สำหรับท่านที่อ่านแล้วรู้สึกว่าอ่านยากไปหน่อยสามารถเข้าไปตามอ่านที่ต้นทางที่ผมเขียนไว้ได้เลยครับผม (ในนี้จัดหน้าค่อนข้างใช้เวลาครับ)>>
https://webmarketing.in.th/%E0...8C%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2/ 
เริ่มทำผลิตภัณฑ์ขาย ต้องเริ่มจากอะไร บางทีนี่อาจเป็นคำถาม ที่อยู่ในหัวของใครหลาย ๆ คนก็ได้นะครับ ซึ่งอย่างน้อยก็มีผมคนนึงหละ ที่เคยนึกถึงคำถามนี้ สมัยที่มีความคิดอยากจะทำธุรกิจอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้จะเริ่มจากอะไร แต่วันนี้ผมมีคำตอบคร่าว ๆ ให้ตัวเองแล้ว ก็เลยจะมาเขียนเพื่อแบ่งปันให้กับผู้อ่านทุกท่านซะหน่อยครับ
เนื่องจากตัวผมเอง ค่อนข้างที่จะยุ่งเอาซะมาก ๆ กับการทำงานฟรีแลนซ์ให้กับลูกค้า แล้วก็กำลังทำผลิตภัณฑ์อยู่ตัวสองตัวด้วย เลยไม่ได้มีเวลามาเขียนบทความอะไรใหม่ ๆ กันเลย แล้วเนื่องด้วยช่วงนี้งานทำเว็บไซต์ของผมเองได้เบาบางลงแล้ว ก็เลยพอมีเวลาที่จะมาเขียนบทความลงเว็บไซต์ ให้ผู้อ่านได้ตามอ่านกัน ( หายไปนานจนเว็บแทบจะร้างเลยมั้งครับเนี่ย ) แล้วก็ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ตัวแรกก็กำลังจะเสร็จแล้วด้วย ก็เลยจะมาแบ่งปันกันหน่อย ว่าผมเริ่มต้นทำผลิตภัณฑ์ขาย ได้อย่างไร
เริ่มทำผลิตภัณฑ์ขาย หน้าตาสินค้าต้องมาเป็นอันดับแรก
สาเหตุที่ผมยกมาเป็นเรื่องหลักเลยนั่นหรอ ครับ นั่นก็เพราะว่าสินค้าที่ผมตั้งใจผลิตจำหน่าย จะเป็นสินค้าที่ตั้งใจเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้ที่มีกำลังซื้อ แล้วก็ไม่ตัดสินใจซื้ออะไรจากความคุ้มค่าเป็นหลักนั่นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของหน้าตาสินค้า จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยจุดที่ผมโฟกัสก็จะมีอยู่ไม่กี่จุดครับ
สไตล์บรรจุภัณฑ์อย่างแรก ที่สำคัญเลยก็คือหน้าตา และสไตล์ของบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเรียกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อไปต้องเห็นบ่อยที่สุด ทุกครั้งที่ใช้สินค้าของเราครับ ผมก็เลยให้ความสำคัญมาก ๆ ในสมัยนี้แล้วเมื่อเราสังเกตุพฤติกรรมผู้บริโภคดี ๆ จะสังเกตุเห็นถึงการถ่ายภาพสินค้า หรือของที่ใช้ลงในสื่อโซเชียลมีเดียกันเป็นประจำ ยกตัวอย่าง เช่นใน Twitter ที่การส่งต่อเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ แม้แต่ผู้ที่ส่งต่อยังไม่เคยจะได้เห็นสินค้าตัวนั้น ๆ เลย หรืออาจจะเป็นแบรนด์หน้าใหม่ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปเกิดความสนใจและส่งต่อไปนั้น ก็เป็นผลมาจากที่ว่า บรรจุภัณฑ์ของสินค้าชิ้นนั้นมีความสวยงาม ถ่ายออกมาแล้วดูหรู ดูมีราคานั่นเอง
