ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปInternet Marketingว่าด้วยเรื่อง หนังสือ ศรัทธา และสถานะการณ์ปัจจุบัน
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยเรื่อง หนังสือ ศรัทธา และสถานะการณ์ปัจจุบัน  (อ่าน 2161 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tumtac
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 226
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,323



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 02:23:29 »

ที่ลงในหมวด Internet Marketing คือการแน่ะนำแนวทาง ความคิดใหม่ๆ
ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย



ก่อนอื่นขอบอกเลยว่า เรื่องนี้อยากเขียนมานานถึงนานมากแล้วล่ะ
แต่ว่าคอยมันตกผลึกให้ดีเสียก่อน เพราะจะได้ไม่ต้องมาแก้ไขข้อความกันอีก
และมันเป็นความคิดของผมเอง ไม่ได้เอาเรื่องของใครมาเขียน
ที่สำคัญ คืด อยากให้อ่านแล้ว คิด วิเคราะห์
ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผมก็ได้ เพราะผมคิดแบบหาทางออกให้ 2 ทางเสมอ และใช้ if(ถ้า)  else(แบบอื่น) ในการคิด ประมวลผลสิ่งที่คิด และ do it


เข้าเรื่อง จากหัวข้อ ว่าด้วยเรื่อง หนังสือ ผมคิดว่ายังงัยก็ดีเมื่อผมเขียนบทความนี้ไป ก็ต้องมีคนแย้งแน่นอนครับ( ขณะพิมพ์ไป มันเหมือนกับว่าผมเคยได้ทำแบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว)

  หันไปมองกองหนังสือ คู่มือต่างๆ ที่ซื้อๆมาอ่าน ทั้งที่สั่งเอา เพราะที่ร้านไม่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ในร้าน และที่ยืนอ่านก่อนว่าอ่านรู้เรื่องมั๊ยแล้วค่อยซื้อ
เพราะผมเป็นคนเรียนไม่สูง ไม่ได้จบสายตรงคอมพิวเตอร์ หรือการเขียนโค้ด ที่อ่านเพื่อทำความเข้าใจใน source code บางส่วน เผื่อว่าติดต่อคนขาย code script ไม่ได้
สังเกตุดูว่า ผมไม่ได้ซื้ออะไร จากใครมานานถึงนานมากแล้ว ไม่อยากดราม่า กับใครเท่าไร เพราะนิสัยถึงลูกถึงคน นิแหล่ะที่ผมกลัวใจตัวเอง ก็เลยพึ่งจาก เวปเมืองนอกเกือบทั้งหมด

เมื่อสมัยตอนเล่นบอล(แทงบอล)ใหม่ๆ สมัยโน้นยังไม่มี บอลสเตปด้วยซ้ำ คู่มือในสมัยนั้นก็คือ สป๊อด ฟู (จงใจให้ผิด ไม่ได้ค่าโฆษณา) ในการหาข้อมูล ราคา อัตราต่อรอง
เพราะเมื่อก่อน อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย มีให้เล่นเฉพาะในออฟฟิศ จะเห็นได้ว่า ราคานั้นมันเป็นราคาเมื่อ 2 วันก่อน เพราะกว่าโรงพิมพ์จะเอาข่าวมา , กว่าจะเข้าแท่นพิมพ์ ,กว่าจะจัดเรียง และกว่าจะส่งตามแผง
มันใช้เวลานานมาก (สังเกตว่า ข้อมูลมันเดินทาง ช้ามั๊ย)
      เอาล่ะทางเจ้าของเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น โดยการส่ง file pdf ให้สมาชิกอ่านกอ่นที่จะเอาไปขึ้นแท่นพิมพ์ด้วยซ้ำ ถ้าจำเวลาไม่ผิด ก็ประมาณ 6ทุ่ม หรือ ตี1 กว่าๆนิแหล่ะ จึงจะเริ่มทะยอยอัพข้อมูล
คราวนี้ก็เร็วขึ้นมาหน่อย แต่เสียค่าสมาชิกรายเดือน ซึ่งแรกๆก็จ่ายดีอยู่หรอก แต่ตอนนั้นระบบรักษาความปลอดภัย web browser ยังไม่พัฒนาเหมือนปัจจุบัน จึงสามารถทำให้เก็บค่า แคช และคุ๊กกี้มาใช้ประโยชน์ได้ต่อ
โดยไม่จำเป็นต้องต่ออายุสมาชิกก็ยัง แอบเข้าไปดูได้นานหลายปีเหมือนกัน  กว่าที่โรงพิมพ์มันจะหยุดให้บริการ เพราะมีคนเอา file pdf ไปล่อยแจกกันมาก จนยอดหนังสือพิมพ์ สป๊อด ฟู มันตกเพราะคนสามารถอ่านได้ฟรี
ผมก็ยังเอาไปแจกเหมือนกันแหล่ะ ใน กัน-เอง.คอม (ว่าไปแล้ว อยากรู้จังว่า ท่านเก้าเจ้าของเวปขายโดเมนเนม kan-eng.com ไปกี่สิบล้านบาท เพราะปกติได้ค่าโฆษณาจากแบนเนอร์ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 300,000 บาทอยู่แล้ว ใครรู้ช่วย P.M. มาบอกด้วยว่าขายเท่าไร)

     ตัวอย่างที่ 2 อันนี้แบบเจ็บๆเลย คือ หนังสือคู่มือการเขียน android เพราะเมื่อก่อนเขาใช้ eclipse java ในการ develop ซื้อมาตั้ง 3-4 เล่น อ่านยังไม่ได้เข้าใจเลย google มันเล่นโล๊ะ แล้วใช้ android studio มาใช้งานแทน
เอ่อกรูยิ่งฉลาดๆอยู่ ก็ต้องไขว่คว้าหามาอ่าน ซึ่งกว่าจะมีคนแปลออกมาให้อ่านก็ผ่านไปเกือบ3 เดือนแล้ว (นี่ก็เรื่องเวลาอีกแล้ว ว่าใช้เวลานานเท่าไร) เพราะซือมาอ่าน ยังไม่ทันจับต้นชนปลายได้ถูก แม่มออกเวอร์ชั่นใหม่มาอีกแล้ว ในหนังสือมันก็ไม่มี
สรุปทุกวันนี้ stackoverflow.com จะกลายเป็นที่พึ่งยามยากแทนเสียแล้ว ถึงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็อาศัย translate.google.co.th เป็นตัวช่วย ดีที่ฝั่งของ xcode มันทำง่ายกว่าเลยไม่ได้ซื้อหนังสือมาอ่านมาก

    ปัจจุบันเห็นว่าจะใช้ swift code มาเป็น platform ในการ develop xcode ด้วย รวมถึง android ของ google ก็ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน (อันนี้จากอ่านๆ และแปลตามความเข้าใจของตัวเอง) ก็ดีกรููจะได้อ่านทีเดียวทำความเข้าใจครั้งเดียว ไม่ต้องแยกให้มันยุ่งยาก
แล้วปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นกับการเก็บข้อมูลเวป ถ้าเมื่อก่อน ก็ต้องโฮสติ้งอย่างเดียวเลย หรือไม่ก็วางตู้ที่ กสท. พูดถึงเรื่องนี้ อยากเล่าว่า ปรเมศวร์ มินศิริ อตีตเจ้าของ สนุก.คอมก็วางเครื่องserverตัวแรกที่ใช้ AMD k6-2 ด้วยล่ะ (เจอกันที่พันธ์ทิพย์)
cloud เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ราคาถูกลง (เมื่อก่อนจดโดนเมน 100 USDหรือค่าเงินตอนนั้น 3000บาท/ปี ค่าโฮส 50M 1500บาท/เดือน) ตอนนี้เหลือไม่กี่บาทต่อปีแล้ว แถมเร็วกว่าเดิมเยอะเลย

คราวนี้ ดราม่าจงบังเกิด อันนี้จากความรู้ ความเข้าใจของผมเองเลยน๊ะ อาจจะมีการอ้างอิงบุคคลเล็กน้อย
หนังสือที่เกี่ยวข้องกับอัตประวัติ ทั้งของคนที่ตายแล้วเช่น จ๊อบ หรือยังมีชีวิตอยู่เช่น ตัน หม่า และอื่นๆ

เมื่อก่อนนี้ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก พล นิกร กิมหงวน ดร.ดิเรก จนมารุ่นลูก ,เล่นพวกนิยายรายสัปดาห์ที่พ่อชอบซื้อมาอ่าน ต่วยตูนย์ ฯลฯ อ่านหมดแหล่ะ แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มอ่านอะไรที่มันมีสาระขึ้นบ้าง
เช่น คิดยังงัยไม่ให้ตัน โดย... อืมมันก็ดีน๊ะ แต่สิ่งที่คุณทำกับคนที่มีบุญคุณ มันคือการทรยศ หักหลัง ซึ่นคนจีนโดยส่วนใหญ่เขา ไม่ทำกัน (หรือว่าคุณเป็นคนจีนส่วนน้อย ก็ว่ากันไป ฮ่า)
หรืออย่างเรื่องของ โจน จันได ผมก็ได้ดูที่คนเรียบเรียงหนังสือเรื่องราวของ โจน จันได สัมภาษณ์ ในรายการ สัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ผมไม่คิดที่จะซื้อเลย เพราะ.......... ยังงัย เขาก็ให้คุณไม่หมดหรอกในชีวิตเขา


ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จใดๆ ที่จะเปิดเผยด้านมืดของตัวเองลงไป
อย่างผม ไม่รวย ไม่เก่ง แต่บอกหมดเลย ว่าทำอะไรบ้าง หาอ่านเอาย้อนไปประมาณปี 2009 ที่เข้าบอร์ดนี้ใหม่ๆ .หรือเจ้าของ สาหร่ายมันเคยบอกมั๊ยว่าเงินที่เอามาทำธุรกิจ ได้จากการเปิดบอท หาเงิน zenny ของดรอปบอส มาขายเป็นเงินจริง ขนาดในหนังยังไม่มีเลย
,คนขายหวยชาเขียว เคยบอกมั๊ยว่าช่วงที่เขาตกอับสุดๆ เขามีวิธีการดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ,เจ้าสัวเคยบอกมั๊ยว่าซื้อที่ดินที่สุราษฎร์ฯ จนจะหมดแล้วเพื่อทำโรงงานอาหารสัตว์ โดยการเอาเรือลาก ปูน้อย ปลาน้อย หอยน้อย โดยไม่กล้วว่ามันจะหมดเพื่อเอามาทำอาหารสัตว์ ขายเอาเงินเข้าตัวเอง  เอาใครมาเผาอีกดีล่ะ ...!!!

ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จใดๆ ที่จะเปิดเผยกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของตัวเองที่มันมีมูลค่ามหาศาล แลกกับเปอร์เซ็นต์จากหนังสือไม่กี่ล้านเล่ม โดยเฉพาะถ้าเขายังไม่ตาย ก็ฝันไปได้เลย

เพราะฉะนั้น จึงลดศรัทธาที่มันต่อคนอื่นลง แล้วมองให้เห็นตัวเองให้มากขึ้น ว่าเรากำลังก้าวต่อไปใน สถานะการณ์ปัจจุบัน

ทำไม alibaba ซื้อ lazada เพื่ออะไร เพราะอะไร ทำไมแจ๊ค หม่า ถึงคิดอย่างนั้น มาคิดวิเคราะห์เรื่องราวนี้ดีกว่า
ทำไม โปรเจค startup ของรัฐบาลจึงออกมาเยอะแยะไปหมด แล้วรู้หรือเปล่า มันขึ้นมาแล้ว ไม่มีทางออก มันก็ตายห่า ไปหมดเหมือนกัน ทำเอาหน้า เอาตากันทำไหม ตั้งหลายกระทรวง ทบวงกรม อ้อ งบรัฐบาลให้มา 15,000 ล้านบาท กลัวมันไม่มีที่ระบายใช่เปล่า จึงต้องสร้างภาพจัดงานขึ้นมากันเต็มไปหมด ไม่มีคุณภาพเลย ให้ตายเหอะ โรบิ้น
ทำไม รถคนอื่นมันชอบมาจอดบังหน้าบ้านเรา เพราะมักง่าย หรือ สันดาน  มาคิดว่าจะหาวิธียังงัยจึงจัดการเรื่องแบบนี้
เพื่อนผมเคยบอกว่า ผู้บริการเขาคิดการใหญ่ ไม่คิดเรื่องเล็กๆน้อยๆ ให้เปลืองสมองหรอก..!
ผมก็เลยบอกมันไปว่า ถ้าเรื่องเล็กแค่นี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เรื่องใหญ่ๆ มันจะไปรอดเหรอ...!!
ทำไม google trips จึงต้องออกมาตอนนี้ โปรเจคนี้ กรูใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์กว่า 6 ปีเลยน๊ะ แต่ไม่เป็นไร คิดออกแล้ว ดีเสียอีกจะได้ทุ่นแรงจ้างโปรแกรมเมอร์ไปเยอะเลย ดีออก(ห้ามผวน)

เอาล่ะ ได้เวลาดูบอล อังกฤษแล้ว ไปลุ้นดีกว่า ลงเครดิตตั้ง 100,001 ไปลุ้นดีว่า




 wanwan004 wanwan004 wanwan004


บันทึกการเข้า

แก้ไขครั้งสุดท้าย: ชาตินี้ เวลา 25:26:05 โดย tumtac
seoland
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 118
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 06:49:13 »

เห็นด้วยเกือบทุกประเด็นนะครับ มีเพียงแต่พวกนักธุรกิจรุ่นใหม่อย่าง สตีฟ จ๊อป อย่างบิล เกต เขาก็ทิ้ง นวัตกรรมเชิงสร้างสรรรค์ใหม่ๆ ไว้ให้คนได้ใช้ โลกก้าวหน้าขึ้น ส่วนด้านมืดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่โหดร้ายต่อประเทศหรือต่อโลก เป็นด้านมืดของคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้านมืดเรื่องนิสัยส่วนตัว การขโมยความคิด ไอเดียคนอื่นนั้นก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มกลายพันธ์จากลิงมาเป็นคน การแกว่งแย่งฆ่ากันยังมีอยู่ และคนสร้างศาสนาเพื่อมาบังคับความคิดคนให้อยู่ในกรอบหนึ่ง ผ่านมาโลกก้าวหน้ามากขึ้นคนส่วนใหญ่ในโลกเริ่มต้งคำถามว่า ความเชื่อศาสนานั้นเหมาะแค่ไหนในยุคนี้ ยุคไอทีที่เราหาข้อมูลได้หลากหลายและรวดเร็ว มีทั้งที่ข้อมูลดีและไม่ดี แต่ทำให้คนรู้มากขึ้น ไม่จำกัดสถานที่เรียนรู้
ผมเคยคุยกับเด็กฝรั่งคนหนึ่งเมื่อเร็วนี้ เขาบอกว่า ยุคที่คนเป็นลิงไม่เห็นต้องมีศาสนา แต่พอลิงกลายพันธ์เป็นคนทำไมความเชื่อทีทำให้คนฆ่ากันตายคงอยู่ ไม่ยกเลิกไป นั้นคือ ไอทีทำเด็กฝรุ่งยุคใหม่ เขาเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารจากอินเตอร์เน็ต มีความกล้าตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ แบบตรงไปตรงมา ในความเชื่อความศรัทธาต่างๆ
 การไหลบ่าทางความคิดแบบนี้จะไปสูคนเจ็ดพันล้านคนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอนาคต คนรุ่นใหม่จะกล้าคิดกับประเด็นต่างๆ มากขึ้น สังคมจะใกล้กันมากกว่ายุคเรา การเปลี่ยนผ่านจากยุคไอทีไปเป็นยุคความคิด โลกเดียวกัน มันถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นแน่นอนครับ ผมเชื่อว่า คนรุ่นหลังยุค พศ 5000 จะก้าวหน้าไปเยอะมากทุกด้านครับ
การสร้างภาพไอทีมีทุกรัฐบาลครับ ตั้งแต่คอมฯ เริ่มแพร่หลายในเมืองไทย รัฐบาลบางช่วง จัดทำการเรียนการสอนไอที รัฐบาลบางช่วงจัดทำโครงการโอเอสคนไทย เวิร์ดคนไทย ฟอนต์คนไทย นักพัฒนาโปรแกรมคนไทย อีคอมเมิร์สคนไทย เบาว์เซอร์ไทย หนังการ์ตูนคนไทย ศูนย์บ่มเพาะมากมาย อีเวนต์ทางไอดีนี้มีทุกรัฐบาล มันละลายแม่น้ำทิ้งเกือบทุกรัฐบาล
ผมเคยไปเที่ยว ไปเดิน ไปดู ที่ Silicon Valley บ่อย เพราะมีญาติอยู่ซานฟานซิสโก ใกล้ๆ กับ Startup เมืองไทย เมื่อก่อนก็เคยเรียนสหรัฐฯ อยู๋ฝั่งตะวันออกคู๋แข่งของมหาลัยสแตนฟอร์ด ที่สร้างคนป้อน Silicon Valley แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ศูนย์ Startup มีอยู่ทั่ว Silicon Valley ดึงดูดพวกเก่งๆ จากทุกรัฐและทั่วโลกไปที่นั่น การขับเคลื่อนเกิดขึนบนหลักทุนนิยม คือ ธุรกิจโตเร็ว เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง ทำเงินมหาศาล องค์ประกอบจริงมีเยอะกว่าที่ไทยทำมาก รัฐบาลแคดูแลเรื่องภาษีและกฏหมายที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ใหม่ๆ เท่านั้น
การทำ Startup ในประเทศอื่นจึงเลียนแบบที่ Silicon Valley เป็นหลัก แต่ในบางประเทศใส่เงินเยอะๆลงนี้ ไปเอาสูตรนี้มาจากไหน ใครคนคิด ใครคนทำ แล้วผลลัพะ์สุดท้ายอยู่ตรงไหน
บันทึกการเข้า
tumtac
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 226
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,323



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 10:33:15 »

+1 ให้ครับ สำหรับ ข้อมูลเพิ่มเติม

เอาเป็นว่ายกตัวอย่างน๊ะ เพราะผมได้มีโอกาสไป 2 ที่คือ งานของ สํานักงานอิเล็กทรอนิกส์ รัฐบาล และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) - National Innovation Agency (NIA)
ซึ่ง มีการทำงานต่างการมาก (ไม่อยากจะเปรียบเทียบว่าต่างกันราวฟ้ากับ...)

