส์สามารถสนับสนุน
การทำงานของเอ็กเซลได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันเอ็กเซลก็แสดงให้เห็นว่าวินโดวส์เวอร์ชันใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของเอ็กเซล

และอีกเช่นเคย โลตัสออกมาประกาศเลื่อนการวางตลาดของโลตัส 1-2-3/3 ออกไปอีกรวม
2 ครั้ง ทำให้ความเชื่อถือของโลตัสลดน้อยลงไป ประกอบกับการลงทุนในการโฆษณาอย่างมหาศาลของไมโครซอฟท์ ทำให้เอ็กเซลได้รับความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ที่ องค์กรทั้งของรัฐและ
เอกชนหันมาใช้เอ็กเซลมากขึ้นตามลำดับ

เดือนมิถุนายน 1989 โลตัสได้นำโลตัส 1-2-3/3 ออกสู่ตลาดได้ในที่สุด แต่ก็สายเกินไปแล้ว ซึ่งในไม่กี่ปีหลังจากนั้น เอ็กเซลของไมโครซอฟท์ก็เอาชนะโลตัสได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะหลังจากการวางตลาดของวินโดวส์ 95 โลตัสก็ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ในตลาดอีกต่อไป จนกระทั่งถูกไอบีเอ็มเข้ามาเทคโอเวอร์ไปในที่สุด

 

กำเนิดไมโครซอฟท์เวิร์ด

ในปี 1983 ตลาดซอฟต์แวร์ถูกผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ 4 แห่งคือ วิสิคอร์ป, ไมโครซอฟท์, ดิจิตอลรีเสิร์ช และไมโครโปร แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก โลตัสก็ก้าวเข้ามาเป็นอีกบริษัทหนึ่ง และถือเป็น 5 เสือแห่งวงการซอฟต์แวร์ในเวลานั้น

โปรแกรมเวิร์ดสตาร์ของไมโครโปรออกสู่ตลาดในช่วงกลางปี 1979 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในโปรแกรมประเภทนี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นเวิร์ดสตาร์ทำงานกับระบบปฏิบัติการ CP/M ได้เป็นอย่างดี และช่วยทำให้ CP/M ขายดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อไอบีเอ็มเปิดตัวพีซีคอมพิวเตอร์ของ
ตนเองออกมา ไมโครโปรก็พัฒนาเวิร์ดสตาร์สำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มทันที อย่างไรก็ตามเวิร์ดสตาร์ยังคงมีจุดอ่อนบางอย่าง มันเป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนซึ่งบางครั้งทำให้การใช้งานมันยุ่งยากพอสมควร

ในขณะที่ไมโครซอฟท์มองเห็นความสำเร็จของเวิร์ดสตาร์ พวกเขาก็ได้ทำการศึกษา
ความเห็นของผู้ใช้งานและจุดอ่อนต่าง ๆ ของเวิร์ดสตาร์ด้วย ในที่สุดเกตส์ตัดสินใจที่จะพัฒนาโปรแกรมเวิร์ดโพรเซสซิงของไมโครซอฟท์เองชื่อว่า "ไมโครซอฟท์เวิร์ด" ขณะที่เวิร์ดสตาร์ใช้ภาษาแอสเซมบลี ไมโครซอฟท์เวิร์ดจะใช้ภาษาซีในการพัฒนา มันมีอินเทอร์เฟซที่คล้ายคลึงกับมัลติแพลน และมีคำสั่งหลายคำสั่งที่เหมือนกับมัลติแพลน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ มันทำงานบนดอส นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ได้กับเครื่องพรินเตอร์เกือบทุกชนิด และสามารถอ่านไฟล์ที่สร้างด้วยโปรแกรมเวิร์ดสตาร์ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลในการเปลี่ยนมาใช้ไมโครซอฟท์เวิร์ด