แพคเกจจิ้ง ก็สำคัญทำไมหละ ? แค่ตัวบรรจุภัณฑ์สวยอย่างเดียวไม่พอหรอ ? ทำไมต้องมาวุ่นวายกับตัวแพคเกจจิ้งอีก นั่นก็เพราะ ในการจัดเก็บสินค้าไว้เพื่อจำหน่าย หรืออาจจะจำหน่ายไปแล้ว ลูกค้าอาจจะต้องการนำสินค้าชิ้นนั้นนำไปให้เป็นของขวัญให้กับผู้อื่นอีกก็ได้ ซึ่งตัวแพคเกจจิ้งเนี่ยแหละ จะเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารกับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี สร้างความประทับใจได้แต่แรกเห็น เรียกได้ว่าแค่ได้เห็นหน้าตาแพคเกจจิ้งก็อยากได้เป็นเจ้าของกันแล้ว ลองไปอ่านบทความ เพิ่มมูลค่าสินค้า ให้ขายดีด้วยบรรจุภัณฑ์ ที่เคยเขียนไว้ได้ครับ
อย่าถ่ายภาพสินค้าเหมือนสมัย 3-5 ปีที่แล้วในกรณี ที่สินค้าถูกนำไปทำการตลาดออนไลน์ สิ่งที่ผู้บริโภคจะเห็น ก็คือภาพสินค้า ไม่ใช่ตัวสินค้าตรงหน้า ดังนั้น สิ่งสำคัญเลยก็คือการถ่ายภาพสินค้าให้ดี ดูมีคุณค่า สะอาด และน่าสนใจครับ ซึ่งอาจจะดูเหมือนง่าย แต่จริงๆก็ยากพอสมควร เพราะการถ่ายภาพให้ออกมาดีนั้น จำเป็นต้องมีทั้งทักษะการถ่ายภาพที่ดี และยังต้องการแสงสว่างที่เพียงพออีกด้วย ซึ่งบางครั้งเรื่องของภาพถ่ายสินค้า ก็เป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่ต้องคำนึงถึงเหมือนกันครับ
ตัวอย่างสองภาพนี้ เป็นสินค้าชนิดเดียวกัน ลองเปรียบเทียบดูครับว่าถ่ายภาพแบบไหน สินค้าดูมีความสนใจมากกว่ากัน
เรื่องราวของแบรนด์ก็สำคัญไม่แพ้กันเรื่องนี้จริง ๆ ก็อาจจะไม่ได้สำคัญกับทุกคนขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผลิตภัณฑ์ของผมเป็นของประเภทใช้ฟุ่มเฟือย ฉะนั้นก็ต้องมีอะไรที่มันทำให้ผู้บริโภคอยากที่จะซื้อสินค้าไป ก็เลยต้องมีเรื่องราวของแบรนด์เข้าไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจยากซักนิดนึงครับ เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน แล้วการสร้างเรื่องราวของแบรนด์นี่เป็นอย่างไร อ่านต่อได้เลยครับ
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำแบรนด์อะไรขึ้นมาซักอย่างจดจำเรื่องราวการเริ่มต้นของคุณไว้ครับ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเล่า หรือว่าจะเป็นการพิมพ์ไว้ในเว็บไซต์บทความอย่างเช่น Storylog ก็ได้ครับ เพื่อป้องการลืมขึ้นมา ถึงเวลาที่คุณจะได้เริ่มเล่าเรื่องราวของคุณเมื่อไหร่ จะได้มีเรื่องราวไว้เล่าให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ อย่างชัดเจน และตรงไปตรงมา