คืออย่างที่บอกไปว่า รัฐบาลมีเงินสนับสนุนเกี่ยวกับ งาน digital hub, innovation ,startup ที่มีมูลค่า 15,000 ล้านบาทจริง
ซึ่งได้หมอบหมายให้กับหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่้ยวข้อง(และไม่เกี่ข้อง) ได้ใช้ดำเนินการเพื่อให้ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน
แต่การใช้เงินนั้นๆ หลายหน่วยงานทำไม่ความพร้อมเพียง ใช้ออแกไนเซอร์จัดงานบ้าง ผักชีโรยหน้าบ้าง เทงบทิ้งไปมากกว่าาที่ได้รับหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะ ที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา.. (แต่ก็ดี ผมก็ได้ความรู้ในการเขียน proposal ก็จากงานนี้แหล่ะ)

ตัวอย่างงานที่มีการเปิดตัว

“ดิจิตอลไทยแลนด์” ของจริงหรือแค่ขายฝันhttp://manager.co.th/CyberBiz/...News.aspx?NewsID=9590000058297

หรืออย่างงาน โครงการ เมืองนวัตกรรมอาหาร ( Food Innopolis ) ที่ว่าจะเอาไทยเป็นศูนย์กลางเมืองอาหาร หรือว่า ครัวโลก ไปถึงไหนแล้วครับ
แค่คุณทำอาหาร ฮาลาล ได้โดยใช้คนมุสลิม เพื่อคนมุสลิมทั่วโลก คุณก็รวยแล้วล่ะ ไม่ใช่เหมือนบางเจ้ายักษ์ใหญ่ แอบเนียนตีตราฮาลาล พอเขาตรวจเจอเนื้อหมู ก็ไปเสียค่าปรับ เอาเงินยัดเรื่องก็จบ (ผมไม่ใช่มุสลิมครับ)
หรือคุณจะจัดการเรื่องอาหาร จี เอ็ม โอ เหมือนที่กลุ่มทุนจีนในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศมีผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการใช้สารเคมี จนทำให้ลงแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ส่วนที่ไทยก็มีคือที่เชียงราย

"เกือบล้านต้น! จีนปลูกกล้วยเชียงราย-กงสุลไทยฯ เชื่อไร้สารอันตราย หนุนส่งออกผลไม้-ข้าวต่อ"http://mgr.manager.co.th/Local...News.aspx?NewsID=9590000050749
เลิกเถอะครับคำว่าเชื่อ ตรวจสอบเลยครับ ว่าอันตรายจริงหรือเปล่า เอาเอาเงินมาลงทุนเช่าที่ จ้างคนปลูก ส่วนผลผลิตก็ส่งกลับไปขายที่ประเทศตัวเอง ซึ่งมันมีมูลค่ามากกว่า ประเทศได้รับอีก

ฯลฯ

อยากยกตัวอย่างนิดหน่อยให้ของรายการ ดูให้รู้  ว่าเขาทำอะไร เพื่อใคร?

ดูให้รู้ : ตามหาไข่ร้อยล้าน (5 เม.ย. 58)
Thai PBS Clip

https://www.youtube.com/watch?v=CIklocmStq8


ผมไม่ได้พูดโจมตีใคร หรือฝ่ายไหน เพียงแค่มองแล้ว แยกออกมาให้เห็นความแตกต่างเท่านั้นเอง
บันทึกการเข้า

แก้ไขครั้งสุดท้าย: ชาตินี้ เวลา 25:26:05 โดย tumtac
washiravit
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 525
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,501



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 10:54:57 »

ทุกวันนี้ผมอ่านหนังสือเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Howto หรือนิยาย ผมอ่านเพราะมันสนุกเหมือนๆกัน
สถานการณ์ปัจจุบันหนังสือประเภทให้ความรู้แบบละเอียดโครตๆนั้นส่วนใหญ่ขายไม่ค่อยออก
แต่หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ ที่มันไม่ค่อยบันดาลอะไรในชีวิตจริงนั้นขายดีโครตๆ
พวกเขาตั้งใจเขียนหนังสือให้เหมือนโยนขนมหวาน เขียนความสำเร็จให้มันดูง่าย
พอคนอ่านอ่านแล้วอินแต่ทำไม่ได้ ก็มีการขายคอร์สสัมมนาต่อไป

หนังสือเปลี่ยนชีวิตคนมีจริงๆครับ คุณภาพสูง ผมเองก็อ่านหลายเล่ม
แต่น่าเสียดาย หนังสือเหล่านั้นมักเป็นหนังสือแปลจากต่างชาติมากกว่าหนังสือของคนไทยกันเอง
บันทึกการเข้า

redbluegreenyellow
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 39
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 15:51:44 »

+1 ให้ป๋าtumtacเลยครับ เห็นด้วยทุกประเด็น
บันทึกการเข้า
Pornlaa
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 29
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,192



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2016, 23:56:29 »

เป็นกระทู้ที่น่าติดตาม  wanwan044
บันทึกการเข้า
seoland
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 118
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 02:38:29 »

ก่อนอื่นเพิ่งมีเวลาอ่านและมีโอกาสดูคลิปที่เจ้าของกระทู้วางไว้ และใช้เวลากินกาแฟนั่งคิดต่อจากคลิปไปเรื่อย พิมพ์ไปเรื่อยๆ ตามที่ได้รู้ ได้เห็น ได้คุยกับเพื่อนต่างประเทศ หลายคนผ่านกลุ่มงานโอเพ่นซอร์ส เพราะสมัยก่อนชอบลองนั่นลองนี้ เลยได้แลกเปลี่ยนความคิดกับคนเก่งๆ หลายคน จึงสรุปไว้ 3 ประเด็น เป็นข้อมูลใหม่ที่สุดในวันี้ และจะล้าหลังในอีกไม่นาน คิดยังไงก็เขียนไปอย่างนั้น ในฐานะบล็อกเกอร์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีเรื่องนวัตกรรมอะไร ไม่ปนอคติ ไม่ให้ร้ายใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนกับเจ้าของกระทู้ที่ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนครับ ผมก็คิดเห็นเหมือนกัน มีหลายคนที่แชร์ความรู้ ความคิดดีๆ มีคนเก่งมาก
มายในบอร์ด มีคนที่ทำได้จริงประสบความสำเร็จจนร่ำรวยจริง กระทู้ที่แบ่งปันผมก็อ่านประจำแต่ไม่ค่อยมีเวลาตอบ เดือนนี้พอมีเวลาก็ตอบบ้าง

1. แนวทางธุรกิจที่ดี การเรียนรู้จากสื่อใหม่ และการวิจารณ์ที่สร้างสรรค์
เรื่องแรก ผมได้ดูคลิปบน YouTube ที่เจ้าของกระทู้วางแล้วก็ถือว่าเป็นแนวทางทำธุรกิจที่ดีมาก ไอเดียเยี่ยมเลย สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้ทันที ถ้าบ้านเราทำได้แบบนี้จะดีมากทีเดียว ทำให้ผมมองเห็นว่าเจ้าของกระทู้ได้วิจารณ์ไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังดีจริง รวมถึงมีข้อเสนอ ไอเดียต่างๆ ไว้ให้เพื่อนในนี้อ่านได้คิดต่อ สามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสร้างสรรค์ บางคนที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีไม่ชอบก็ลืมก็ผ่านไป ถ้าอ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์ก็ลองนำไปใช้ครับ เมื่อดูคลิปที่เจ้าของกระทู้วางแล้วผมลองจินตนาการต่อว่า ถ้ามีแอปที่เชื่อมโยงเจ้าของธุรกิจกับลูกค้าได้ แอปช่วยแชร์ให้คนที่อยู่บริเวณเดียวกัน ย่านเดียวกัน ที่จะช่วยซื้อแล้วส่งให้เพื่อนบ้านแถวนั้นด้วย คงทำให้ร้านไม่แน่นเกินไป สามารถบริการลูกค้าอื่นที่ไม่สามารถเดินทางมาด้วยตัวเอง หรืออยู่ไกล ด้วยค่าขนส่งไม่แพง คล้ายกับ แอป Uber ซึ่งผมได้ฟังจากคนที่รู้จักเจ้าของแอปแล้ว ไอเดีย Uber นั่นไม่ใช่แอปแท็กซี่อย่างเข้าใจกันโดยทั่วไป Uber เริ่มต้นด้วยไอเดียการแชร์สิ่งที่จับต้องได้ เพราะปกติเราใช้แอปแชร์ในสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้เช่น รูป วิดีโอ ความรู้ ความคิด ไฟล์ การสื่อสารต่างๆ พอได้รายละเอียดที่สมบูรณ์ จึงเข้าใจชัดว่าทำไม Uber ถึงถูกยกย่องในด้านการเปลี่ยนโลกอีกแอปหนึ่งหรือไอเดียหนึ่ง การแชร์ จึง เป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่สร้างสรรค์ สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เจ้าของกระทู้ก็แชร์ ผมก็แชร์ ทุกคนในบอร์ดก็ช่วยกันแชร์ แต่เราแชร์ได้แค่สิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง ไม่สามารถเชื่อมโยงกับโลกจริงหรือเชื่อมโยงกับโลกได้แค่เล็กน้อย เจ้าของกระทู้ได้นำเสนอข้อมูลและคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เหมือนหลายๆ กระทู้ในบอร์ดนี้ เราไม่สามารถบอกได้ว่าการวิจารณ์นี้ถูกต้องหมด ดีหมด ข้อมูลรอบด้าน แต่คำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ จากเรื่องที่เราสนใจ ชอบหาข้อมูล หรือพบเห็นความสำเร็จต่างๆ จากหลายๆ สื่อ แล้วนำมาเปรียบเทียบ มาวิเคราะห์ มาสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ มุมมองใหม่ โอกาสใหม่