ไมโครซอฟท์เวิร์ดออกวางตลาดอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1983 โดยมี
จุดมุ่งหมายที่จะแข่งขันกับการผูกขาดของเวิร์ดสตาร์ แม้ว่าการตอบสนองของตลาดในครั้งแรกดูจะเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่ฝ่ายการตลาดคาดหวังเอาไว้ ดูเหมือนผู้ใช้งานยังไม่ตัดสินใจอะไรลงไป และยังคงรอดูอยู่ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดจะดีจริงหรือไม่

จากการสำรวจการใช้งานโปรแกรมด้านเวิร์ดโพรเซสซิงทั่วโลกในช่วงต้นปี 1985 ระบุว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดไม่ติดแม้กระทั่งอันดับ 1 ใน 10 โดยที่เวิร์ดสตาร์ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 24% แม้ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดจะยังคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดได้ แต่การพัฒนาออกมาสู่ตลาดถึง 2 เวอร์ชันก็เป็นการปูรากฐานที่สำคัญในการก้าวไปสู่ผู้นำในอนาคตของโปรแกรมตัวนี้

อีกครั้งหนึ่งที่มีผู้แอบแซงหน้าไมโครซอฟท์ไปสู่ความสำเร็จ เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์นำโปรแกรมของตนเองออกสู่ตลาดอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีการโหมโปรโมท ไม่มีการแจกฟรี เหมือนอย่างที่ไมโครซอฟท์ทำ เกือบจะไม่มีกิจกรรมอะไรเลย อาวุธที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือ การบริการ
การบริการ และการบริการเท่านั้น ไมโครซอฟท์ไม่เคยมีแผนการในการตั้งรับวิธีการดังกล่าวของ
คู่แข่งมาก่อน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจต่อการพ่ายแพ้ของพวกเขา

เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์สามารถขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโปรแกรมประเภทเวิร์ดโพรเซสซิง และเป็นที่ 2 ของตลาดซอฟต์แวร์ทั้งหมด โดยเป็นรองเพียงแค่โลตัส 1-2-3 เท่านั้น ความสำเร็จของพวกเขามาจากการบอกกันปากต่อปาก และการให้บริการอย่างดีเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์ก็ได้สร้างความสำเร็จที่น่าตื่นตะลึงให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั้งอุตสาหกรรม

แม้ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดทั้งสองเวอร์ชันที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จไม่มากนัก แต่เกตส์เป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ เดือนเมษายน 1986 ไมโครซอฟท์เวิร์ด 3.0 ถูกนำออกสู่ตลาด ปัญหาหลาย ๆ อย่างที่พบในเวอร์ชันที่ผ่านมาได้รับการแก้ไข คราวนี้ได้รับการต้อนรับจากผู้ใช้งานเป็นอย่างดี ภายในปีเดียวกันนั้นเอง ไมโครซอฟท์เวิร์ดได้กลายมาเป็นโปรแกรมที่ขายดีที่สุดของไมโครซอฟท์ และอยู่ในอันดับที่ 5 ของโปรแกรมสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุด นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังได้สร้างไมโครซอฟท์เวิร์ดสำหรับเครื่องแมคอินทอชด้วย

ในปี 1990 ไมโครซอฟท์ก็ได้รับความสำเร็จในโปรแกรมด้านแอพพลิเคชันมากขึ้น พวกเขานำเอาแอพพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้งานในองค์กรธุรกิจมารวมไว้เป็นชุดเดียวกัน และเรียกชื่อมันใหม่ว่า
"ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ" ซึ่งในชุดออฟฟิศดังกล่าวจะประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล ไมโครซอฟท์เพาเวอร์พอยต์ และไมโครซอฟท์เอ็กเซส

…องค์กรต่าง ๆ ให้การยอมรับโปรแกรมในชุดออฟฟิศของไมโครซอฟท์เป็นอย่างดี และไมโครซอฟท์ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดแอพพลิเคชันสำหรับองค์กรธุรกิจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…

 

