ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปCryptocurrencyBitcoin นั้นยังไม่ตาย มันยังมีเหตุผลที่ควรจะถือมันเก็บไว้ โดย Tom Lee
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Bitcoin นั้นยังไม่ตาย มันยังมีเหตุผลที่ควรจะถือมันเก็บไว้ โดย Tom Lee  (อ่าน 1618 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Pichaiyuk
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 01 เมษายน 2018, 12:51:54 »


Bitcoin นั้นยังไม่ตาย มันยังมีเหตุผลที่ควรจะถือมันเก็บไว้ โดย Tom Lee



เมื่อเดือนเมษายนกำลังใกล้เข้ามา และอากาศในประเทศไทยกำลังร้อนขึ้น มันจึงอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้หลาย ๆ คนกำลังเครียดกับราคาของ Bitcoin ที่กำลังร่วงอย่าหาก้นไม่เจอ และหลาย ๆ คนอาจกำลังคาดหวังให้ราคาของมันกลับขึ้นมาอยู่ ณ จุด ๆ เดิม ในขณะเดียวกันนักลงทุนมืออาชีพพันล้านนาย Tom Lee ผู้ก่อตั้งบริษัท Fundstrat Global Advisors ได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่นักลงทุน Bitcoin ควรจะมองมันเป็นด้านบวกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทรนด์ digital trust, เด็กยุคมิลเลนเนียลเริ่มเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำคน, เหรียญคริปโตกำลังถูกมองเป็นสินทรัพย์ของแท้ และรวมถึงนักลงทุนจาก Wall Street กำลังกระโดดเข้ามาในตลาดนี้

แม้มันจะดูสิ้นหวัง แต่นาย Tom Lee ก็ยังมอง Bitcoin ในแง่บวก

เมื่อเดือนเมษายนกำลังใกล้เข้ามา และอากาศในประเทศไทยกำลังร้อนขึ้น มันจึงอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้หลาย ๆ คนกำลังเครียดกับราคาของ Bitcoin ที่กำลังร่วงอย่าหาก้นไม่เจอ และหลาย ๆ คนอาจกำลังคาดหวังให้ราคาของมันกลับขึ้นมาอยู่ ณ จุด ๆ เดิม ในขณะเดียวกันนักลงทุนมืออาชีพพันล้านนาย Tom Lee ผู้ก่อตั้งบริษัท Fundstrat Global Advisors ได้ออกมาชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่นักลงทุน Bitcoin ควรจะมองมันเป็นด้านบวกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทรนด์ digital trust, เด็กยุคมิลเลนเนียลเริ่มเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำคน, เหรียญคริปโตกำลังถูกมองเป็นสินทรัพย์ของแท้ และรวมถึงนักลงทุนจาก Wall Street กำลังกระโดดเข้ามาในตลาดนี้
แม้มันจะดูสิ้นหวัง แต่นาย Tom Lee ก็ยังมอง Bitcoin ในแง่บวก

ดูเหมือนว่าในเดือนนี้นักลงทุนคริปโตอาจจะไม่มีความสุขเท่าไรนัก เนื่องจากสภาพราคาของตลาดที่ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ นาย Tom Lee ที่ก่อนหน้านี้ออกมาทำนายราคาของ Bitcoin ถูกหลายต่อหลายครั้งไม่คิดว่าตลาดนั้นดูย่ำแย่อย่าง 100% เสมอไป

โดยล่าสุดเขาได้ออกมาพูดคุยเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ cryptocurrency ว่าทำไมมันถึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยสิ่งที่หลาย ๆ คนควรจะคำนึงถึงก่อนก็คือนาย Lee นั้นเป็นนักวิจัย ซึ่งนั่นหมายความว่าตัวของเขาไม่ได้บริหารเงินทุนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่บริษัทของเขากำลังอยู่ได้ด้วยความเชื่อมันของลูกค้าของเขา

เขายังบอกอีกว่าความเห็นของเขานั้นอย่างไรก็คือความเห็น พร้อมกำชับว่าทุก ๆ คนที่อ่านงานวิจัยราคาของเขาควรที่จะตัดสินใจซื้อขายด้วยตัวเอง โดยตัวของเขานั้นแค่หยิบยกข้อมูลขึ้นมาให้ดู โดยข้อมูลนั้นถือเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่แนวคิดอย่างใด และตัวเขาเองนั้นก็ไม่ใช่ cypherpunk อีกด้วย



