กระจ่าง แอดมินเพจ/กลุ่ม เฟชบุ๊ก คงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
พวกคุณกระเทือนกันมั๊ยครับ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับวงการสื่อมวลชนโลกหลังถูกปรับลดอัลกอริทึมบนหน้านิวส์ฟีดผู้ใช้
‘Bringing People Closer Together’ หรือนำผู้คนเข้ามาใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นคือนโนบายเปลี่ยนโลก (สื่อ) ที่เฟซบุ๊กประกาศออกมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2018 โดยมีใจความคือต้องการเปลี่ยนให้หน้านิวส์ฟีดของผู้ใช้แต่ละคนแสดงผลคอนเทนต์ของผู้ใช้ด้วยกันมากขึ้น และลดการเห็นเนื้อหาจากเพจต่างๆ น้อยลง
ผลการศึกษาจาก Buffer ทีมงานที่ศึกษาด้านการเพิ่มเอ็นเกจเมนต์ และทราฟฟิกบนโลกโซเชียลมีเดียระบุว่า โพสต์กว่า 43 ล้านโพสต์จากเพจกว่า 20,000 เพจบนเฟซบุ๊กมีเอ็นเกจเมนต์โดยรวมลดลงถึง 50% หลังการเปลี่ยนนโยบายแสดงผลบนหน้านิวส์ฟีดของเฟซบุ๊กเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงจำนวนโพสต์ของแบรนด์บนเฟซบุ๊กในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 25% ด้วยซ้ำ จากคอนเทนต์ที่เคยถูกโพสต์ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2017 ที่จำนวน 6.5 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นเป็น 8.1 ล้านชิ้น ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2018
ในผลการศึกษาชุดนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือคอนเทนต์ประเภท ‘วิดีโอ’ ที่น่าจะถูกเลือกแสดงผลบนหน้านิวส์ฟีดถี่ก็ได้รับผลกระทบที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน จากเอ็นเกจเมนต์ที่เคยได้รับเฉลี่ยที่ 5,486 ต่อโพสต์ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2017 ลดลงไปกว่า 47.7% มาอยู่ที่ 2,867 ต่อโพสต์ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2018
ส่วนคอนเทนต์แบบภาพยังได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงสุดเฉลี่ยประมาณ 3,453 ต่อโพสต์ (ลดจาก 9,370 ต่อโพสต์ในช่วงไตรมาส 1 / 2017) ส่วนการแปะลิงก์คือประเภทโพสต์ที่มีเอ็นเกจเมนต์ย่ำแย่ที่สุดเฉลี่ยประมาณ 763 ต่อโพสต์เท่านั้น (ลดจาก 2,577 ต่อโพสต์ในช่วงไตรมาส 1 / 2017)
อีกประเด็นที่น่าสนใจ และไม่ควรมองข้ามเด็ดขาดคือ ‘จำนวนคอนเทนต์สัมพันธ์กับเอ็นเกจเมนต์ที่เพจได้รับ’ โดยในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา (ไตรมาส 2 / 2018) เพจที่โพสต์คอนเทนต์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ชิ้นต่อวันกลับได้รับเอ็นเกจเมนต์เฉลี่ยโดยรวมต่อชิ้นมากกว่าเพจที่โพสต์คอนเทนต์มากกว่าวันละ 10 ชิ้นที่ 3,127:1,202
ส่วนจำนวนโพสต์ที่ bufferapp แนะนำว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘พอดี’ ไม่มากและไม่น้อยเกินไปอยู่ที่ประมาณ 5 โพสต์ต่อวัน เพราะจะได้รับเอ็นเกจเมนต์รวมทั้งสิ้น 12,330
แอดมินแฟนเพจหรือกลุ่มต่าง รวมทั้งสื่อและแบรนด์ต้องรับมืออย่างไร นี่คือคำถามที่คาใจหลายคนมาตลอดเกือบ 7 เดือนที่ผ่านมา จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้รับการทำให้กระจ่างเสียที
