เคยไหมครับที่นั่งดูผลลัพท์ของโฆษณาของคุณหลายชั่วโมงแต่ไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นสักที ไม่ได้ impressions หรือได้แต่ก็ไม่ได้มีการขายอะไร ทั้งๆที่คุณก็ใช้เวลาอยู่นานที่สร้างโฆษณานี้ขึ้นมา?
ถ้าคุณมีปัญหาพวกนี้อยู่ ผมคิดว่าโพสท์นี้จะสามารถช่วยตอบคุณได้ว่าทำไมเคมเปนโฆษณาของคุณถึงไม่มีประสิทธิภาพและไม่ได้กำไรสักที
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
เหตุผล #1: โฆษณาของคุณถูกปฎิเสธบางทีถึงแม้โฆษณาของคุณจะดียังไง ถ้าไม่ตรงกับกฎที่ Facebook ตั้งเอาไว้ก็อาจจะโดนปฎิเสธได้ ปกติ Facebook จะส่ง email มาหาคุณบอกว่าทำไมโฆษณาของคุณถูกโดนปฎิเสธ ถ้าคุณเข้า email ของคุณไม่ได้ ก็ของเข้าไปดูแจ้งเตือนดูครับ
9 เหตุผลหลักๆที่ Facebook ปฎิเสธโฆษณา > โฆษณาของคุณเกี่ยวกับบุหรี่ (หรือยาสูบทั้งหลาย), ยา หรืออะไรที่เกี่ยวกับยา
> คุณโฆษณาเกี่ยวกับอาหารเสริมที่ดูเสี่ยง (แล้วแต่วิจารณญาณของ Facebook อย่างเดียว)
> โฆษณาคุณเกี่ยวกับการขายอาวุธปืนหรือลูกกระสุนปืนทั้งหลาย
> โฆษณาของคุณดูรุนแรงเกินไป
> คุณโฆษณาเกี่ยวกับการขายเอกสารปลอม พาสปอร์ต หรือบัตรประชาชน เป็นต้น
> อุปกรณ์สอดแนมหรือดักจับอะไรทั้งหลาย
> โฆษณาที่ใช้รูป “before และ after” ดูเกินจริง
> โฆษณามีสื่อลามก
> โฆษณาอะไรที่บอกว่าทำแล้วจะรวยเร็ว
> วิธีแก้ปัญหาโฆษณาโดนปฎิเสธ
เปลี่ยนแปลงโฆษณาของคุณ — บางทีการที่โฆษณาของคุณถูกปฎิเสธนั้นไม่ได้เกิดจากปัญหาใหญ่เลย เช่น รูปโฆษณาคุณอาจจะมีแค่จุดๆเดียวที่ Facebook ไม่ชอบ ถ้าคุณเปลี่ยนเสร็จโฆษณาของคุณก็จะรันได้ทันทีครับ หลังจากคุณเปลี่ยนแปลงแล้ว โฆษณาของคุณจะถูกส่งไปให้ Facebook ดูอีกรอบทันทีโดยอัตโนมัติครับ
ส่งให้ Facebook พิจารณาอีกครั้ง — ใครๆก็ผิดพลาดกันได้ครับ บางทีโฆษณาของคุณอาจจะดีทุกๆอย่างแล้ว แต่ Facebook ดูผิด (เขาอาจจะดูทีละหลายอันแล้วกดผิด) โฆษณาของคุณเลยโดนปฎิเสธ ลองส่งให้ Facebook พิจารณาอีกรอบ หรือ “appeal the disapproval” ดูครับ เคสนี้ผมไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ แต่ก็มีครับ
เหตุผล #2: งบที่ตั้งเอาไว้ใช้หมดแล้วนี้เป็นปัญหาที่ง่ายๆ ที่หลายๆคนอาจจะลืมครับ บางทีตอนที่คุณทำงานเยอะๆ คุณอาจจะตั้งเป้าความสนใจไปที่ส่วนอื่นจนลืมว่างบที่ตั้งเอาไว้มันถึงแล้ว
อันนี้แก้ไม่ยากครับ มาลองดูกัน
วิธีแก้ปัญหางบประมาณ อันดับแรก เปิด Facebook ad manager ขึ้นมาครับ แล้วก็กดไปที่ “billing”
แล้วก็จะเจอ spend limit อยู่ตรงฝั่งขวาสุดครับ แล้วก็จะเจอแบบนี้
คุณจะเห็นลิ้ง 3 ตัวข้างล่างนี้เพื่อให้คุณ เปลี่ยนงบ, ตั้งให้ไม่มีงบเลย, หรือรีเซ็ทใหม่
เหตุผล #3: ในรูปมีตัวหนังสือเยอะเกินไปการโฆษณาใน Facebook มันค่อนข้างจะมีกฎเกณท์เยอะครับ แต่ที่ชัดๆเลยคือกฎ 20% ครับ
กฎ 20% คืออะไร?