2.การแกว่งแย่ง แข่งขัน ทำลายกันในยุคดิจิตอล
การปล้นทางความคิดและทรัพย์สินเงินทองนับย้อนจากปัจจุบันไปถึงอดีต มีประวัติศาสตร์ต่างๆ ให้เราได้ค้นหา ได้ดูไม่ว่าจะทางวิกิพีเดีย ยูทูป เว็บบล็อกต่างๆ เราอยู่ในยุคที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็ว อุปกรณ์ต่างๆ ถูกลง สามารถเดินทางข้ามโลกได้เร็วขึ้น มีชีวิตใหม่ขึ้นทุกวัน เคยสงสัยว่าเด็กที่สนใจด้านไอที ด้านสังคมโลกคิดยังไง จึง Skype คุยและถามเด็กฝรั่งที่รู้จัก ตามที่ว่างตรงกัน การศึกษาของเด็กก็ใช้วิกิและดูสารคดี Humana Revolution และสารคดี Universe  ต่างๆ บน YouTube ใจจริงคือ อยากรู้ว่าเด็กที่สนใจสังคมโลก ชอบหาข้อมูล ชอบแสดงความเห็น ว่าเด็กพวกนี้เขาคิดอย่างไรที่มนุษย์ในปัจจุบันทำสงครามแย่งพื้นที่กันในตะวันออกกลาง และถ้าวันหนึ่งเกิดค้นพบดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์และฟื้นชีวิตมันได้แล้วไดโนเสาร์กลับมาทวงโลกคืนมนุษย์ควรทำอย่างไร และคำถามสุดท้ายถ้ามีมนุษย์ต่างดาวมายึดครองโลกละเราจะทำยังไง เด็กฝรั่งตอบว่าสั้นๆ ว่า ถ้าเราแชร์ร่วมกันเราก็อยู่ร่วมกันได้หมดละ ส่วนตัวก็เห็นตรงกันกับเด็กสิบสี่ขวบนี้ละ สรุปว่าถ้าแชร์กันได้มากเท่าไร โลกก็คงจะดีขึ้นและน่าอยู่มากขึ้น แต่ในโลกความเป็นจริง คำตอบนี้ยังมองไม่เห็นหรือถูกต้องนักในสมัยนี้ แต่ถ้าอนาคตอีกสองสามพันปีมันอาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็ได้ เหมือไอเดียเริ่มต้นของแอป Uber ที่เสนอไอเดีย การแชร์การเดินทางทางรถยนต์ด้วยกันในชุมชนหรือทางธุรกิจ เราน่าจะเห็นแอปทำนองนี้เกิดขึ้นจริง มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง และไปตอบสนองต่อคน สังคม และธุรกิจในระดับต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และทำให้สังคมโลกดีขึ้น
การแกว่งแย่ง แข่งขัน การทำลายกันในยุคนี้ จะไม่โหดร้ายเกินไป ไม่ควรเหมือนยุคเก่าที่ใช้นิวเคลียร์ทำลายกัน ฆ่ากัน โลกควรใช้การสื่อสาร ความรู้ ข้อมูล แลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์ ทำให้เกิดการแชร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใคร เมืองใด เราจะมีแอปใหม่ๆ ที่ตอบสนองและเหมาะสมกับทุกกลุ่มในยุคดิจิตอลนี้ร่วมกัน

3. Silicon Valley จงบ้าให้สุดเท่าที่คุณจะบ้าได้
ตอนนี้ ซีรีย์ Silicon Valley กำลังฮิตอยู่ในเมกา อดีต Silicon Valley หมายถึง สถานที่ตั้งของเหล่าบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิปคอมฯ แรกๆ ของโลก แล้วพัฒนาเป็นที่ตั้งของบริษัทไอทีระดับโลก กินบริเวณพื้นที่ด้านบนตั้งแต่ตัวเมือง ซานฟานซิสโก ไล่จนมาถึงด้านล่าง เมืองซาน โจเซ  ผมจะเล่าในสิ่งที่เห็นและสัมผัสมา คนรุ่นใหม่หวังจะไปเป็น Startup ที่นี้แทบทุกคน ก็เพราะว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตรวดเร็ว มีชื่อเสียงระดับโลก ที่นี้จึงเป็นศูนย์รวมของนักล่าฝันด้านนวัตกรรมจากทุกมุมโลก มีนักลงทุนนั่งรออยู่เยอะแยะมากมาย มีสถานที่ฟรีให้ทำงาน มี Startup อยู่มากมาย เรียกได้ว่า หลายรสชาติ หลายอารมณ์มาก มีทั้งไอเดียที่ทำได้จริง ไปจนถึงไอเดียที่ทำจริงไม่ได้ เช่นที่รู้คือ มีคนสองสามคน ทำ Startup เรื่องสร้างสถานีทดลองนิวเคลียร์บนดวงจันทร์หรือดาวอังคาร เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่สามารถทำการทดลองบนโลกได้ ไม่น่าเชื่อมีนักลงทุนให้เงินลงทุนด้วย ไม่แน่ใจว่าได้รับเงินทุนเยอะแค่ไหน เรียกว่าบ้าได้ใจจริงๆ เพราะมีความเป็นจริงน้อยมาก เอาแค่ไปดวงจันทร์ก็ทำยากแล้ว 10 ปีต่อไปนี้ ยังมองไม่เห็นเลยว่าโครงการไหนจะไปดวงจันทร์ได้อีก แม้แต่บริษัท Space X ที่่ดังๆ ทุนหนาก็ยังทำไม่ได้ (ต่อด้านล่างครับ)
บันทึกการเข้า
seoland
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 118
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 02:45:10 »