ความช่วยเหลือจากไอบีเอ็ม

นับตั้งแต่ปี 1980 ที่ไมโครซอฟท์เริ่มต้นการร่วมมือกับไอบีเอ็มในการสร้างระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ที่เรารู้จักกันในชื่อของ เอ็มเอสดอส (MS-DOS) เป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับไอบีเอ็มได้พัฒนาเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากไอบีเอ็ม ทำให้เกตส์และไมโครซอฟท์ประสบกับความสำเร็จอย่างที่พวกเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เมื่อไอบีเอ็มเริ่มนำพีซีคอมพิวเตอร์ของตนเองออกสู่ตลาด มีระบบปฏิบัติการอยู่ 3 ตัวที่ไอบีเอ็มเสนอให้ลูกค้าเลือกใช้งาน นั่นคือ พีซีดอสของไมโครซอฟท์ CP/M-86 และ UCSD PASCAL P-SYSTEM ซึ่งเกตส์และอัลเลนมีความคิดที่เหมือนกันในความต้องการที่จะผลักดันให้ระบบปฏิบัติ-การของพวกเขากลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่า จะต้องมียอดจำหน่ายสูงที่สุด และทิ้งคู่แข่งรายอื่น ๆ จนผู้ใช้งานสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีวิธีการอยู่ 3 ที่จะทำให้ไมโครซอฟท์ไปถึงจุดดังกล่าว นั่นคือ

1.      ทำให้เอ็มเอสดอสเป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ เรื่องนี้เกตส์และอัลเลนไม่เป็นห่วง เพราะทั้งสองเชื่อว่าไมโครซอฟท์มีทีมงานที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอีก 2 บริษัทที่เหลือ

2.      เอ็มเอสดอสจะต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาคู่แข่งทั้งสามราย เกตส์ยื่นข้อเสนอที่ไอบีเอ็มไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ โดยให้ไอบีเอ็มจ่ายเงินแก่ไมโครซอฟท์เพียงครั้งเดียว และไอบีเอ็มก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะใช้เอ็มเอสดอสกับพีซีคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ไอบีเอ็มขายได้

3.      กระตุ้นให้บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายอื่น ๆ พัฒนาโปรแกรมที่ใช้เอ็มเอสดอสเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้พีซีคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมด้วย

เป้าหมายที่เกตส์ต้องการไม่ได้อยู่ที่รายได้ที่ได้รับจากไอบีเอ็ม แต่การที่ไอบีเอ็มผลักดัน
สินค้าของไมโครซอฟท์อย่างเต็มที่ จะทำให้เอ็มเอสดอสกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม และไมโครซอฟท์จะมีรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากการขายลิขสิทธิ์ในการใช้งานระบบปฏิบัติการให้แก่ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ

ความขัดแย้งกับไอบีเอ็ม

หลังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไอบีเอ็มในการหยุดการพัฒนาพีซีคอมพิวเตอร์ เนื่องจากกลัวว่ามันจะทำลายตลาดเมนเฟรมที่ไอบีเอ็มครองอยู่มาเป็นเวลานาน ทำให้โอกาสตกไปเป็นของบริษัทที่ตั้งใหม่ชื่อ "คอมแพคคอมพิวเตอร์"

ในช่วงปี 1984 ไอบีเอ็มได้เตรียมการที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง และต้องการให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการพัฒนาและออกแบบใหม่ ระบบปฏิบัติการดังกล่าวมีชื่อว่า OS/2 ซึ่งเกตส์เองรู้สึกไม่ค่อยชอบใจในข้อตกลงที่ว่า ไอบีเอ็มมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาควบคุมมาตรฐานในการพัฒนาระบบปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดเท่าไรนัก