มันคือกฎที่ Facebook ออกมาบอกว่าในรูปโฆษณาของคุณไม่สามารถมีตัวหนังสือเกินกว่า 20% ของพื้นที่ทั้งหมดได้ เพราะว่าคนใช้ Facebook ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอ่านเท่าไหร่ครับ Facebook รู้ว่าถ้ามีตัวหนังสือเยอะ โฆษณาจะไม่ได้คลิกเยอะขนาดนั้น ดังนั้นตั้งกฎมาเลยดีกว่า จะได้ดีต่อทั้ง Facebook และ คนโฆษณาด้วย
ตัวอย่างโฆษณาที่ตรงกับกฎ 20%
ตัวอย่างอื่นๆ
ถ้าคุณไม่เปลี่ยนรูปโฆษณาของคุณ Facebook ก็อาจจะปฎิเสธโฆษณาแบบง่ายๆเลยครับ
แต่ไม่ว่าจะยังไงกฎก็ต้องมีข้อยกเว้นครับ
หน้าปกหนังสือ — เพราะว่าหน้าปกหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นตัวหนังสืออยู่แล้วครับ มันห้ามกันไม่ได้ Facebook เลยหยวนๆให้ครับ
รูปสินค้า — ถ้าสินค้าคุณมีตัวหนังสือเยอะ อันนี้ก็คงห้ามไม่ได้ครับ Facebook เลยหยวนๆให้
โฆษณา event — ส่วนใหญ่โฆษณาหรือโบชัวร์ event จะมีตัวหนังสือประกอบเยอะครับ อันนี้ก็ห้ามกันไม่ได้จริงๆ ถ้าตัวหนังสือน้อยโฆษณา event ก็อาจจะไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีสักเท่าไหร่
ข้อยกเว้นอื่น: graph หรือ chart ทั้งหลาย, หนังและซีรีย์ต่างๆ
เหตุผล #4: bid ของคุณต่ำเกินไปปัญหาอีกอย่างที่ผมเห็นบ่อยๆ คือหลายๆคนอยากจะประหยัดตังก็เลยตั้งค่า bid ต่ำเกินไป อันนี้ไม่มีปัญหานะครับ เพราะผมก็ทำเหมือนกัน
เทคนิคมันอยู่ที่ว่าคุณต้องดู campaign ของคุณสัก 2–3 ชั่วโมงแรกครับ ถ้าคุณเห็นว่าโฆษณาของคุณไม่ค่อยได้คลิกเท่าไหร่ ค่อยๆเพิ่มทีละนิด จนคุณได้คลิกครับ อย่าปล่อยทิ้งเอาไว้นะครับ
Facebook จะเอา 3 ปัจจัยหลักๆเข้ามาพิจารณาว่าจะคิดราคาแต่ละคลิกหรือ impressions ของคุณจะถูกหรือแพงและจะให้โฆษณาของคุณแสดงดีหรือเปล่า
Bid price: เงินที่คุณยอมที่จะจ่ายค่าคลิกหรือ impression
Estimated actions rates: ความเป็นไปได้ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณจะกดคลิก
Relevance & quality: คุณภาพของโฆษณาคุณ
Facebook จะเอาข้อมูลที่ได้มาจาก 3 ปัจจัยนี้มาพิจารณาแล้วก็คิดว่าโฆษณาคุณควรจะรันดีไหมและราคาเท่าไหร่
ทั่วไปแล้วถ้าคุณอยากจะให้โฆษณาของคุณไม่ถูกหยุดรันหรือราคาแพงเกินไป คุณต้องไปโฟกัสที่ตัวปัจจัยที่ 3 ครับ relevance & quality ตัวนี้จะโยงกับตัว relevance score ครับ ถ้าไม่แน่ใจว่าตัว relevance score คืออะไร อ่านได้ที่นี้เลยครับ: โฆษณา Facebook: Relevance Score ทุกอย่างที่ต้องรู้
จะแก้ยังไงดี?ตอนเรา bid ราคาโฆษณา Facebook จะให้ตัวเลือกมา 2 ตัว นั้นก็คือ manual กับ automatic อย่าเลือก automatic เด็ดขาดครับ เพราะผมลองหลายรอบละ ไม่เคยได้ผลดีเท่าที่ควรเลย แถมเสียตังเยอะด้วย ฮ่าๆ
เหตุผล #5: โฆษณานั้นถึงงบแล้วตอนเราไปค้นหาข้อมูลในเน็ตว่าทำโฆษณา Facebook ยังไง จะมีแต่คนบอกว่าทำวิธีทำโฆษณาวันละ 50 บาท หรือ 100 บาทบ้าง แต่ผมบอกเลยนะครับ ในฐานะที่ทำโฆษณา Facebook มานานว่าโฆษณาที่จ่ายวันละน้อยๆแบบนี้ จะมีน้อยมากๆครับที่ได้ผล มันก็จริงที่ราคาถูกแต่จะได้ผลหรือเปล่าก็อยู่อีกเรื่องหนึ่งครับ
แล้วอีกอย่างถ้าคุณแข่งกับคนหลายคนมันก็เป็นไปได้ครับว่าค่าโฆษณามันจะสูงไปด้วยและไอ่โฆษณา 50–100 บาทต่อวันนี้ลืมไปได้เลยครับ
การตั้งงบต่ำๆนั้นจะดีตอนแรกๆที่เราทำ A/B testing ว่าโฆษณาไหนได้ผลดีที่สุดแต่หลังจากได้โฆษณาที่ดีแล้ว 50–100 บาทต่อวันไม่ได้ผลแน่นอนครับ
