สถิติล่าสุดของ We Are Social ระบุว่า “คนไทยอายุ 16 - 64 ปีกว่า 98.1% ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน” จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือ หรือที่เรียกว่า Mobile Friendly นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน มารู้จักกับ Mobile Friendly ให้มากขึ้นกัน!
Mobile Friendly คืออะไร คำว่า Mobile Friendly หมายถึง การออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ให้สามารถคลิกเมนูต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับตอนอยู่บนหน้า Desktop ทุกประการ โดยไม่ต้องเสียเวลากดย่อหรือขยายหน้าจอ นอกจากนี้ การออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึง Mobile Friendly ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ
ทำ SEO อีกด้วย
Mobile Friendly มีกี่แบบ ?โดยทั่วไป การออกแบบเว็บไซต์แบบ Mobile Friendly จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
Responsive WebsiteResponsive Website คือ การสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพียงเว็บไซต์เดียว แต่ดีไซน์ให้การแสดงผลแปรไปตามขนาดของอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หน้าจอสมาร์ทโฟน หรือสมาร์ทวอช ซึ่งแน่นอนว่า Responsive Website ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีข้อจำกัดเล็กน้อย เนื่องจากนักพัฒนาจะต้องออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึงการใช้งานบนอุปกรณ์ที่หลากหลาย จึงจำเป็นต้องอัปโหลดรูปภาพ และรูปแบบตัวอักษรหลาย ๆ ขนาด ทำให้บนเว็บไซต์มีจำนวนไฟล์และชุดคำสั่งมากกว่าปกติ เว็บไซต์จึงทำงานช้า และอาจต้องลดทอนเรื่องความสวยงามลงไป
Mobile SiteMobile Site ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนข้อจำกัดของ Responsive Website โดยแทนที่จะออกแบบเว็บไซต์ขึ้นมาเว็บไซต์เดียว นักพัฒนาจะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาหลาย ๆ เว็บไซต์ และกำหนดให้แต่ละเว็บรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์แต่ละแบบโดยเฉพาะ วิธีนี้จะแก้ปัญหาเรื่องความยุ่งยากของชุดคำสั่ง การอัปโหลดไฟล์ และยังสามารถออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้สวยงามได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
เทคนิคการออกแบบเว็บไซต์ Mobile Friendly เพื่อรองรับการทำ SEOสำหรับการทำ SEO แน่นอนว่า Google จะให้คะแนนเว็บไซต์ที่คำนึงถึง Mobile Friendly มากกว่าเว็บไซต์ที่แสดงผลได้เฉพาะ Desktop Version หากคุณลังเลว่าจะออกแบบ Mobile Friendly โดยใช้เทคนิคไหนดี พึงเรียนรู้ไว้ว่าทั้ง 2 เทคนิคล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน
หากคุณเลือกเทคนิค Responsive Website ซึ่งใช้เพียงแค่ชื่อเว็บไซต์เดียว ผู้ใช้งานก็จะจำชื่อเว็บไซต์ของคุณได้ ง่ายต่อการค้นหา และ Google ก็จะจัดอันดับการค้นหาของคุณไว้ทั้งบนหน้าสำหรับ Desktop และ Mobile แต่หากเว็บไซต์หนักเกินไป โหลดช้า หรือมีดีไซน์ไม่สวยงาม ใช้งานยาก ก็จะทำให้คะแนนการจัดอันดับบนหน้า Google Search ลดน้อยลงได้เช่นกัน
ในทางกลับกัน หากคุณเลือกใช้เทคนิค Mobile Site เว็บไซต์ย่อย ๆ แต่ละเว็บไซต์ก็จะมีคะแนนการจัดอันดับที่ไม่เท่ากัน บางเว็บไซต์อาจไปปรากฏเฉพาะผลการค้นหาจาก Desktop หรือ Mobile เพียงอย่างเดียว เพราะคุณตั้งค่าเอาไว้เช่นนั้น นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นหน้า Blog ที่มีบทความยาว ๆ การแสดงผลบนหน้า Desktop อาจมีความยาวกำลังดี แต่หากแสดงผลบน Mobile ก็อาจจะยาวเกินไป หลาย ๆ เว็บไซต์จึงต้องใช้วิธี ให้เว็บไซต์ที่แสดงผลบน Desktop เป็นเว็บไซต์หลัก จากนั้นย่อบทความให้สั้น เหลือเฉพาะ Keyword สำคัญ เพื่อนำมาแสดงผลบนเว็บไซต์สำหรับ Mobile
วิธีตรวจสอบการแสดงผลแบบ Mobile Friendly
หากคุณต้องการตรวจสอบประสิทธิภาพของการแสดงผลบนหน้าอุปกรณ์เคลื่อนที่ สามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
ตรวจสอบด้วย Google Search Consoleเพียง Login บัญชี Google และเข้าหน้าเว็บไซต์ Google Search Console เลือกเมนู Mobile Usability คุณก็สามารถเช็กประสิทธิภาพการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ รวมทั้งสามารถดูได้ว่า ส่วนใดที่ติดปัญหา และจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร
ตรวจสอบด้วย Mobile Friendly Test Toolหากต้องการเช็กการทำงานแบบคร่าว ๆ Google ก็มีเว็บไซต์ Mobile Friendly Test Tool ไว้ให้บริการ เพียงกรอก URL ของเว็บไซต์คุณลงไป ระบบจะเช็กให้ทันทีว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับการทำงานแบบ Mobile Friendly แล้วหรือไม่
สรุปการออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึง Mobile Friendly ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการทำ SEO ปัจจุบันฝ่ายการตลาดของธุรกิจเล็ก-ใหญ่ รวมถึงบริษัท
รับทำ SEO ทั้งหลาย จึงมุ่งพัฒนาเว็บไซต์โดยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากขึ้น หากคุณอยากติดตามความรู้เกี่ยวกับการตลาด การออกแบบเว็บไซต์ และการทำ SEO ให้บรรลุเป้าหมาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่
www.cotactic.com ขอบคุณข้อมูลจาก
https://talkatalka.com/ https://www.tnt.co.th/