ในชั่วโมงนี้ เราคนชอบดื่มกาแฟ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ร้านกาแฟชื่อดังสตาร์บัคค์ ที่มีดีกรีเป็นถึงกาแฟระดับโลก ที่หลายคนชื่นชอบ
ถ้าหากใครเคยได้เข้าไปใช้บริการ ย่อมเห็นว่า ร้านกาแฟ สตาร์บัคส์นั้น เป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่มที่วางการจัดการได้อย่างลงตัวมากที่สุด ความสวยงาม บรรยากาศ และ การให้บริการของพนักงาน ตลอดจน อัธยาศัยของพาร์ทเนอร์ ล้วนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ครองใจนักดื่มกาแฟ เป็นอย่างยิ่ง
แต่หลายคนยังไม่ทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จของร้านกาแฟชื่อดังระดับโลกนี้ มีการนำเทคโนโลยี่สมัยใหม่ต่างๆ เข้ามาใช้งาน โดยที่หลายคนก็ไม่ทราบ
อะไรหลายๆ อย่างที่แอบซ่อนอยู่นี้ ล้วนมีส่วนเติมเต็มบรรยากาศให้ลงตัวจนมีลูกค้าประจำมากมาย วันนี้ทีมงานขอรวบรวมเอา 10 เรื่องของสตาร์บัคส์ที่หลายคนยังไม่รู้มาก่อนมานำเสนอให้รับชมกัน
1. Carbon Dioxide Sensor
โดยปกติแล้วคนเราจะหายใจเอาก๊าซออกซิเจนเข้าไปและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งสถานที่ใดที่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากๆ จะทำให้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว เพราะฉะนั้นเพื่อความรู้สึกที่สบายของลูกค้าในร้าน สตาร์บัคส์จะมีการติดตั้งเครื่อง Carbon Dioxide Sensor ที่จะคอยตรวจวัดระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบริเวณร้านว่ามีมากไปหรือไม่ หากเครื่องตรวจพบว่ามีปริมาณก๊าซมากเกินไประบบปรับอากาศภายในจะให้พัดลมระบบ Fresh Air ทำการเติมอากาศใหม่เข้ามาในระบบในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ภายในร้านได้รู้สึกผ่อนคลายและสบายในขณะที่นั่งอยู่ในร้านสตาร์บัคส์
2. กระจกนิรภัย
กระจกรอบร้านสตาร์บัคส์ทุกแห่งทั่วโลกล้วนเป็นกระจกแบบนิรภัยและมีการติดฟิล์มนิรภัยเสริมอีก 1 ชั้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กระจก ลดการระเบิดแตกหรือทนต่อการกระทบของวัสดุ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ภายในร้านทุกท่าน
โดยปกติแล้วกระจกนิรภัยจะมีความแข็งแรงพิเศษกว่ากระจกทั่วไปราว 3-5 เท่า นอกจากนี้การแตกของกระจกนิรภัยจะเป็นการแตกกระจายออกเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดข้าวโพดและมีความคมน้อยดังนั้นการใช้กระจกนิรภัยที่มีความแข็งแรงพิเศษเป็นอีกหนึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหนือกว่าร้านกาแฟทั่วไป
ใครที่อยากรู้ว่ากระจกนิภัยมีความแข็งแรงอย่างไร ลองคลิกเข้าไปดูที่ข่าวการประท้วงในสหรัฐอเมริกานี้ได้เลย
https://www.facebook.com/wkbwtv/videos/10154155988151892/ 3. สตาร์บัคส์มีกากกาแฟแจกฟรีเพื่อใช้ทำปุ๋ย
ลูกค้าสตาร์บัคส์ที่ชื่นชอบการปลูกต้นไม้สามารถติดต่อร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาใกล้บ้านเพื่อขอรับกากกาแฟบรรจุ (หนักกี่ขีดหรือกิโลกรัม) เพื่อนำไปทำสวนและเป็นปุ๋ยหมักได้อย่างดีเพราะกากกาแฟมีแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์ อาทิ ไนโตรเจนแมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม เป็นต้น
4. โต๊ะในร้านทำจากกาแฟ
กากกาแฟที่เหลือสามารถเอาไปทำโต๊ะรีโซเคิลมาใช้ในร้านสตาร์บัคส์กว่า 100 สาขา แล้วเวลามาดื่มกาแฟที่ร้านลองมองหาท็อปโต๊ะที่มีสกรีนว่า “This Table is Made From Starbucks Recycle Coffee Grounds”
นอกจากท็อปโต๊ะแล้วในร้านสตาร์บัคส์ยังมีถาดและที่รองแก้วในร้าน Reserve ที่ทำจากกากกาแฟเช่นกัน
5. เครื่องชงสุญญากาศ
สตาร์บัคส์มีนวัตกรรมเครื่องทำกาแฟที่พัฒนามาเป็นของตัวเองชื่อว่า The Clover® ที่ใช้ชงกาแฟได้ทีละ 1 แก้วเพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุลนุ่มลึกและคงกลิ่นหอมของกาแฟไว้มากที่สุด ด้วยระบบสุญญากาศ Vacuum-Press™ ที่ควบคุมอุณหภูมิน้ำและเวลาชงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งบาริสต้าสตาร์บัคส์มักเลือกใช้เมล็ดกาแฟหายากอย่างสตาร์บัคส์รีเสิร์ฟมาชงด้วยเครื่องนี้ ปัจจุบันมีเครื่อง The Clover® ที่สตาร์บัคส์เพียง 3 สาขาในประเทศไทย ได้แก่ สาขาเซ็นทรัล เวิลด์ ศูนย์การค้าพารากอน ชั้น 1 และสาขาบ้านสีลม
6. เครื่องชงกาแฟ Hybrid
