ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กข้างเตียง กับคำพ่อสอน  (อ่าน 1104 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
kitdee
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 305
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,162



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2008, 19:40:04 »



 เทคนิคการสอนลูก ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือท่านประธานของลูกๆ ที่บอกว่าเมื่อไหร่สวมบทท่านประธานก็จะดุ ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมตอบอยู่เสมอ ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องทำตัวลีบๆ แล้วไปหาคำตอบมารายงานใหม่

แต่ถ้าเป็นบทบาทคุณพ่อ จะเป็นคุณพ่อใจดีที่คอยสอนและให้คำแนะนำที่ดีเสมอ คุณบีเล่าว่าตอนเด็กๆ คุณแม่เป็นคนที่สอนไม่ให้ดูถูกคน สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างพี่เลี้ยงเราต้องยกมือไหว้หมด อาละวาดไม่ได้ ตีพี่เลี้ยงไม่ได้ ต้องให้เกียรติคน คุณแม่บอกว่าคุณแม่มาจากฐานะยากจน เคยถูกคนอื่นดูถูก จะสอนเราเรื่องพวกนี้

ส่วนคุณพ่อสอนให้เรามองตัวเองตลอด เวลามีความผิดพลาด ก่อนที่จะมองคนอื่นให้มองตัวเองก่อน ตั้งแต่เด็กๆ มีหลายเรื่องที่คุณพ่อสอน และติดเป็นนิสัย ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ตอนโต

ทุกคืนจะเป็นเด็กข้างเตียง ไปเกาะเตียงคุณพ่อเล่าโน่นเล่านี่ คุณพ่อจะสอนว่า ทุกวันตอนนั่งรถกลับจากโรงเรียน ให้คิดว่าวันนี้ไปพูดจาให้ร้ายกับใครหรือเปล่า ทำตัวไม่ดีหรือเปล่า ไปทำตัวให้ใครเสียใจหรือเปล่า ก็มาเล่าให้คุณพ่อฟังว่า วันนี้เปิดกระโปรงเพื่อน หรือว่าเถียงคุณครู หรือไปช่วยคุณยายขายขนม ท่านเป็นคนที่ encourage ให้ทำเรื่องดีๆ ท่านก็จะชื่นชมถ้าเราไปทำเรื่องดีๆ พอเล่าเสร็จ ท่านจะเอาเรามากอด แล้วบอกว่า ฉลาดที่สุดเลย เก่งที่สุดเลย ทำให้เราที่ตัวเล็กๆ หัวใจคับตัว ทำให้เราคิดแต่จะทำความดี

หรือถ้าไปทำเรื่องไม่ดี ท่านก็จะสอนว่า พอรู้ว่าเป็นความไม่ดี ให้คิดต่อว่าแล้วพรุ่งนี้จะไปแก้ตัวว่าอย่างไร จะปรับปรุงอย่างไร อย่างเช่นเปิดกระโปรงเพื่อน วันพรุ่งนี้ไปขอโทษ เอาขนมไปให้

ตอนแรกๆ ก็เริ่มจากการ analyse ตัวเองทุกวันว่า เราทำอะไรไม่ดี แต่พอเราได้รับคำชมเรื่องดีๆ เยอะๆ ความคิดก็เริ่มคิดที่จะทำความดีๆ ไปโรงเรียนก็พกดินสอไปเยอะๆ เผื่อใครลืมดินสอก็เอาไปให้เขา

นิสัยจากที่ถูกสอนให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองทุกวัน เวลาเราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจเรื่องนี้ขาดทุนยับเยิน หรือบางทีใช้อารมณ์กับลูกน้อง กลุ้มใจ พอคิดถึงสิ่งที่เราถูกฝึกมา ก็จะเตือนตัวเองว่าอย่ากลุ้มใจนาน เอาคืนไม่ได้ แล้วคิดต่อว่าพรุ่งนี้จะไปแก้ปัญหาอย่างไร การวิเคราะห์ตัวเองทุกวันให้อยู่กับความเป็นจริง เป็นนิสัยที่เป็นประโยชน์มากๆ