ทฤษฎีของนาย Lee นั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ Bitcoin กำลังส่งผลทำให้สถาบันการเงินส่วนใหญ่ทั่วโลกกำลังงงงวย โดยราคาของมันเริ่มต้นที่แค่ 0 ดอลลาร์, ไม่มีแม้แต่นักลงทุน VC, ไม่มีแม้แต่ผู้บริหาร แต่มันสามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์

ต่อมาเขาได้อธิบายถึงสถาบันการเงินและธุรกรรมส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่บนดิจิตอล ไม่เว้นแม้แต่หุ้น 5 อันดับแรกในตลาด S&P 500 สหรัฐฯก็ยังเป็นดิจิตอลหมด และเศรษฐกิจดิจิตดอลนั้นกำลังเริ่มก่อให้เกิดเงินในรูปแบบ decentralization ขึ้น และส่งผลทำให้ระบบจุดศูนย์รวมอย่าง centralization กำลังสั่นคลอนเนื่องจากความง่ายต่อการจู่โจม ดังตัวอย่างที่เห็นได้ในธนาคารกลางแห่งมาเลเซียโอนเงินให้ผิด โดยไปโอนให้แฮคเกอร์แทน

นอกจากนี้ระบบการเงินในปัจจุบันนั้นกำลังถูกสร้างอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล และความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วย โดยในขณะนี้เรทความเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นร่วงลงมาอยู่จุดต่ำสุดในรอบห้าสิบปี ในขณะที่ประเทศอย่างบราซิล, อาร์เจนตินา, กรีซนั้น ความไว้ใจต่อรัฐบาลนั้นไม่มีอีกต่อไป ตัวแปรเหล่านี้ทำให้ความสนใจใน cryptocurrency นั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

เด็กยุคมิลเลนเนียลกำลังเติบโต

ความไว้ใจต่อธนาคารที่มีรัฐบาลมาหนุนหลังไว้กำลังลดลงอย่างมากในยุคที่เด็กยุคมิลเลนเนียล (หรือ Generation Y) กำลังเติบโต ด้วยความที่คนยุคนี้เติบโตขึ้นเห็นพ่อแม่ของพวกเขาต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ทำให้พวกเขามีความไม่ไว้วางใจในความเป็น centralized สูงมาก โดยผลสำรวจของปี 2016 นั้นเผยให้เห็นว่าเด็กยุคมิลเลนเนียลกว่า 92% นั้นไม่ไว้ใจธนาคาร ในขณะที่สกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้นหยิบยื่นสิ่งที่พวกเขากำลังถวิลหา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็คือ decentralization, ความขาดแคลนด้านดิจิตอล และความไว้วางใจแบบ native ที่จะเป็นกุญแจไปสู่อนาคต

โดยเชื่อกันว่าเด็กยุคมลเลนเนียลนั้นจะมาเป็นกำลังหลักสำคัญต่อเศรษฐกิจในอนาคต โดยหากลองดูแล้วปัจจุบันมีคนยุค Generation Y กว่า 1.8 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจเนอเรชันที่มากที่สุดตั้งแต่มีมวลมนุษยชาติเกิดขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในอนาคตนั้นพวกเขาจะเป็นหมากสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และคุณลองจินตนาการดูว่าหากพวกเขาเหล่านี้ที่เชื่อมั่นในความเป็น decentralized ของ Bitcoin ขึ้นมาบริหารประเทศ อะไรจะเกิดขึ้น

คนยุค Baby boomers (ผู้ที่เกิดในช่วงปี 1946 ถึง 1964) นั้นได้เริ่มใช้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของพวกเขาในปี (1970, 80’s) ในขณะที่คนยุค Generation X นั้นส่วนใหญ่กำลังคุ้นเคยกับอินเทอร์เนตด้าน ecommerce อย่างเช่น, Amazon, โทรศัพท์มือถือโนเกีย 3310, การส่งข้อความ SMS, และ Google จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าใจคนยุค Generation Y



โดยในปัจจุบันนี้ผู้คนในยุคเจเนอเรชันดังกล่าวที่อายุ 20 ปีขึ้นไป (เกิดในปี 2000) นั้นกำลังลังเติบโตมากับ Facebook, Uber, แอพค้นหาคู่รักออนไลน์, Instagram, การระดมทุนผ่าน crowdfunding และ Bitcoin ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกผู้คนในสองเจเนอเรชันก่อนหน้านี้ต่อต้าน ไม่ว่าจะทั้งในระดับที่มากหรือน้อยก็ตาม ลองจินตนาการว่าคุณย้อนเวลากลับไปอธิบายให้ผู้คนในปี 1990 ฟังว่าในอนาคตจะมีบริษัทมูลค่าห้าแสนล้านดอลลาร์ที่ให้บริการแค่สถานที่ให้คนมาแบ่งปันข้อมูลกัน และทุกคนสามารถใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่สามารถนึกภาพออกแน่ และสิ่งนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งมันคือ Facebook