เล่าเรื่องราวที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์ข้อนี้ จะยกตัวอย่างให้เห็นอย่างง่าย ๆ เลย ว่าการที่เราเล่าเรื่องราวที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์ของสินค้านั้น จะส่งผลดียังไงต่อยอดขายของเราบ้าง เช่น คุณทำแบรนด์สินค้าที่เป็นเครื่องตัดขุยผ้า เพื่อแก้ไขสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทีเป็นที่ปัญหาของใครหลาย ๆ คนกัน แล้วคุณจะบอกเล่าเรื่องราวหรือ Story ลงไปผ่านทางโฆษณา หรือวิดีโอก็ได้ครับ โดยเรื่องราวก็อาจจะเป็นเกี่ยวกับแม่บ้านคนหนึ่งที่มักจะมีปัญหาเรื่องเสื้อผ้าเป็นขุย มักจะใช้มีดโกนกำจัดขุยนี้ออกแต่สามารถทำได้ช้าและเสียเวลามากครับตรงนี้ หรือบางคนอาจจะไม่รู้วิธีกำจัดขุยเสื้อผ้าเลยทิ้งเสื้อผ้าเหล่านั้นซะงั้น ทั้ง ๆ ที่คุณเพิ่งใส่ได้แค่ 1-2ครั้งเอง ไฮไลท์ของเรื่องราวมันก็อยู่ตรงนี่แหละครับที่ว่าคุณสามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นข้อดีและประโยชน์ของแบรนด์คุณ แถมไม่ต้องโพสต์ขายตรงๆอีกด้วย แค่นี้คุณก็มี Story เป็นของตัวเองและทำให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์ของสินค้าคุณอีกด้วย
เรื่องราวที่แตกต่างสิ .. ดีหลักการนี้ผมว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเลยนะครับ ฮ่า ๆ การที่คุณสร้างเรื่องราวของแบรนด์ที่มีความแตกต่าง หรือสะดุดตาผู้บริโภค จุดนี้คุณสามารถทำให้สินค้าและแบรนด์ของคุณ อยู่เหนือคู่แข่งอื่น ๆ ที่เป็นประเภทเดียวกันหรือประเภทอื่น ๆ ได้เลยครับ ข้อดีอีกอย่างคือทำให้คุณลดต้นทุนในการโฆษณาและการตลาด แถมเผลอ ๆ อาจจะมีบุคคลที่ชื่นชอบเรื่องราวของแบรนด์คุณ และทำให้มีคนจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่าย ๆ เพียงแค่ฟังประโยคเดียวก็ อ๋อ...แบรนด์นี้ หรือแม้แต่ดูโลโก้ก็พูดชื่อแบรนด์ออกกันอย่างแน่นอนครับ
อย่าลืมให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ด้วยในเมื่อเราตั้งสินค้าไว้ให้อยู่ในกลุ่มที่มีราคา มีระดับแล้ว การทำเว็บไซต์ให้กับสินค้า ก็จะเป็นที่จะต้องมีความสอดคล้องกับตัวสินค้าด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะดูขัดแย้งกันเอง และก็จะทำให้ผู้บริโภคที่มีความสนใจ อาจเกิดอาการลังเลใจขึ้นมา หลังจากที่เห็นว่าเว็บไซต์ของสินค้า ดูไม่มีระดับเหมือนตัวสินค้านั่นเอง
ใช้อะไรทำเว็บไซต์ดีที่ผมคิดว่าง่ายที่สุดและเหมาะสมที่สุด ในกรณีที่เป็นแบรนด์เล็กๆ หน้าใหม่ๆ ก็คงจะเป็น WordPress ร่วมกับปลั๊กอิน WooCommerce นั่นเองครับ เพราะใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน และเรียนรู้เองได้ แก้ไขได้ง่ายนั่นเอง หรือจะใช้บริการทำเว็บไซต์ก็ราคาไม่สูงมากเช่นกัน อย่างเหมาะสมสำหรับเว็บไซต์เล็กๆ ก็จะประมาณ 10,000 - 15,000 บาท โดยประมาณครับ ซึ่งถ้าอยากประหยัดส่วนนี้ ก็แนะนำให้แบ่งเวลาไปเรียนรู้ใน Youtube ไม่เกิน 5 ชั่วโมงสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ก็น่าจะทำได้พอประมาณแล้วครับผม