ในระหว่างการพัฒนา OS/2 ร่วมกับไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์ก็ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของตนเองควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเกตส์หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ไอบีเอ็มนำวินโดวส์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ OS/2 ด้วย เกตส์บอกกับคนของไอบีเอ็มอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเชื่อว่า OS/2 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยมและสามารถใช้งานได้ดีในอนาคตเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีได้รับการพัฒนาไปมากกว่านี้ แต่สำหรับวันนี้เขาเชื่อว่าวินโดวส์ 3.0 น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า และสามารถเจาะตลาดได้รวดเร็วและดีกว่า OS/2 ของไอบีเอ็มแน่นอน แต่คนของไอบีเอ็มไม่ยอมรับต่อการสบประมาทดังกล่าว การเจรจาล้มเหลวลง และไมโครซอฟท์หันไปทุ่มเทให้กับวินโดวส์ 3.0 ของตนเองอย่างเต็มที่

ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า OS/2 ของไอบีเอ็มจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตไปเสียแล้ว ในทางตรงกันข้าม วินโดวส์ได้กลายมาเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่ง
การตลาดมากกว่า 80%

…นับแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ไม่มีการร่วมมือใด ๆ ระหว่างไมโครซอฟท์และไอบีเอ็มเกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ไม่มีการปะทะกันตรง ๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน…

 

ไมโครซอฟท์ก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชน

วิธีการหนึ่งที่ไมโครซอฟท์ใช้ในการดึงดูดให้พนักงานที่มีความสามารถทำงานอยู่กับบริษัท คือการมอบสิทธิในการซื้อหุ้นของบริษัทให้กับพนักงาน วิธีการดังกล่าวช่วยให้พนักงานมีความรู้สึกมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งทำให้พวกเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการทำงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ออกมา นอกจากนั้นวิธีการดังกล่าวยังเป็นการป้องกันการถูกดึงตัวพนักงานจากบริษัทอื่น ๆ อีกด้วย

ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์พยายามจัดการกับปัญหาการลาออกของพนักงานด้วยการใช้หุ้นของบริษัทมาเป็นแรงจูงใจ ถ้าไมโครซอฟท์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อใด พนักงานจำนวนหนึ่งจะเอาหุ้นของตนเองออกขายทันที และอาจจะลาออกจากบริษัทไป ซึ่งจะทำให้ไมโครซอฟท์มีปัญหาในเรื่องพนักงานตามมา อย่างไรก็ตามเกตส์ตัดสินใจที่จะให้มีการสำรวจในเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงจัง และนำผลการสำรวจมาใช้ในการตัดสินใจ

13 มีนาคม 1986 หุ้นของไมโครซอฟท์เข้าทำการซื้อขายด้วยราคาเริ่มแรกที่ 25.75 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น และปิดตลาดในวันนั้นด้วยราคา 27.75 เหรียญสหรัฐ มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 2.5 ล้านหุ้น เป็นเงินประมาณ 661 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

เดือนมีนาคม 1987 เมื่อราคาหุ้นของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 84.75 เหรียญสหรัฐ เกตส์ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านด้วยวัยเพียงแค่ 31 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีที่หนุ่มที่สุด

 

…นับตั้งแต่เกตส์และอัลเลน ร่วมกันก่อตั้งไมโครซอฟท์ขึ้นในปี 1975 ไมโครซอฟท์เติบโตจากบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ขึ้นมาเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก เกตส์กลายมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ไมโครซอฟท์กลายมาเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการคอมพิวเตอร์…

 
บันทึกการเข้า

"ชีวิตนี้สั้นนัก, อย่ายึดติดกับกฎเกณฑ์, อภัยให้ไว, รักอย่างแท้จริง, หัวเราะให้เต็มที่ และยิ้มอยู่เสมอ "
hermiss
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 95
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,761



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 มกราคม 2009, 05:06:03 »

เราว่าเรื่องของคนทำ google ก็น่าสนใจดีนะ
บันทึกการเข้า
ก้ามปู
เสือซุ่มด่า
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 218
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,195



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 มกราคม 2009, 05:08:53 »

อ่านจบพอดี ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

ตอนนี้ผมไม่ค่อยว่างตอบอะไรใครนะครับ เพราะไม่ได้เข้าบอร์ดเลย
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์