คนในยุคปัจจุบันนั้นพร้อมสำหรับสกุลเงินดิจิตอลแล้ว ซึ่งตัวอย่างที่ดีนั้นคงจะหนีไม่พ้น Bitcoin ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน โดยกระแสการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจนั้นมักจะมีอายุอยู่ได้มากกว่า 10 ปี ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้พ่อแม่ของผู้คนยุค baby boomers นั้นอาจจะมองว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 1975 นั้นเป็นฟองสบู่ โดยกระแสนั้นพุ่งขึ้นมากว่า 40 เท่าแล้วตั้งแต่ปี 1950

อย่างไรก็ตาม ในช่วงขาขึ้นของตลาดญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1950 มาจนถึงปี 1990 ซึ่งถือเป็นตลาดขาขึ้นที่มีติดต่อกันถึง 40 ปี และเพิ่มขึ้นกว่า 400 เท่า ผู้คนยุค Baby boomers หลาย ๆ คนอย่างเช่นนาย John Templeton จากบริษัท Templeton Fund นั้นเห็นต่างจากพ่อแม่ของเขาและคนยุคที่เดินมาก่อนเขา จนเขานั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนในยุคก่อนหน้าเขานั้นคิดผิด

ในอีก 30 ปีข้างหน้าคนยุคมิลเลนเนียลจะมาเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวสำคัญ แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสะสมเงินเพื่อลงทุนเพื่อซื้อบ้านในอนาคต ทำให้นาย Lee มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจจะกลับมาบูมใหม่ได้ในปี 2030

ในทุก ๆ ปีนั้นมักจะมีเม็ดเงินราว ๆ นับล้านล้านดอลลาร์จากกลุ่มคนช่วงอายุ 35 ปีจนถึง 60 ปีที่หมุนเวียนเพื่อใช้ในการลงทุน ซึ่งในปัจจุบันคนยุค Baby boomer และ Gen X นั้นยังคงครองเมืองอยู่ ในขณะที่เด็กยุคมิลเลนเนียลนันเพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกของการมีรายได้ได้ไม่นาน ในขณะที่คนยุค Silent Generation (กลุ่มคนรุ่นพ่อแม่ของ baby boomer ที่คาดว่าน่าจะเสียชีวิตหมดแล้ว) นั้นซื้อทองคำในช่วงอายุย่างเข้าโลกของการมีรายได้ ซึ่งในขณะนั้นทำให้ราคาของทองคำพุ่งขึ้นจาก 40 ดอลลาร์ไปสู่ 600 ดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี ผู้คนยุค baby boomer หัวปีอายุขึ้นเลข 35 ในปี 1982 และภายหลังจากปี 1982 ไปจนถึง 1989 นั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม เมื่อใคร ๆ ในช่วงนั้นก็แห่กันไปซื้อหุ้น ส่วนคนบยุค Gen X นั้นถือเป็นคนกลุ่มเล็กที่ไม่ได้ขยับราคาใด ๆ มากนัก ซึ่งหากจะเทียบคน Gen Y นั้นน่าจะเทียบสถานการณ์เข้ากับของคนยุคก่อน Gen X ได้ดีกว่า

ถ้าหากเทรนด์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นั้น ในอนาคตคนยุคมิลเลนเนียลอาจจะมีเงินนับล้านล้านดอลลาร์เข้ามาหมุนในตลาดก็ได้ โดยการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ในปี 2016 นั้นดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับปีที่กลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลเริ่มมีกระแสรายได้พอดี และในทุก ๆ จำนวนเงินมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ที่เข้ามาในตลาดคริปโตนั้น จะกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ อ้างอิงจากนาย Lee

หากกลุ่มเด็กยุคมิลเลนเนียลนำเอา 10% ของเม็ดเงินล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขาทั้งหมด, ซึ่งก็คือ 1 แสนล้านดอลลาร์เข้ามาในตลาดคริปโตนั้น จะทำให้อัตราการเติบโตของตลาดนี้เพิ่มเป็น 2 ถึง 2.5 ล้านล้านต่อปี โดยนาย Lee ยังกล่าวต่อไปว่าในรอบ cycle สุดท้ายของคนยุคมิลเลนเนียลที่เข้ามานั้น อาจเป็นช่วงที่ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นไปถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์