แล้วควรทำเว็บไซต์หน้าตาแบบไหนดี
สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว ดีไซน์ต้องโมเดิร์นถึงจะเหมาะสมที่สุดแล้วครับ ส่วนจะไปฟิวชั่นกับแบบไหนก็เป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งขึ้นอยู่กับสไตล์ของตัวสินค้าของคุณ ๆ ท่าน ๆ นั่นเองครับ สำหรับไอเดียหน้าตาเว็บไซต์แบบต่าง ๆ สามารถเข้าไปดูได้หลากหลายที่ครับ ผมจะยกตัวอย่างขึ้นมาซัก 3 เว็บไซต์ ที่ผมชอบเข้าไปหาแรงบันดาลใจแล้วกันนะครับ
1.themeforest.net
เว็บ themeforest นี้เป็นเว็บสำหรับซื้อขายธีมสำหรับงานเว็บไซต์ต่าง ๆ กับ มีธีมสำหรับทุกๆ CMS เลย ถ้าจะซื้อมาใช้เลยก็ได้เหมือนกันครับ ราคาส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 59 USD หรือประมาณไม่เกิน 2000 บาท ไม่ต้องมาจัดการเอง แต่ก็อาจจะไม่ได้ตรงใจ 100% ครับ ผมเลยมักจะเอาไว้ดูมากกว่า ว่านักพัฒนาเขาออกแบบกันอย่างไง

หน้าตาเว็บไซต์ Themeforest
2.dribbble.com
ดริบเบิล เป็นเว็บไซต์ที่ไว้สำหรับดีไซน์เนอร์ นักออกแบบ ทั้งหลายได้มาแชร์ผลงานกันครับ เรียกว่าเป็นพอร์ตฟอลิโอออนไลน์ กันเลยก็ได้ โดยที่ผลงานของแต่ละคนก็จะเปิดเป็นสาธารณะ ให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปชม และสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจการออกแบบของตนเองได้เช่นกัน

หน้าตาเว็บไซต์ dribble
3.pinterest.com
เว็บสุดท้าย ที่ผมจะเอามาแนะนำคือ Pinterest เว็บไซต์รวบรวมไอเดียต่าง ๆ ทั่วโลก ที่ถูกปักหมุดมารวมเอาไว้ในเว็บไซต์นี้ ทำให้ที่นี่ถือเป็นแหล่งรวมไอเดียทุกอย่างเลยครับ มีทั้งไอเดียบรรจุภัณฑ์ ไอเดียหน้าเว็บ การออกแบบโลโก้ เรียกว่ามีทุกอย่างเลยทีเดียว

หน้าตาหน้าเว็บ pinterest
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่ต้องนึกถึง สำหรับตัวสินค้าอย่างเดียวนะครับ แล้วก็เน้นในส่วนแค่เรื่องหน้าตาด้วย ยังไม่ได้เจาะลึกลงไป ในแต่ละเรื่องครับ แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่ สามารถมองเห็น และสัมผัสได้ เป็นตัวการสำคัญในการสร้างยอดขายให้เป็นอย่างดี แต่ยังไงก็ยังต้องพึ่งการทำการตลาดอยู่ดีนะครับ เพราะสินค้าวางไว้เฉย ๆ ไม่มีใครรู้จัก ก็เป็นไปได้ยาก ที่จะมีคนมาซื้อได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องควบคู่กันไปครับ แต่ในเมื่อเราเตรียมตัวเรื่องตัวสินค้า กับเว็บไซต์ไว้อย่างดีแล้ว การเรียกได้ว่าพร้อมสำหรับการทำการตลาดต่อไปได้แล้วหละครับ