เท่าที่ดูมาธุรกิจนี้คุณภาพของเครื่องสำอางอาจไม่สำคัญเท่าการเครือข่ายและช่องทางการขาย
เช่น
มีลูกทีม 100 คนซื้อคนล่ะ 5 ชวด ขวดล่ะ 100 บาท รับไปแล้วแน่ ๆ 50000 บาท ยังไม่รวมค่าสมัครสมาชิกอีก
ต้นทุนของสินค้ามันจะเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนลูกทีมหรือเปล่า ?
เช่น ของราคาต้นทุน 100 บาท แต่ต้องขายผ่านลูกทีม 3 ชั้น กำไรชั้นล่ะ 20 บาท สินค้านั้นต้องขายราคา 160 บาท เป็นต้น
ธุรกิจแบบนี้ พอขยายไปเรื่อย ๆ มันจะล้มเหมือนเเชร์ลูกโซ่ไหม ?
มันคือการขายของครับ คือการ ขายปลีก และขายส่ง
จะขายคนเดียว หรือ ขยายเครือข่าย(สร้างลูกทีม) มันแล้วแต่เราครับ
ขายคนเดียว คือ ขายปลีก
รับสมัครตัวแทน หรือสร้างเครือข่าย ก็คือ ขายส่งครับ
มันมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน
1. ขายปลีกขายได้ช้าครับ ได้กำไรเยอะกว่าขายส่ง(รับตัวแทน)
เช่น จะขายของ 10 ชิ้น ก็สั่งสต็อคมาแค่ 10 ชิ้นก็พอ หมดแล้วก็สั่งมาใหม่ ตามใจเรา
2. ขายส่งหรือรับตัวแทน กำไรต่อชิ้นได้น้อย แต่ได้เงินเป็นก้อน
เช่น มีตัวแทนทั้งหมด 10 คน เราไม่รู้ว่าลูกทีมเค้าจะสั่งของเท่าไหร่กันบ้าง สมมุติเฉลี่ยสั่งคนละ 10 ละกัน เราก็ต้องสต็อคของเผื่อไว้ 10x10 ต้องสต็อคของไว้ทั้งหมด 100 ชิ้น ต้นทุนในการสต็อคของจะมากกว่าการสต็อคแบบขายปลีกคนเดียว
อันนี้คงอยู่ที่ว่าใครชอบการขายแบบไหน การขายส่งหรือรับสมัครตัวแทน ต้องดูแลตัวแทนให้เค้าขายได้ ให้กำลังใจเค้า เทรนงานเค้า ซึ่งถ้าไม่สอนงานเค้า เค้าสั่งของจากเราไป เค้าขายไม่ได้ ก็จะมีอคติที่ไม่ดีต่อแบรนด์สินค้าและตัวเรา
แชร์ลูกโซ่ คือ ไม่ได้เน้นการขายของเลย เน้นที่การหาคนใหม่อยู่เรื่อยๆ ผลตอบแทนสูง ล่อตา ล่อใจ ลงเงินอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มีเงินปันผลเข้ามา ชวนคนใหม่เข้ามาลงทุนต่อ เอาเงินคนใหม่มาจ่ายคนเก่า พอขยายไปเรื่อยๆ ก็จะถึงจุดอิ่มตัว ไม่มีคนใหม่เข้ามาในระบบ ก็ไม่มีเงินของคนใหม่มาจ่ายให้คนเก่าได้