เราจะเห็นสื่ออนไลน์เฉพาะ Startup ที่มีไอเดียเจ๋งๆ หรือพวกที่ได้รับเงินลงทุนแซะส่วนใหญ่ จริงๆแล้ว ใน Silicon Valley มีอะไรที่บ้าสุดๆ ตามที่ยกตัวอย่างด้านบน แบบถ้าไม่เจอกับตาตัวเองก็คาดไม่ถึง บางโปรเจ็กต์นี้ทำเอาอมยิ้มไปเป็นวัน อย่างว่าไอเดียใหม่ที่ทำแล้วรวยนั้นหายากขึ้นทุกวัน บางทีไอเดียบ้าๆ ก็ถือว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงแหล่งศูนย์กลางนวัตกรรมของโลก ไอเดียหลุดโลกสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถามว่า ประเทศอื่นหรือที่อื่นสามารถเลียนแบบได้ไหม ตอบได้เลยว่ายากมาก ความบ้าแบบนี้ละที่ไม่สามารถใช้เงินสร้างได้ ไม่มีอีเวนต์ใดที่จะสร้างได้ ไม่มีทางลัด หรือใช้เงินสนับสนุนจำนวนเท่าใดก็ทำไม่ได้
คน Silicon Valley มีวิถีชีวิตแบบปอนๆ คล้าย สตีฟ จ๊อป หรือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เป็นอยู่ คือ รวยแต่ใช้ชีวิตอย่างปกติกับงานที่ตัวเองรัก บางทีเดินสวนกันแถวนั้นเราไม่รู้เลยว่าฝรั่ง แขก ตี๋ คนดำ คนนี้รวยหรือจน ดังคำ ที่สตีฟ จ๊อป เอามาพูด Stay Hungry, Stay Foolish คือ ให้บ้ากับงานที่ตัวเองรัก หาความรู้ใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงโลก ใครพอมีทรัพย์และเวลาไปได้ ก็น่าไปเที่ยวหาประสบการณ์และหาความรู้ครับ วิธีชีวิตแบบ Silicon Valley แปลกกว่าที่เราคิดมาก หรือดูจากซีรี่ย์ Silicon Valley ของ HBO ก็ได้อารมณ์คล้ายกันครับ
มีแนวโน้มบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกที่อยู่นอกเมกา จะพากันไปสร้างตึกวิจัยเอาไว้ใน Silicon Valley ไม่ว่าที่ไปแล้วทั้ง samsung sony toyota honda และอื่นๆ จากทั่วโลก หรือใช้เงินลงทุน ถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ใน Silicon Valley หลั่งไหลกันไปอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ที่ดินบริเวณนี้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามการเติบโตแถวนั้น ปัจจุบันบ้านระดับกลางเป็นเงินไทยก็ 100-180 ล้านบาท อีกสิบปีอาจจะได้เห็นบ้านแถวนี้ราคาพันล้านบาทก็เป็นไปได้ครับ แล้วใครจะซื้อบ้านแถวนี้ไหวละ จนมีฝรั่งบางคนทำคลิปล้อว่า Silicon Valley ทำให้เกิดปัญหาคนไร้บ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่จริงๆ คนไร้บ้านในเมกานั้นเยอะเพราะคนเมกาไม่ชอบทำงานหนัก งานที่เงินน้อย และมีนิสัยไม่ชอบเก็บเงินออม ทำให้คนเม็กซิโกแอบเข้าเมืองมาแย่งงานพวกนี้ไป คนไร้บ้านคิดว่ามีองค์กรศาสนาและรัฐคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน หรือด้านอื่นๆ อยู่ เขาก็ใช้ชีวิตแบบไร้บ้านต่อไป จนคนไร้บ้านในเมกาเยอะมาก จะเรียกว่าคนไร้บ้านตามการพักอาศัย เช่น Homelessness, Tent City, Mobile Homeless ลองค้นดูคลิปใน YouTube ได้ครับ คนเมกาส่วนใหญ่ที่เสียภาษีจะคอมเมนต์ในคลิปของคนไร้บ้านว่าพวกขี้เกียจ พวกผลาญเงินภาษีของเมกา พวกไร้บ้านเข้าเน็ตผ่านมือถือหรือสถานที่สงเคราะห์ชั่วคราวนะครับ ไม่เหมือนในบ้านเรา ดังนั้น การสร้าง Startup ที่ดีจึงไม่ใช่งานอีเวนต์ ไม่ใช่การลงทุนของรัฐ การสนับสนุนสำคัญก็จริงแต่มันขาดหัวใจในการเป็น Startup ที่ดีอย่างที่เจ้าของกระทู้ได้แสดงความคิดเห็นไว้ดีมาก เป็นการวิจารณ์ด้วยความรัก หวังดีต่อทุกคนต่อสังคม ธุรกิจ Startup ก็เหมือนกับการเล่นหุ้น ถ้าเล่นไม่เป็นก็เจ็บจริง เสียเงินจริง มีความเสี่ยงสูง รัฐที่จะสนับสนุนด้วยเงินก็ควรใช้วิจารณญาณ
สรุปประเด็นทั้งหมด การแก้ปัญหาทุกเรื่องทุกด้านคำตอบสั้นๆ คือ การแชร์ เราแชร์ข้อมูลข่าวสาร ความคิด ความรู้ ความบันเทิง รูป เพลง วิดีโอ หรือสิ่งที่จับต้องไม่ได้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ถ้ามีแอปใหม่ที่สามารถช่วยแชร์ทุกเรื่อง คล้าย แอป Uber ที่เราสามารถใช้ช่วยแชร์การเดินทาง การขนส่ง หรืออื่นๆ ในอนาคต สมมุติว่าต่อไปมีแอปหนึ่งที่ทำให้คนในหมู่บ้านจัดสรรเดียวกัน ที่เปิดแอปไว้พร้อมกัน เพื่อนบ้านคนหนึ่งกำลังเลือกซื้อไวน์ในร้านหนึ่งอยู่ เพื่อนบ้านเห็น จาก LiveCam แล้วอยากดื่มและซื้อด้วย ก็ส่งเงินทางแอปให้เป็นค่าไวน์และช่วยค่าน้ำมันนิดหน่อย เพื่อนบ้านก็ไม่ต้องออกมาซื้อเอง แอปที่ช่วยแชร์สิ่งที่จับต้องได้จะทำให้สังคมจะน่าอยู่และสะดวกขึ้น สามารถแก้ปัญหาจราจร เวลาในการขนส่ง ประหยัดน้ำมันได้ด้วย ต่อไปอาจจะมีการแชร์บริเวณบ้าน แชร์ที่ดินที่ทำกิน แชร์ผักผลไม้ หรือสิ่งต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ การสื่อสารทำให้ใกล้กันมากขึ้น การแชร์จึงเหมือคำตอบหนึ่งของสังคม การแชร์สิ่งที่จับต้องได้ด้วยแอปเป็นเรื่องอนาคต เพราะในปัจจุบันแค่แชร์ในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ก็ยังวุ่นวายและยุ่งเยิงซะเหลือเกิน กว่าจะเกิดการแชร์สิ่งที่จับต้องได้คงต้องใช้เวลาอีกนาน หนทางยังอีกไกลอาจจะนานเป็นพันปีเป็นล้านปีก็ได้ ถ้าวันนี้ทุกคนในบ้าน ในหมู่บ้าน ในเมือง ในประเทศ ในโลก เริ่มต้นด้วยการแชร์เรื่องที่ดีอย่างต่อเนื่องปัญหาต่างๆ น่าจะเบาบางลง แอปจะเหมือนปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตคน เปรียบเหมือนโอเพ่นซอร์สที่ทุกคนช่วยแชร์และใช้ไปด้วยกันทำให้โลกมีทางเลือกอื่นที่ไม่ผูกขาดจากยักษ์ใหญ่ซะทีเดียว ในบอร์ดนี้ก็แชร์ความคิด ความรู้ ธุรกิจมากมาย แชร์ผิดบ้าง ถูกบ้างก็ดราม่ากันไป อนาคตคงมีแอปใหม่ๆ ที่ช่วยให้พวกเราในี้แชร์ทุกสิ่งทั้งที่จับต้องบได้ จับต้องไม่ได้ง่ายขึ้น การแชร์จะไม่อยู่แค่บนคลาวด์ บนคอมฯ บนมือถืออีกต่อไป การแชร์จะเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจ การแชร์จะเป็นส่วนหนึ่งในสังคม และการแชร์จะเป็นปัจจัยในดำรงชีวิตหนึ่งของคน
บันทึกการเข้า
tumtac
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 226
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,323



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 03:44:03 »

ขอบคุณครับที่มาช่วยร่วมกันแชร์ (+1 เพิ่มไม่ได้ครับ)

คือว่าอยากบอกเล่าเรื่องราว ในสิ่งที่เห็น จับต้องได้มากกว่าการจินตนาการตามตัวหนังสือที่ได้อ่าน จากเรื่องที่เขาเขียนเพื่อให้เกิดความสนุกเร้าใจ แต่ไม่สามารถทำได้ดีกว่า



เอาล่ะเข้าสู่เนื้อหากันอีกรอบ

ที่สำคัญที่สุดของผมในตอนนี้ที่อยากบอกกล่าวคือ พูดให้น้อยแต่ได้ใจความและสาระ คิดให้เยอะคิดทั้งผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นถ้าจะทำลงไป และการให้โดยไม่โดยหวังสิ่งตอบแทน
สังเกตจากเนื้อหาผมจะไม่มีวิธีการเรียนการสอนจากตำราเลย มันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากกว่า ที่จะทำให้เราเกิดปัญญา ไม่ใช่แค่การมองผ่านจอสี่เหลี่ยมทั้งหลาย
ตอนนี้ย้ายที่ทำงานจากห้องนอนมานั่งใช้คอมพิวเตอร์ในครัว มองหลังบ้านออกไปดูพัฒนาการของต้นพริก
ต้นมะเขือ ต้นมะขามป้อม ที่เราเอาน้ำซาวข้าวรดทุกครั้งเวลาหุงข้าว ว่ามันมีการเจริญเติบโตอย่างไร ว่างๆก็เดินไปถอนหญ้าบ้าง
 ว่าไปแล้วไม่ได้หยิบหนังสืออ่านมาเป็นเดือนเลย ยกเว้นตอนไปตัดผม เพื่อไม่ให้ง่วงนอนเท่านั้นเอง : (


Startup เท่าที่ผมดูมาที่ทำงานเป็นระบบ คือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) - National Innovation Agency (NIA) อาจจะเนื่องด้วยประสบการที่ทำมายาวนานก็เป็นได้
เพราะมีการเข้าถึงและช่วยเหลือ startup ในส่วนภูมิภาคอีก เคยมานครพนมด้วย แต่ทำไมผมไม่รู้(ว่ะ)
ไม่จำกัดว่าต้องเป็นงานแอพพิลเคชั่น งานนวัตกรรม เกษตรกรรม ก็สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือ
เพราะเขามี partner หรือพี่เลี้ยงช่วยเหลือเรา
รวมถึงมีการบ่มเพาะ ต่อยอดอีก

 wanwan017 wanwan017 wanwan017

86' Germany 1 - 0 Ukraine

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิถุนายน 2016, 12:25:56 โดย tumtac » บันทึกการเข้า

แก้ไขครั้งสุดท้าย: ชาตินี้ เวลา 25:26:05 โดย tumtac
hatyaiwebdesign
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 60
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,108



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 09:35:58 »

+1 ครับ
บันทึกการเข้า

kamengsaren
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 62
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,156



ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 15:09:50 »

สุดยอดครับ

   อ่านเพลินดี
บันทึกการเข้า

tumtac
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 226
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,323



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2016, 16:48:48 »

พอดีได้รับเมล  แต่เสียไม่มีโอกาสได้ไป

สำหรับคนที่สะดวก อยากให้ลองสมัครไปดู
รับรองว่า คุณจะได้อะไรมากกว่าที่คิดเอง เออเอง...


ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา

Workshop what is innovation & How to write a proposal

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2559 เวลา 8.30 - 12.30 น.
ณ Ideation Space ห้อง 301 ชั้น 3 อาคารอุทยานนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.)