แก้ยังไงดี?วิธีแก้อันนี้ก็คงจะรู้ๆกันอยู่แล้วครับ ไปเปลี่ยนการตั้งค่างบของแต่ละแคมเปนโฆษณาของคุณครับ
อันดับแรกคือคุณต้องเข้าไปที่ Ads manager และหลังจากนั้นก็คลิกคำว่า “adset” แล้วก็เลื่อนไปที่แคมเปนโฆษณานั้นที่คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงแล้วก็กดตัวไอคอน “ดินสอ” เพื่อเปลี่ยนแปลงงบได้เลยครับ
เหตุผล #6: กลุ่มลูกค้าไม่สนใจโฆษณาของคุณ สิ่งที่คนโฆษณาไม่ค่อยสนใจมากก็คือ Relevance score ครับ ตัวนี้สำคัญมากครับ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ Facebook ใช้วิเคราะว่าโฆษณาของคุณดีแค่ไหนและกลุ่มลูกค้าของคุณชอบหรือเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นคนคอมเม้น ไลค์ หรือแชร์ หรือว่าคนกด spam และซ่อนจากหน้า feed ของเขา อะไรพวกนี้จะไปมีผลต่อ Relevance score ของคุณครับ
ถ้า Relevance score ยิ่งสูง (มีจาก 1–10) ราคาโฆษณาก็จะถูกและได้ผลดีไปด้วยครับ
อ่านต่อเกี่ยวกับเรื่อง relevance score ตรงนี้เลยครับ: โฆษณา Facebook: Relevance Score ทุกอย่างที่ต้องรู้ - zozav.com
4 วิธีแก้ปัญหา relevance score ต่ำถ้ามีปัญหาเรื่อง relevance score ต่ำไม่ต้องคิดมากครับ วิธีแก้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ มาดูกันเลยครับ
วิธีที่ #1: ลอง split test รูปโฆษณา — บางทีรูปโฆษณาของคุณอาจจะยังไม่โดนพอสำหรับกลุ่มลูกค้าของคุณครับ ดังนั้นคุณเลยต้องมา split test ว่าอันไหนที่กลุ่มลูกค้าของคุณจะให้ผลตอบรับที่ดีที่สุด
วิธีที่ #2: เปลี่ยน targeting ใหม่
บางทีคุณอาจจะเจาะจงผิดกลุ่มเป้าหมายก็ได้ครับ เพราะฉะนั้นลองเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายดู จากคนอายุ 18–25 กลายเป็น 35–45 อะไรก็ว่าไปครับ เพราะการเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็สามารถได้ผลเยอะครับ
วิธีที่ #3: เอารูปใหม่ๆใส่แทนรูปเก่า
คนเราถ้าเห็นโฆษณาเดิมนานๆ สมองเราจะพยายามไม่ใส่ใจหรือไม่ก็เบื่อและรำคาญไปเลย อาการแบบนี้เราเรียกกันว่า Ad blindness (เห็นโฆษณาบ่อยๆจน สมองไม่สนใจไปเลย) กับ ad fatigue (โฆษณาที่ดีแต่กลุ่มลูกค้าเห็นบ่อยเกินจนผลตอบรับน้อยลงเรื่อยๆ)
สิ่งที่คุณทำได้คือการใช้รูปใหม่เข้าไปแทนรูปเก่าครับ ลองหารูปที่มันเตะตาด้วยนะครับ
วิธีหารูปเจ๋งๆให้กับโฆษณาคุณอ่านได้ที่นี้ครับ: โฆษณา Facebook: 5 เคล็ดลับเด็ดๆในการเลือกรูป - zozav.com
วิธีที่ #4: ทำให้โฆษณาคุณน่าสนใจ
แทนที่จะเป็นแค่รูปที่เป็นกราฟหรือสถิตติ คุณลองคิดว่าทำยังไงให้โฆษณาคุณมันจะดูน่าสนใจขึ้นดูครับ ลองคิดดูว่าอะไรที่ทำให้โฆษณาของคุณแตกต่างและได้เปรียบคู่แข่ง ลองใช้ตัวนั้นมาชูโรงโฆษณาของคุณในแนวที่สร้างสันต์และสนุกดูครับ
-------------
ตาคุณเอาไปลองทำเองแล้วครับโฆษณาใน Facebook อาจจะดูง่ายๆและใครๆก็ทำได้ แต่มันเต็มไปด้วยกฎอะไรหลายอย่างที่คนโฆษณาหน้าใหม่ๆยังไม่คุ้นหรือแม้แต่คนที่ทำมาระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นอยู่ดีครับ
ผมก็เรียนรู้อยู่ทุกวันเหมือนกันครับ ถ้ามีคำถามอะไรหรืออยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับอะไร ขอผมเข้ามาได้เลยนะครับ
โชคดีและรวยขึ้นเรื่อยๆครับ