เส้นทางผู้นำ 'ดิจิตอล แบงกิ้ง' กสิกรไทย

แม้ว่าปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทย จะขึ้นมาเป็นผู้นำในแง่ของผู้ใช้งานระบบดิจิตอล แบงกิ้งในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 39% แต่ด้วยการที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้กสิกรไทยไม่สามารถหยุดนิ่งได้อีกต่อไป จึงมีการเตรียมเปิดบริการใหม่ๆต่อเนื่องตลอดปีนี้

นพวรรณ เจิมหรรษา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เล่าย้อนให้ฟังถึงประวัติการเริ่มให้บริการโมบาย แบงกิ้งของกสิกรไทยว่า เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา จากที่แต่เดิมต้องใช้งานร่วมกับซิมการ์ด ก่อนจะพัฒนามาเป็นการให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากที่สุดในอุตสาหกรรมตอนนี้

'พฤติกรรมการใช้งานธุรกรรมออนไลน์ของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี เมื่อสมาร์ทโฟนจับต้องได้มากขึ้น 3G เข้ามาช่วยในแง่ของการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้ปริมาณผู้ใช้งานออนไลน์ แบงกิ้งเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการมาของแชต แอปพลิเคชันที่เปิดโลกเทคโนโลยีให้ผู้สูงอายุได้รับรู้ว่าเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องยาก'

ขณะเดียวกันจากอัตราการเติบโตของโมบาย แบงกิ้ง ที่ผ่านมาเติบโต 100% ต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดว่า ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไปที่คิดเป็นสัดส่วนการใช้งานมากกว่า 20% เมื่อแยกย่อยไปถึงกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไปจะมีการใช้งานเป็นประจำ

'ที่สำคัญคือในกลุ่มฐานลูกค้า Wisdom หรือลูกค้าที่มีเงินฝากเกิน 10 ล้านบาท มากกว่า 50% หันมาใช้งานโมบาย แบงกิ้งเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน ขณะที่กลุ่มอายุที่มีการใช้งานมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 25-40 ปี คิดเป็นสัดส่วน 45% และต่ำกว่า 25 ปี คิดเป็นสัดส่วน 35%'

ที่น่าสนใจคือ ปริมาณการทำรายการผ่านโมบายแบงกิ้ง จะมีจำนวนรายการที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการทำรายการผ่านช่องทางปกติ เนื่องจากสามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้จากเฉลี่ยใช้ทำรายการเดือนละไม่กี่รายการเพิ่มขึ้นเป็น 6-7 รายการต่อเดือน

โดย 3 รายการหลักที่ผู้ใช้งานโมบายแบงกิ้งใช้งานคือ การโอนเงิน 78% เติมเงิน 16% และชำระค่าบริการ 6% คิดเป็นจำนวน 4-5 ล้านรายการต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในมุมของธนาคาร สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการสร้างพฤติกรรมการใช้งานให้แก่ลูกค้า ในแง่ของความรู้เบื้องต้นในการใช้งาน รวมถึงความระมัดระวังในการใช้งาน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

จุดเด่น ในการพัฒนาบริการ K-Mobile Banking Plus จะเน้นไปที่พื้นฐานของความสะดวก ง่าย และปลอดภัย โดยในแง่ของความปลอดภัยทางกสิกรไทยมีการล็อกด้วยกัน 3 ขั้นตอน คือ เริ่มจากรหัสใช้งาน ถัดมาคือเลขหมายโทรศัพท์ และเลขตัวเครื่องที่ต้องตรงกันทั้ง 3 ส่วนถึงจะเข้าใช้งานได้ โดยจะใช้การตรวจสอบร่วมกับเลขบัญชี และเลขบัตรประชาชนที่ลงทะเบียนไว้กับทางธนาคาร