ลงทะเบียนออนไลน์ที่ http://www.nia.or.th/forum_1




อยากบอกว่า โอกาส มันไม่ได้มีมาบ่อยๆด้วยซิ...!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิถุนายน 2016, 16:49:53 โดย tumtac » บันทึกการเข้า

แก้ไขครั้งสุดท้าย: ชาตินี้ เวลา 25:26:05 โดย tumtac
BoMBaY
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 76
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,341



ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2016, 00:07:57 »

อ่านด้วยคนครับ  wanwan017
บันทึกการเข้า
search_ie
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 73
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,557



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2016, 08:01:04 »

เข้ามาฟังด้วยครับ  wanwan017
บันทึกการเข้า

seoland
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 118
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643



ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2016, 10:21:57 »

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ให้เกียรติ์ผมมาก อายุเจ้าของกระทู้น่าจะมากกว่าผมประมาณ 4-5 ปี ผมจะมาเขียนต่อให้จบในสิ่งที่ผมเชื่อผมคิดและผมศรัทธา จริงๆ เชื่อว่าคงมีคนรุ่นเรานี้ละที่จะเห็นปัญหาและมองออก กับการสร้างภาพสร้างกระแสด้วยเงินนั้นระยะยาวไม่คุ้มค่า เราคงได้แค่ส่งผ่านทางความคิดไปยังรุ่นหลังเท่านั้นละครับ 555 อายุมากกรอบความคิดก็มากตามไปด้วย ผมเคยเข้าไปสัมดูและสัมผัสโครงการอีเวนต์ในไทยนี้บ้างครับประมาณ 12-15 ปีก่อน ขนาดนั้นยังไม่มีโซเซียลมีเดียเลย สมัยนั้นเรายังก้าวหน้ากว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนมาก รองแค่ญี่ปุ่น ใต้หวัน เกาหลีใต้ งานก็ยังมีไอเดียนวัตกรรมอะไรน่าตื่นตาตื่นใจบ้าง แต่พอมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยได้รู้ได้เห็นมากเลยทำให้ความสนใจในงานหรืออีเวนต์แบบนี้น้อยลงมาก เหมือนเจ้าของกระทู้ว่าบ้านเราจะมีแต่ไอเดียหรือโปรเจ็กต์แต่ด้านไอที ส่วนตัวมองว่าไอที คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเร็ว ความปลอดภัย และคนเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่าย ยกตัวอย่าง เด็ก 14 ปีที่ผมสนิทด้วยนี้ เขาสามารถใช้คอมฯคำนวณเลขยากๆ ได้ในพริบตา เพราะสมัยเขา 7-8 ขวบ เขาก็เล่นก็คุ้นเคยกับหลายๆ โปรแกรมที่ช่วยคำนวณให้ได้ เช่น Excel เขาป้อนข้อมูลจำนวนหลายล้านแถวและลองบวกลบคูณหารเล่นดูในเสียวนาที เขาสนุกในการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ถ้าเป็นสมัยก่อนคอมฯยังไม่แพร่หลายและโปรแกรมยังไม่ก้าวหน้าจะเอาจำนวนล้านแถวนี้มาบวกลบคูณหารกันเล่นแบบนี้ไม่ได้ เอาแค่มาบวกกันอย่างเดียวให้ถูกนี้คงใช้เวลาเป็นวัน ถ้าใช้เครื่องคิดเลขช่วยคงหลายชั่วโมง แต่เด็กยุคนี้เขาอยู่ในจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าเรา ดังนั้น เราจะเอาเทคนิคการสอนแบบเก่า วิธีแบบเก่า แนวคิดเก่าไม่ได้ เด็ก 14 เริ่มใช้และเขียนโปรแกรมอื่นๆ ให้คำนวณคณิตศาสตร์ซับซ้อนได้หน้าที่เราแค่ช่วยแนะนำก็พอ เด็กรุ่นนี้เขาจึงคุ้นเคยและมีเครื่องมือด้านไอทีสำหรับการหาคำตอบ ต้องยอมรับว่าสิบกว่าปีมานี้โลกเปลี่ยนไปมาก เด็กรุ่นใหม่มีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่า ไอเดียและความเก่งต้องไม่ผูกขาดไว้กับใครกับตระกูลใดกลุ่มหนึ่ง สตีฟ จ๊อป มีลูกชายคนโตกับเมียคนปัจจุบัน อายุ 20 ปี ถ้าจำไม่ผิดกำลังเรียนแพทย์อยู่ นั่นคือ จ๊อป เขาไม่ส่งต่อบริษัท บารมีหรืออำนาจให้กับลูก เพราะ จ๊อป พูดชัดว่า ถ้ารักงานอะไรก็ทำงานนั่นไป Silicon Valley คือ สถานที่เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น ต้องมีใจรักงานด้านนี้มากกว่าคนทั่วไป อยู่กับเสื้อยืดกางเกงยีนส์ รู้จักเส้นทางแค่บ้านกับบริษัท สังคมแต่กับคนด้านนี้โดยเฉพาะ ยุคแรก สตีฟ จ๊อป ชอบขี้มอไซด์ไปทำงานเพราะสมัยวัยรุ่น จ๊อป นิสัยแนวๆมาก ปัจจุบันถ้าใครขี่มอไซด์ไปทำงานมีโอกาสตายสูงมากครับ เพราะ Silicon Valley แม้จะกินพื้นที่กว้างใหญ่แต่ระบบขนส่งมวลชนยุคใหม่ไม่มีนะครับ คนเดินทางรถเป็นหลัก แม้ถนนดีกว้างขวางแต่ก็รถเพิ่มขึ้นเยอะ ที่ Silicon Valley ถ้าคุณเปลี่ยนโลกไม่ได้โลกจะหันมาเล่นงานคุณแทน นั่นคือ ลูกของคนดังไอทีจะถูกกันให้ห่างจากบริษัทพ่อ การสานต่อกันทางสายเลือดทำไม่ได้ ผมมองว่านวัตกรรมเกิดจากคุณภาพการศึกษาในระดับมหาลัย ที่จะส่งคนรักด้านนี้มาสร้างสรรค์ โดยมีกรอบสังคมที่เอื้อต่อคนเหล่านี้ ถ้าคุณภาพการศึกษาในมหาลัยไม่ดีจริง โอกาสของประเทศนั้นยากมาก ประเทศที่อุดมไปด้วยนวัตกรรมช่วยให้เกิดแต้มต่อในการแข่งขันทุกด้าน ทั่วโลกต่างอยากเห็นเด็กรุ่นใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศทั้งนั้น คนรุ่นใหม่ที่ผลักดันนวัตกรรมได้ถือเป็นหัวใจของประเทศ  ผมจึงขอสรุปมุมมองและยกตัวอย่างไว้ 2 ประเด็น คือ กรอบสังคมและคุณภาพการศึกษา