สุดยอดเครื่องชงกาแฟ Victoria Arduino - VA388 Black Eagle เครื่องชงกาแฟแบบไฮบริด 1 ใน 5 เครื่องของสตาร์บัคส์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและประเทศจีน ซึ่งมีแค่ 3 เครื่องในร้านสตาร์บัคส์ในประเทศไทยที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของเครื่องให้คงที่พร้อมวัดปริมาณกาแฟและตั้งเวลาอย่างแม่นยำ เพื่อส่งมอบเครื่องดื่มเอสเพรสโซ่รสชาติดีที่สุดและคุณภาพดีที่สุดสม่ำเสมอในทุกๆ แก้ว เครื่องชงนี้ยังเป็นเครื่องชงสำหรับการแข่งขัน Barista Championship อีกด้วย
7. กาแฟสายพันธุ์ไทย
แม้ว่าสตาร์บัคส์จะเป็นเชนร้านกาแฟจากสหรัฐอเมริกาแต่ในประเทศไทยก็มีกาแฟสตาร์บัคส์เชื้อสายไทยเป็นของตัวเองชื่อว่าสตาร์บัคส์ม่วนใจ๋เบลนด์ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าชั้นดีจากประเทศไทย และหมู่เกาะอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกให้รสชาติหนักแน่นนุ่มลึกและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและกลิ่นอายดินธรรมชาติ
ใครที่อยากลิ้มลองกาแฟสัญชาติไทยก็สามารถหาซื้อมาลองได้
8. สตาร์บัคส์ไม่ได้ล้างแก้วแบบวิธีปกติ
น้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ทั้งในการชงกาแฟ การล้างแก้ว และการทำน้ำแข็งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 เป็นต้นมา สตาร์บัคส์เริ่มออกแบบการใช้งานของร้านให้เป็นแบบประหยัดน้ำมากที่สุด เช่น การติดตั้งก๊อกน้ำที่ปริมาณน้ำลดลงและเลิกใช้อ่างน้ำสำหรับการสะอาด แบบ Dipper Well เป็นแบบระบบ Hand-Metered Water และ Spray Rinse แทน
คนที่ช่างสังเกตจะเห็นว่า การล้างแก้วกาแฟของสตาร์บัคส์พาร์ทเนอร์จะใช้วิธีการคว่ำแก้วลงบนก๊อกน้ำที่หงายขึ้นแล้วใช้แรงดันน้ำในการทำความสะอาดแก้ว
วิธีการนี้สตาร์บัคส์รับประกันว่าสะอาด 100% แถมยังประหยัดน้ำอีกด้วยโดยในปี 2558 สตาร์บัคส์สามารถช่วยประหยัดน้ำไปมากกว่าร้อยละ 25
9. ร้านสีเขียว
สตาร์บัคส์ประเทศไทย มีร้านที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED (Leadership in Energy and Environmental Design)* ทั้งหมด 47 ร้านโดยสตาร์บัคส์พอร์โตชิโน่ซึ่งเป็นร้าน Drive-Thru สาขาแรกของประเทศไทยได้รับการรับรองเป็นระดับโกลด์สาขาแรกในเอเชีย และสาขา SCG Head Office ในระดับแพลทินัม
*LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design คือระบบการให้คะแนนประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับอาคารและสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดย U.S. Green Building Council โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธภาพการใช้ทรัพยากรของอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยมีเกณฑ์พิจารณา 7 หัวข้อหลัก ได้แก่ Sustainable Site (SS) การใช้ประโยชน์ที่ตั้งอย่างยั่งยืน Water Efficiency (WE) ประสิทธิภาพการใช้น้ำ Energy & Atmosphere (EA) การใช้พลังงานและบรรยากาศ Materials & Resources (MR) การเลือกใช้วัสดุและทรัพยากรในการก่อสร้าง Indoor Environmental Quality (IEQ) คุณภาพสภาพแวดล้อมภายในอาคารInnovation in Design (ID) นวัตกรรมและกระบวนการออกแบบ Regional Priority (RP) การรับรองเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา
10. ร่วมทำบุญ
ร้านสตาร์บัคส์ที่สาขาหลังสวนรายได้จากทุกๆ 10 บาท ในการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วในร้านจะถูกนำไปรวบรวมเพื่อมอบให้แก่องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสานหรือไอทีดีพี (The Integrated Tribal Development Program: ITDP) เพื่อการพัฒนาชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ส่วนลูกค้าทั่วไปที่ใช้บริการในสาขาอื่น ลูกค้าสตาร์บัคส์ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไร่กาแฟอยู่ตลอดเวลา เพราะสตาร์บัคส์รับซื้อเมล็ดกาแฟจากทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าที่ใดก็ตามโดยยึดตามหลักการปฏิบัติในการรับซื้อเมล็ดกาแฟ C.A.F.E. (Coffee and Farmer Equity Practices) ซึ่งเป็นแนวทางในการรับซื้อเมล็ดกาแฟที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่มา
https://www.screenkaw.com/arti...จยังไม่รู้