อีกเรื่องที่คุณพ่อสอน คือ สอนให้เห็นข้อดี ของคน วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาหาคุณพ่อ ตอนเด็กๆ เราจะรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ไม่ดีเราไม่คบ และผู้ใหญ่คนนี้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่เราเดินผ่าน คุณพ่อเห็นจะเรียกเรามาสวัสดี และจะชื่นชมเขาให้ฟังต่อหน้าเขา วันหนึ่งกล้ามาก ถามคุณพ่อว่าคนนี้ไม่เห็นดีเลย ทำไมคุณพ่อไปชมเขา แกล้งชมหรือเปล่า เหมือนไม่จริงใจหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นไปเรียนหนังสือที่อเมริกาแล้ว (ไปเรียนที่ อเมริกาตอนอายุ 14 ปี)

ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าคนเราทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ท่านถามว่าสมมติมีเพื่อนที่ชอบนินทา ถามว่าบีจะคบไหม บีฟันธงว่าไม่คบ ท่านถามต่อว่าเพื่อนคนเดียวกันนี้เป็นคนใจอ่อน เห็นใครไม่สบาย ใครมีปัญหาไปช่วยเสมอ ถามว่าบีจะคบไหม ก็เริ่มลังเล แต่ก็ยืนยันว่าไม่คบ ท่านก็สอนว่า ต้องคบคนในเรื่องที่เขาดี ต้องรู้จักชื่นชมในสิ่งที่เขาดี ในเมื่อเขามีน้ำใจช่วยเหลือทุกคน เราต้องเห็นความดีตรงนี้ของเขา ขณะที่เรื่องไม่ดีของเขา ชอบนินทา ก็ต้องรู้จักคบเขา เรื่องอะไรที่ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องให้เขาฟัง หากเราไปเล่าให้ฟัง ถ้าเขาไปเล่าต่อก็ต้องเขกหัวตัวเอง

ท่านก็ยกตัวอย่างอีกว่าสมมติมีผู้ชายคนหนึ่ง เป็นขโมย บีก็บอกว่าไม่ดีแน่นอน และผู้ชายคนเดียวกันนี้กตัญญูมากๆ มีแม่ไม่สบาย ดูแลแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เงินที่ได้มาก็รักษาแม่ ถามว่าเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า อันนี้เริ่มลังเล ท่านบอกว่าในมนุษย์ทุกคนมีข้อดีและไม่ดี เราต้องสามารถมองเห็นข้อดีของคน ข้อไม่ดีของคน

ท่านบอกว่าท่านชมคนท่านชมจากใจจริง หากเราไม่จริงใจกับคน ชมเขา 3 ครั้ง เขาก็รู้ เพราะมนุษย์มี sense เพราะฉะนั้น เราต้องชมในเรื่องที่เป็นจริง ท่านสอนว่ามนุษย์รู้ว่าตัวเองเก่ง ไม่เก่ง หรือถนัด ไม่ถนัดเรื่องอะไร เขาจะ sense ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าข้อดีของเขาคืออะไร ต้องหาให้ได้ และหากจะชมเขา เราต้องชื่นชมเขาอย่างจริงใจ

ท่านสอนว่าเรื่องความไม่ดีของคนอย่าไปพูด ความดีเหมือนผ้าขาว ดูง่าย แต่ความไม่ดีเหมือนสีดำ และถ้าเราไม่รู้จริง และไปว่าคน เท่าเป็นการทำร้ายเขา คือความไม่ดี ไม่ต้องพูด ให้รู้เพื่อระวัง และสอนไม่ให้อคติ คือท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความไม่ดี อย่าไปโกรธ อย่าไปอคติ แต่ให้เราทำดีเป็นหลัก

ตอนไปเรียนที่อเมริกา ถูกฝรั่งแกล้ง เป็นเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เขาดูถูกเราตลอด เป็นนักเรียนคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถูกแกล้ง เอาหนังสือไปทิ้งบ้าง เดี๋ยวถูกขโมยกล่องดินสอบ้าง เดินชนบ้าง และผู้หญิงคนนี้ชอบทำหน้ารังเกียจเรา บางทีก็มาด่าเราด้วย และเราไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มาก แต่ด้วยที่ศรัทธาคุณพ่อมาก ตอนแรกๆ ไม่ได้เชื่อคำสอน 100% แต่คิดว่าถ้าทุกคนมีความดี ผู้หญิงคนนี้มีความดีอะไร ก็เริ่มทำตัวเหมือนนักสืบอยู่หลายเดือน สะกดรอย พยายามหาข้อดีของเขา สังเกตว่าเขาไปทำอะไร เขามีข้อไม่ดี เช่นจีบผู้ชายหลายคน ชอบโดดเรียน แต่เราบังคับตัวเองว่าต้องหาข้อดีให้เจอ คิดว่าจะต้องไปรายงานคุณพ่อ สิ่งสุดท้ายที่เห็น ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนอื่น เป็นคนที่อ่อนแอมากๆ และผู้หญิงคนนี้รักเพื่อนมากๆ ต่อให้เรียนอยู่ก็โดดเรียน เดตกับผู้ชายอยู่ก็มาดูแลเพื่อนคนนี้ ทำให้เห็นข้อดีของเขา ถ้าหากให้เราโดดเรียนมาปลอบเพื่อน ถามตัวเองทำได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาทำให้เพื่อนเขา เราก็ชื่นชมเขา พอเริ่มเห็นข้อดีของเขาเราก็เริ่มๆ เปลี่ยนมุมมอง ไม่เกลียดเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์