1. กรอบทางสังคม
สมัยก่อนการทำเงินกับอเมซอนได้ง่าย เป็นช่วงเริ่มต้นของระบบ Aff เพราะปั่นบล็อกไม่โดนแบน ทำอันดับในกูเกิลง่าย คนไทยหลายคนน่าจะทำเงินเยอะในตอนนั้น ก็พากันไปซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือซื้ออะไรต่างๆ ส่วนผมก็เอาเงินที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปกับแฟนมันทำให้เราหูตากว้างไกลรู้สึกสนุกกับชีวิตมาก มีโอกาสได้เห็นนวัตกรรมทางเกษตรของอิสรเอล ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ประสบการณ์การท่องเที่ยวจะทำให้เรารู้เข้าใจสังคมเมืองนี้เราควรพูดคุย ไปดูงานหรือสอบถามเรื่องที่เราสนใจได้อย่างไร อาหารผลไม้หลากหลายรสชาติ แต่ละเมืองก็มีรูปแบบหรือกรอบสังคมแตกต่างกันไปแต่นิสัยน่ารัก ที่ประทับใจมากคือได้ไปเที่ยวเขาไกลาศ(Kailash)ในทิเบต ตั้งอยู่เหนือประเทศอินเดีย คนจะแสวงบุญด้วยการวางผ้าแล้วนอนเรียบไปกับพื้นเป็น 30-40 km คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพระศิวะ ด้วยรูปร่างที่แปลกและมีหิมะปกคลุมตลอดปี ทำให้ทึ่งไปกับที่ตั้งและรูปร่างภูเขาเหมือนบันไดสู่สวรรค์ มีคำเล่าลือว่าไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนเขานี้ได้เลย เห็นของจริงก็ไม่แปลกใจเลยที่คนจำนวนมากจะเชื่อและศรัทธา แต่ปีที่แล้วได้ค้นข้อมูลไปเจอว่ามีกลุ่มฝรั่งขึ้นไปบนนั่นได้นานละ เพียงแต่ช่วงหลังทิเบตเขาห้ามขึ้นเลยไม่มีใครได้ขึ้นไปอีก จึงไม่มีรูปถ่าย มีคลิปให้เห็น ผมก็นึกตลกว่าพวกฝรั่งมันไปคุยอะไรกับพระศิวะบ้างนะ ดังนั้น กรอบความคิดของคนรุ่นก่อนที่หาข้อมูลได้ยากและช้า จะต่างกับคนยุคใหม่มาก กรอบทางสังคมแบบนี้ที่ทำให้นวัตกรรม หรือ Startup เกิดขึ้นแล้วได้ผลไม่คุ้มกับงบประมาณที่ลงไป มื Startup บางโปรเจ็กต์ที่เป็นจริงไม่ได้ แต่สตาร์ทอัพนั้นก็ยังมีเหตุผลรองรับคำตอบต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่การเอากระแสและภาพลักษณ์เป็นตัวตั้งนี้เหตุผลต่างๆ จะน้อยลงไปด้วย การที่เจ้าของกระทู้บอกว่า การทำอีเวนต์หรือโครงการต่างๆ นั้นต้องดูว่า มันได้ผลจริงไหม นั่นคือ การทำอะไรก็ควรเหตุผลที่ดีรองรับกับค่าใช้จ่ายที่เสียด้วย ถ้าเราต้องการคำตอบ โดยความเชื่อความศรัทธาว่ามันจะสำเร็จมันก็สำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ รองรับ ตรงนี้น่าห่วงมาก ถ้าโครงการไหนมีเหตุผลรองรับมากก็มีโอกาสสำเร็จมากเท่านั้น การลองผิดลองถูก เป็นเรื่องจำเป็นในชีวิต ในสังคม แต่การลองผิดในเรื่องเดิม เหตุผลรองรับเดิม กรอบความคิดเดิม ความรู้เดิม บุคลากรเดิม เทคโนโลยีเดิม ยังไงคำตอบก็ไม่ต่างจากเดิม การวัดผลได้ผลเสียที่เจ้าของกระทู้บอกก็คือ การหาเหตุผลรองรับเพิ่มขึ้น ควรเปรียบเทียบกับโครงการอื่น การก่อสร้างอื่น หรือโปรเจ็กต์อื่นๆ ได้ด้วย
ความสำเร็จบางทีไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเยอะแยะมากมาย ผมยกตัวอย่าง โอเพ่นซอร์ส ที่ชื่อ เวิร์ดเพลส พวกเรารู้จักกันดี สมัยก่อนเริ่มใช้เวิร์ดเพลสปั่นบล็อกก็มีโอกาสได้แอบเข้าไปอ่านฟอรั่มและอ่านความคิดของ Matt ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและคนขับเคลื่อนหลัก ขณะนั้นเขาอายุ 25-26 ปี ก็รู้ว่าเขาเขียนโค้ดได้เก่งระดับหนึ่งแต่ที่เขาประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากสามารถทำให้คนเก่งๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น การไปพูดในอีเวนต์ต่างๆ เขาถึงเน้นเรื่องการเป็นนักสื่อสาร นักบอกเล่าเรื่องราวที่ดี จนเขาขยับจากโอเพ่นซอร์สต่อยอดเป็น เวิร์ดเพลสวีไอพี มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยแต่ละคนทำงานกันข้ามประเทศ นี้คือตัวอย่างความสำเร็จที่ไม่ใช่ Startup และใช้เงินลงทุน ไม่มีรัฐบาลสนับสนุน ถ้าจำไม่ผิดโครงการเวิร์ดเพลส ยังไม่เคยเปิดรับการบริจาคเลย เวิร์ดเพลสเป็นการนำโอเพ่นซอร์สเก่ามาทำใหม่แล้วขับเคลื่อนต่อ ก็เพราะกรอบความคิดของ Matt แตกต่างจากเดิมทั้งทางด้านซอฟต์แวร์และธุรกิจ คำตอบจึงไม่เหมือนเดิม ต้องยอมรับว่าที่เมกา กรอบความเชื่อความคิดในสังคมนั้นเอื้อต่อการเกิดนวัตกรรม ธุรกิจก็เติบโตได้ง่ายกว่าที่่อื่น นั่นทำให้รัฐบาลเมกามีหน้าที่เก็บภาษีและดูแลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาให้บริษัทเหล่านี้ ถ้ากรอบสังคมเดิมโอกาสที่คนรุ่นใหม่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่นวัตกรรมลำบากครับ อยากให้เด็กรุ่นต่อไปประสบความสำเร็จก็ต้องส่งผ่านกรอบความคิดใหม่ให้รุ่นใหม่ ด้วยกรอบสังคมใหม่และเอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม การสร้างกระแสเป็นครั้งคราวจะใช้ทางการตลาด ในการผสมผสานให้เกิดพลังมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่เปลี่ยนกรอบความคิดใหม่ กระแสจะไม่ติดและไม่เกิดผลลัพธ์ เหมือนเจ้าของกระทู้ว่าไว้นั่นละ ควรนึกถึงผลลัพธ์ที่จะได้กลับคืนด้วยว่า คุ้มค่า เหมาะสมไหม ถ้าหากรอบสังคมยังไม่เปลี่ยน ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อ สังคม ยังยึดรูปแบบนี้อยู่ การสร้างกระแสก็จะเหมือเดิม คือ ได้ผลลัพธ์ออกมาน้อยครับ
กรอบทางสังคม ที่ผมมองเห็นจาก Silicon Valley นี้ คือ คนที่นี้จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เหมือนเราไปสวนสนุก ไปนิทรรศการของเล่นไอเทค ไปดูตึกรูปร่างแปลกๆ ของบริษัทไอทีระดับโลก ได้พบกได้คุยกับเด็กเก่งๆ คนเก่งๆ มีสไตล์ชีวิต แบบปอนปอน กล้านำเสนอไอเดียคุณให้ได้ว่าเจ๋งจริงตรงนี้ละที่ผมว่าสำคัญมาก เพราะถ้าคุณไม่กล้านำเสนอเลยแล้วนักลงทุนจะให้เงินได้อย่างไร ต้องสามารถบอกเล่าเรื่องราวโปรเจ็กต์ได้ดี คนพวกนี้จะไม่ใช่เจ้าสัว พวกเศรษฐี นักธุรกิจ หรือผู้ประสบความสำเร็จด้านอื่นๆ ที่มีความสุขกับเงินทอง  แต่คนพวกนี้เขาบอกเล่าเรื่องราวบริษัทของเขา ไอเดียของเขาในอนาคต แข่งกับเวลา แข่งกับ Startup นับพันโปรเจ็กต์ในแต่ละปี พวกนี้เกิดมาเปลี่ยนโลก ดังที่พูดกันว่า Silicon Valley คือสถานที่ เปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ความกล้าในการแสดงออกและบอกเล่าเรื่องราวเป็นปัจจัยหลัก หรือกรอบสังคมแบบนี้ครับที่ทำให้ที่นี้ยิ่งใหญ่และก้าวหน้าเสมอ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าเงินทองมากมาย คนพวกนี้จะมีเวลาใช้จ่ายกันบ้างหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
seoland
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 118
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643



ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2016, 10:22:20 »