ถ้ายึดจากคำแนะนำของเฟซบุ๊กในช่วงที่เพิ่งดำเนินนโยบายใหม่ปรับลดการแสดงเนื้อหาจากเพจบนหน้านิวส์ฟีดได้ไม่นานก็จะสามารถสรุปออกมาเป็น 5 ข้อที่เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
1. โพสต์ทั่วไปหรือแม้แต่วิดีโอจะถูกปรับลดเอ็นเกจเมนต์ลง
2. โพสต์ที่มีเอ็นเกจเมนต์มากจะได้รับการแสดงผลบนหน้านิวส์ฟีดบ่อย โดยเฉพาะโพสต์ที่มีผู้ใช้มาคอมเมนต์พูดคุยถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก
3. โพสต์ประเภท Engagement Bait หวังเรียกยอดไลก์ยอดแชร์ หรือสร้างเอ็นเกจเมนต์เยอะๆ โดยให้คนมากดโหวตผ่าน React ไอคอนต่างๆ จะถูกปรับลดรีชให้น้อยลง
4. การแนะนำให้ผู้ใช้กด See First เพจจะช่วยให้ยอดเอ็นเกจเมนต์ และการเห็นเพจนั้นๆ บนหน้านิวส์ฟีดของผู้ใช้แต่ละรายยังพอไปวัดไปวา
5. คอนเทนต์ประเภทไลฟ์อาจได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะเฟซบุ๊กมองว่าคอนเทนต์ประเภทนี้มีจำนวนการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้มากกว่าวิดีโอทั่วไปถึง 6 เท่า
ไม่นานมานี้ทีมข่าว THE STANDARD มีโอกาสคุยกับแหล่งข่าวซึ่งเป็นทีมงานเฟซบุ๊กไทยที่ประจำการอยู่ ณ สำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ โดยได้รับคำตอบว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพจใหม่ๆ เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับอัตราการเพิ่มของเพจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ การให้อัลกอริทึมเลือกปรับลดการแสดงคอนเทนต์ของเพจต่างๆ ให้น้อยลงก็เป็นไปเพื่อต้องการรักษาสมดุลบนหน้านิวส์ฟีดของผู้ใช้ ที่สำคัญแหล่งข่าวของเรายังบอกอีกด้วยว่าโพสต์ที่จะได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงคือโพสต์ที่มีผู้ใช้งานเข้ามาคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก และแท็กผู้ใช้งานรายอื่นให้มามีปฏิสัมพันธ์ร่วมด้วย
ถ้าสรุปสั้นๆ จากผลวิจัยโดย bufferapp และข้อมูลที่เราได้รับจากแหล่งข่าวก็จะเข้าใจได้ว่าเพจที่โพสต์คอนเทนต์เยอะอาจจะไม่ได้รับเอ็นเกจเมนต์ที่เยอะเสมอไป ตรงกันข้ามกับเพจที่อาจจะโพสต์คอนเทนต์แค่ 1 ชิ้นต่อวัน แล้วเป็นโพสต์ที่ตรงกับความสนใจกับผู้ใช้งานเฟซบุ๊กส่วนใหญ่
‘ไม่มีของฟรีบนโลกใบนี้’ อาจเป็นนิยามที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ในยุคที่มีจำนวนเพจหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมายจนแทบจะแซงหน้าจำนวนผู้ใช้งานไปแล้ว
เมื่อสื่อทุกสำนัก และเพจทุกเพจได้รับผลกระทบจากอัลกอริทึมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้กันถ้วนหน้า มากน้อยต่างกรรมต่างวาระกันไป ทางออกที่ดีที่สุดคือคงต้องลองหากลยุทธ์ปรับเนื้อหา และรูปแบบคอนเทนต์ให้หลากหลาย แล้วถอดบทเรียนกันแบบวันต่อวันเพื่อหาวิธีเอาตัวรอดที่ดีที่สุดเพื่อก้าวผ่านปัญหานี้ไปพร้อมๆ กัน
ลองไปอ่านฉบับเต็มเอาน่ะครับ
https://thestandard.co/faceboo...nterested-about-media-traffic/