หลังจากนั้นฝึกตัวเอง เชื่อว่าทุกอย่างฝึกได้หมด พอไม่ชอบขี้หน้าใคร ก็ต้องหาข้อดีให้เจอ ทำมาจนอายุ 24 ปี ประมาณ 10 ปีเต็ม ทำแบบไม่รู้ตัว จนมีวันหนึ่งเมื่อเรียนจบ นั่งคุยกับเพื่อน เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง มีเพื่อน 2 คน เขาบอกว่าไม่จริง บอกว่าทุกคนจะต้องมีข้อดี เขาเริ่มโยนชื่อเพื่อนสมัยเรียนขึ้นมา เราก็สามารถตอบข้อดีได้หมด วันนั้นทำให้คิดว่าเรื่องนี้มีอยู่ในเราแล้ว 10 ปีที่ฝึกอย่างจริงจัง มันเห็นผล มันเป็นการชำระใจ บีดูแลใจตัวเองมากๆเลย พยายามไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร พยายามไม่ให้ทุกข์ข้ามคืน ทบทวนทุกวันว่าทำอะไร

คุณพ่อสอนว่าเวลาคนมาว่าเรา มาด่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเวลาคนมาว่าเรา มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ

1. เขาคงเข้าใจผิด เขาจึงมาโกรธเรา ถ้าเข้าใจผิดเราก็หาทางไปชี้แจง จะไปโกรธตอบทำไม

2. เราต้องไปทำอะไรเขาจริงๆ ซึ่งเราอาจจะทำโดยไม่ตั้งใจ ท่านบอกว่าไปขอโทษเขาเสีย มานั่งโกรธเขาไม่ถูก

มีช่วงหนึ่งที่มีข่าวว่าท่านเยอะ ช่วงที่ทำโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย เคยถามท่านว่า ทำไมถึงมีคนว่ามากขนาดนี้ ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพื่อนเอาหนังสือ พิมพ์มาให้ดู เขียนด่าครอบครัว สาปแช่งว่าโกงกินประเทศชาติ ตอนนั้นเรียนจบ นัดกับเพื่อนว่าก่อนจบจะไปเที่ยวกัน ก็มีเพื่อนของเพื่อนอีกที ไม่รู้จักกัน เขาบอกว่าถ้าทริปนี้มีบีด้วยเขาไม่มา เขาไม่คบกับตระกูลนี้ที่โกงกินประเทศชาติ มันแย่มาก วันหนึ่งก็มาถามคุณพ่อว่าทำไมเขามาว่าเราขนาดนี้ คุณพ่อไม่พูดอะไรที่เป็นลบ ท่านบอกว่าเขาเข้าใจผิด เขาพยายามทำหน้าที่ของเขา คือรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติ และหลังจากนั้นเวลาที่บีอยู่ในกลุ่ม ซี.พี. หากมีใครว่าอะไร ก็จะบอกว่าคุณพ่อบอกว่าอย่างนี้ ไม่ต้องไปโกรธเขา ไม่ต้องไปว่าเขา ....

ที่มา : เรื่องเล่าพ่อสอนลูก ของ ... ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ หรือ คุณบี

บทความ แนะนำโดย ... ลูกคิดไทยดอทคอม
บันทึกการเข้า

"ชีวิตนี้สั้นนัก, อย่ายึดติดกับกฎเกณฑ์, อภัยให้ไว, รักอย่างแท้จริง, หัวเราะให้เต็มที่ และยิ้มอยู่เสมอ "
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์