สินทรัพย์ดิจิตอล

หน่วยงานด้านการเงิน Federal Reserve สาขาเมือง St. Louis ในสหรัฐฯเพิ่งจะเปิดตัวเอกสารที่แสดงข้อตกลงว่า crypto นั้นคือประเภทสินทรัพย์ชนิดใหม่ ซึ่งก็คือสินทรัพย์ดิจิตอล ที่ไม่สามารถจับต้องได้ และมูลค่าในปัจจุบันนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยความไว้ใจล้วน ๆ

ปัจจุบันตลาดมูลค่ากว่า 280 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผู้คนไว้ใจให้เป็นที่เก็บเงินของพวกเขานั้นมีทั้งทองคำ, งานศิลปะ, พันธบัตรรัฐบาล, รถยนต์, และอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน Bitcoin นั้นมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์ และถ้าหากว่า Bitcoin สามารถเข้าไปอยู่ใน 1% ของตลาดทั้งหมดได้นั้น เมื่อนั้นเหรียญดังกล่าวจะมีราคาอยู่ที่ 150,000 ดอลลาร์ กล่าวโดยนาย Lee

Wall Street

เขายังเผยอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หลาย ๆ คนควรมอง Bitcoin ในระยะยาวซึ่งก็คือการเข้ามาในตลาดคริปโตจากบริษัทฝั่ง Wall Street โดยปัจจุบันตลาดแลกปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดนั้นคือ ICE และมีรายได้ราว ๆ 4.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนเว็บเทรดเหรียญคริปโตอย่าง Coinbase นั้นหากเทียบกันแล้วเว็บดังกล่าวคิดเป็น 3% เท่านั้น ซึ่งรายได้ของพวกเขาอยู่ที 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องที่ดูโอเวอร์นักหากจะกล่าว่า Coinbase นั้นสามารถแซงหน้า ICE ไปได้ในอีก 18 เดือน จนกลายมาเป็นเว็บเทรดที่มีรายได้มากที่สุดในโลก ซึ่งหลักฐานก็มีมาให้เห็นแล้วเมื่อสถาบันการเงินอย่าง Goldman Sachs และ Morgan Stanley ต่างก็กำลังเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโตนี้แล้วเช่นกัน



ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของเหรียญคริปโตทั้งหมดนั้นมีมากกว่ามูลค่าตลาดรวมของประเทศหลาย ๆ ประเทศแล้วเสียอีก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก ซึ่งมากกว่าของประเทศไอร์แลนด์, สเปน, กรีซ, ซึ่งทาง Wall Street ที่อัดฉีดเงินลงทุนไปในประเทศเหล่านั้นก็คงจะไม่หลีกเลี่ยงตลาดคริปโตแน่นอน เพราะมันคงไม่เมคเซนส์กับการปฏิเสธการสร้างรายได้

ภายหลังนาย Lee กล่าวสรุปว่าตลาดเหรียญคริปโตนั้นยังคงไม่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดอื่น ๆ นอกจากนี้เขายังแนะนำบริษัทนักลงทุนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องถือคริปโตทั้งหมดบนพอร์ทการลงทุนก็ได้
บันทึกการเข้า
owenz
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 9
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 เมษายน 2018, 21:35:11 »

ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล  wanwan017
บันทึกการเข้า

ptteppawong
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 316
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,787



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 เมษายน 2018, 22:46:39 »

ขอบคุณครับ  เทคโนโลยีพัฒนาเร้วมาก จนตามไม่ทันเลยจริงๆ ต่อไปจะเป็นกระแสอะไรอีก
บันทึกการเข้า
MrPom
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 11
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 404



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 02 เมษายน 2018, 03:19:26 »

เขียนเรื่องราวเก่งมากครับ ชวนติดตามดีทีเดียว

 wanwan008 สรุปสาระ นับว่าจัดเต็ม ทีเดียวครับ เป็นมุมมองที่ดีมาก ตรงตัวเลยครับผม
บันทึกการเข้า
iluis
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 546



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 02 เมษายน 2018, 04:35:40 »

ช้อนครับ ช้อนจนหัก  Lips Sealed
บันทึกการเข้า

Annajung
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 02 เมษายน 2018, 09:03:06 »

จะยังไง ก็ต้องดูต่อ ใครมีก็เก็บไว้ก่อนก็ดีมั้งคะ การลงทุนมีความเสี่ยง  Tongue
บันทึกการเข้า

oil1979
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 323



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 02 เมษายน 2018, 11:13:55 »

ถือดองยาววว  Tongue
บันทึกการเข้า

zentrady115
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 98
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,342



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 02 เมษายน 2018, 14:12:57 »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์