2. คุณภาพการศึกษา
กลุ่มโอเพ่นซอร์สที่ผมเข้าไปร่วมด้วยส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมช่วยคำนวณทางวิศวกรรม ต่อมาก็มาสนใจเวิร์ดเพลสนี้ละ แค่เอามาลองใช้อย่างเดียว เพราะตอนนั้นใช้ปั่นบล็อก ก็เลยรู้จัก Matt ผู้ร่วมก่อตั้งหลักนิดหน่อย เขาเริ่มโปรเจ็กต์ตอนอายุ 25-26 ปี หนุ่มคนนี้ต้องยอมรับได้เลยว่าคนนี้คือมือประสานคนเก่งๆ ให้ทำงานได้ราบรื่น บางช่วงก็ดราม่ากันเป็นอาทิตย์ ต่อมาเขาและคนในกลุ่มเปิดเวิร์ดเพลสวีไอพีเป็นธุรกิจจนมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท คล้ายกับคนดังด้านไอที บิล เกตต์ จ๊อป ซัคเคอร์เบอร์ก เอรอน มัค สองผู้ก่อนตั้งยาฮู สองผู้ก่อตั้งกูเกิล คนพวกนี้อยู่กับงานจนไม่มีเวลาใช้เงินหรือสนใจโลกภายนอกมากนัก มี บิล เกตต์ที่เกษียรตัวเอง เอรอน มัค ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Tesla, HyperLoop, Space X  ก็ทำหน้าที่หาระดมทุน การประชาสัมพันธ์ แต่ปล่อยคนเก่งเป็นซีอีโอบริหารแทน เอรอน มัค เป็นนักปลุกปั้นวิสัยทัศน์โลก หาเงินจากกองทุนมาสร้างบริษัทร่วมกับคนเก่งด้านนั้นๆ แล้วปล่อยคนเก่งด้านนั้นเป็นคนบริหารหรือซีอีโอไป จำได้ว่าสมัยก่อนการศึกษาไทยด้านวิศวกรรมนี้ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชียนะ อินเตอร์เน็ตในไทยก็เริ่มมีคนใช้มากขึ้นทีเดียว ข้อมูลภาษาไทยก็มีมาก น่าจะดีกว่าสิงคโปร์ด้วยซ้ำ เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นผมยังเรียนอยู่เมกา ก็เคยสงสัยว่าทำไมไทยถึงปล่อยให้สิงคโปรเป็นตัวแทนจำหน่ายซอฟต์แวร์ดังๆ เกือบทั้งหมดในย่านอาเซียนหรือเอเซีย ทั้งที่การศึกษาไทยสมัยนั้นก็ก้าวหน้าพอที่จะเป็นตัวแทนขายซอฟต์แวร์ทุกชนิดได้สบายๆ แล้ว จำนวนคนเก่งก็เยอะกว่า ศูนย์การค้าไอทีก็มี สถานศึกษาก็มีมากกว่า เศรษฐกิจก็โตมาก แต่ต้องไปซื้อกับบริษัทนายหน้าบนเกาะเล็กๆ ดูแล้วไม่มีเหตุผลเลยที่คนไทยจะทำไม่ได้ ทั้งด้านการอบรมหรือซับพอร์ท กลายเป็ศูนย์การค้าด้านไอทีขายแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์แทน ยอมรับกลับมาไทยผมก็ซื้อนะ ประเทศเราก็กลายเป็นประเทศที่มีการเมิดลิขสิทธิ์สูงสุดในอาเซียนมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นในคอมส่วนตัว ในหน่วยงานภาครัฐ เอกชน เราต้องตั้งคำถามต่อการศึกษาบ้านเราได้แล้วว่า เรามีอะไรตกหล่นหรือไม่ ที่ทำให้คนจบสูงมาแล้วไม่กล้าคิด ขนาดมีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว กลับเปลี่ยนโอกาสนั้นให้กลายเป็นประเทศละเมิดลิขสิทธิ์แทน การละเมิดลิขสิทธิ์จะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่บ้านเรามันเยอะเกินไปทำให้คนนึกว่าเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกทำกัน หลายครั้งที่เรามีโอกาสดีดันตกไปอยู่กับสิงคโปร์แทน คำถามสำคัญคือการศึกษาบ้านเราล้มเหลวเพราะอะไร ความรู้ดีแต่ไม่กล้าลงมือทำ เป็นเพราะระบบ เป็นเพราะครู หรือเป็นที่ตัวนักเรียนเอง
แค่ยกตัวอย่างเพียงด้านซอฟต์แวร์เท่านั้น โอกาสทางด้านเกษตร ด้านอาหาร ด้านอัญมณี และอื่นๆ คนไทยสามารถแข่งกับใครในเอเชียหรือในโลกได้อยู่แล้ว การศึกษาในไทยมันติดกรอบอะไรสักอย่างอยู่หรือเปล่า คนรุ่นใหม่เลยไปต่อไม่ได้เลย ไปได้ช้ากว่าเดิม ส่วนตัวก็ไม่ค่อยรู้จักกับคนเก่งๆ ในไทย บางทีข้อมูลอาจจะไม่รอบด้านพอ ส่วนตัวไม่เคยสัมผัสกับระบบในมหาลัยไทยด้วย แต่ดูจากตัวเลขที่เขาวัดอันดับเอาก็รู้ว่าตกต่ำมาก เป็นตัวเลขที่เราปฏิเสธความจริงไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่มีฐานต่างๆ ที่จะทำให้คนรุ่นใหม่ต่อยอดต่อไปได้ ผมว่าความล้มเหลวของการศึกษาในระดับอุดมศึกษานี้ละสำคัญมาก เพราะถ้าดูสถิติแล้วถ้าประเทศใดมีคุณภาพการศึกษาในมหาลัยดีจะเอื้อต่อการเกิดนวัตกรรม สหรัฐฯ มีการศึกษาขั้นต้นต่ำด้อยกว่าประเทศในยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ด้วยซ้ำไป แต่พอถึงระดับมหาลัยเท่านั้นละ 20 อันดับมหาลัยโลก เมกาติดเพรียบเลย อันดับหนึ่งถึงสิบนี้ เรียกได้ว่าติดเกือบหมด เอาลอจิกแบบนี้มาวัดได้ว่า คุณภาพของมหาลัยเท่ากับตัวเร่งนวัตกรรมของชาตินั้น ดังนั้น ต่อให้เราปรับปรุงประเทศยังไง ถ้าคุณภาพการศึกษาในมหาลัยต่ำ โอกาสของคนรุ่นใหม่ก็น้อยไปด้วย ผมเคยไปเที่ยวในอาเซียนหลายๆ ประเทศ ก็ยังไม่พบว่าประเทศไหนจะก้าวหน้าพอที่จะสร้างนวัตกรรมระดับโลกคล้ายกันครับ แต่ของไทยน่าห่วงกว่าเพราะต่ำลงทุกปี คำถามสำคัญ คือ การศึกษาไทยในอุดมศึกษาเราล้มเหลวมาก สังคมพร้อมจะยอมรับความจริงได้หรือยัง ว่าคุณภาพอาจารย์มหาลัยไทยเราแย่และไม่ดีพอ และจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ถึงเวลาหรือยังที่จะมีการวัดผลคุณภาพอาจารย์และมหาลัย ปรับปรุงให้ได้จริงจัง เท่าที่ผมค้นดูพบว่า มหาลัยไทยมีคุณภาพตกต่ำมาก มีตัวเลขที่องค์กรจัดอันดับอ้างอิงไว้ในกลุ่มท้ายๆ การสร้างภาพ การสร้างอีเวนต์ว่ามหาลัยไทยประสบความสำเร็จอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นภาพลวงตาหรือไม่ มันพาเราหลงทางหรือเปล่า กลายเป็นว่าต้องใช้เงินประชาสัมพันธ์ ต้องใช้เงินสร้างกระแส แทนที่จะยอมรับความจริงและปรับปรุงให้ได้ เงินภาษีที่ประเทศทุ่มลงไปให้การศึกษาเป็นจำนวนมาก ถึงเวลาหรือยังที่เราจะประเมินว่าเงินเหล่านี้ทำไมถึงสร้างคนที่มีคุณภาพจริงได้น้อยมาก ยกตัวอย่างให้เห็นชัดคือ โครงการโอเพ่นซอร์สของเวิร์ดเพลส ที่ผู้ร่วมก่อตั้งสร้างเป็นธุรกิจหลายแสนหลายบาทได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเลย เปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ใต้หวัน จีน ออสเตเลีย ญี่ปุ่น มหาลัยในประเทศเหล่านี้มีคุณภาพดีพอที่จะทำงานหรือเป็นผู้บริหารในบริษัทระดับโลกได้ สมัยเด็กผมจำได้ว่าคุณภาพคน คุณภาพมหาลัยไทย ไม่ห่างจากกลุ่มประเทศเหล่านี้เลย พอโตขึ้นมีโอกาสที่ญาติทำธุรกิจในเมกาไปช่วยไปเรียนต่อมหาลัยชั้นนำ พอกลับมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็พบว่ามหาลัยไทยคุณภาพเริ่มแย่ลงแถมช่วงหลังน่าห่วงมาก แต่งบประมาณเราก็อุดหนุนยังเท่าเดิม ผมไม่มีข้อมูลจริงๆ เพราะไม่ได้คลุกคลีกับใครมาก ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ และทำไมถึงตกต่ำลงทุกวัน ทั้งที่คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ต งบประมาณก็ไม่ได้ลดลง มีระบบการสื่อสารก็ดี มีสื่อต่างๆ มากมาย องค์ประกอบไม่ได้ด้อยกว่าประเทศใดเลย ถ้ายังแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาในมหาลัยไม่ได้โอกาสที่ประเทศเราจะเป็นประเทศที่หลากหลายทางนวัตกรรมก็ดูมืดมน

สรุป กรอบสังคมกับคุณภาพการศึกษาในระดับมหาลัย เป็นปัจจัยสำคัญที่เราจะส่งผ่านให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานพาประเทศก้าวหน้าและพัฒนาไปได้ในทุกๆ ด้าน เป็นประเทศสร้างสรรค์นวัตกรรม กรอบสังคมเอื้อให้เกิดบุคคลที่เก่งระดับโลก คุณภาพการศึกษาในมหาลัย จะทำให้ทุกคนมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมทุกสาขาวิชาครับ ทั้งสองข้อนี้ผมมองระดับอาเซียนว่ายังน่าห่วงแต่ไทยน่าห่วงมากที่สุด โอกาสที่อาเซียนจะเป็นแหล่งนวัตกรรมแห่งหนึ่งในโลกยังดูมืดมนครับ ก็เป็นมุมมองส่วนตัวนะครับ จากที่เราได้รู้ ได้เห็น ได้ค้นคว้า ผมไม่ได้ต่อต้านโครงการต่างๆ การจัดงานต่างๆ ทุกงาน ว่าไม่ดีไปหมด จะทำโครงการอะไรก็ผิด ถ้ารอให้ครบทั้งสองข้อถ้างั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกัน เพียงอยากให้ดูว่า ความจริงอยู่ตรงไหน แล้วผลลัพธ์มันคุ้มค่าหรือเปล่า สามารถต่อยอดในอนาคตได้จริง ก็ขอจบความคิดเห็นต่างๆ ร่วมกับเจ้าของกระทู้ไว้เพียงเท่านี้ครับ น่าจะสมบูรณ์แล้วละ ความคิดเห็นต่างๆ เกิดจากการประสบการณ์เรียนรู้ในหลายสิบประเทศ หลากหลายผู้คน และค้นหาเพิ่มเติมสม่ำเสมอ ไม่ใช่อคติส่วนตัว ต้องการทำลาย ให้ร้ายกับใคร หรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่อยากเห็นเด็กรุ่นใหม่ของเราเก่งขึ้นทุกด้านและทุกคนครับ ผมคิดผมเชื่อและผมศรัทธาในคนรุ่นใหม่ว่าจะทำให้โลกดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ฉลาดและกล้าทำในสิ่งที่ดีและก้าวหน้าต่อโลก เป็นหน้าที่ของคนรุ่นเราทุกคนครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์