ประกอบกับที่ผ่านมาธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยถือว่ามีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่องทางการชำระเงินออนไลน์ก็ได้รับอานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย เพราะทางธนาคารได้เริ่มทำระบบชำระเงินรูปแบบใหม่ที่ ใช้การส่งรายการธุรกรรมผ่านหมายเลขโทรศัพท์ (Pay Plus) ก่อนจะให้เลือกเข้าไปทำรายการผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยให้แก่ทั้งผู้ขาย และผู้ซื้อ

สำหรับแผนการพัฒนาบริการโมบาย แบงกิ้ง ของกสิกรไทยในปีนี้ จะเน้นไปที่การเพิ่มความสามารถให้เข้ามาตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ K-Mobile Banking จะรองรับบริการหลักๆคือการ โอน เติม จ่าย แต่ล่าสุดได้มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่างการดูรายการเดินบัญชีย้อนหลัง ที่ผู้ใช้สามารถให้ส่งเข้าอีเมลเพื่อตรวจสอบรายการย้อนหลังได้ทันที

รวมถึงการเพิ่มความสามารถอย่างรายละเอียดการใช้บัตรเครดิต การแจ้งเตือนเมื่อมียอดการใช้งานบัตร สามารถอายัดบัตร และปรับเปลี่ยนวงเงินบัตรได้กรณีที่บัตรสูญหาย การขออนุมัติสินเชื่อบุคคล นอกจากนี้ยังมีเพิ่มในส่วนของนักลงทุนที่สามารถเข้าไปเลือกซื้อกองทุนได้จากภายในแอปพลิเคชัน ส่วนในอนาคตก็จะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามาในทุกๆเดือน เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานที่กว้างขึ้น

'แนวคิดหลักในการพัฒนาแอปคือต้องทำให้ผู้ใช้ได้ความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพื่อมาตอบสนองไลฟ์สไตลของคนรุ่นใหม่ที่ตารางชีวิตค่อนข้างหนาแน่น ไม่มีเวลาไปทำรายการที่ธนาคาร ก็จะนำบริการเหล่านี้เข้ามาเสริมเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า'

รวมทั้งยังได้มีความร่วมมือกับ LINE ที่จะเปิดฟีเจอร์ใหม่ในห้อง 'แชต' KBank Live ใน LINE Official Account ให้ผู้ใช้งานสามารถสอบถามข้อมูลผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง เป็นรายแรกๆของประเทศไทย พร้อมนำเสนอโปรโมชัน ข้อมูลทางการเงินที่น่าสนใจ

นอกจากนี้อีกจุดที่ต้องคำนึงถึงคือ บริการอย่างโมบายแบงกิ้ง จะเข้ามามีประโยชน์กับการทำธุรกรรมที่ไม่ต้องแตะเงินสดเท่านั้น เพราะจะใช้การส่งเงินผ่านระบบ แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังเป็นสังคมที่ใช้เงินสดค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ยังไม่สามารถตอบโจทย์การทำธุรกรรมทุกประเภทได้

ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า มีผู้ที่ใช้งานระบบดิจิตอล แบงกิ้ง (รวมทั้งผ่านเว็บไซต์ และผ่านโทรศัพท์มือถือ) ทั้งหมดในประเทศราว 22.4 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ราว 9 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 39% คิดเป็นปริมาณการทำธุรกรรมรวม 3.9 ล้านล้านบาท

โดยในปีนี้ กสิกรไทยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มปริมาณลูกค้าที่ใช้งานดิจิตอล แบงกิ้งเป็น 11.3 ล้านราย ในจำนวนนี้ เป็นลูกค้าใหม่ 3.4 ล้านราย ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มการใช้งานโมบาย แบงกิ้งมีสัดส่วนอยู่ที่ 55% ขณะที่การใช้อินเทอร์เน็ตแบงกิ้งอยู่ที่ 45%

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปในอนาคตคือเรื่องของการที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) e-Signature (ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อเข้ามาช่วยลดจำนวนลูกค้าที่ต้องเข้ามาทำรายการที่สาขาให้น้อยลง แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นการลดการทำงานของเจ้าหน้าที่ในแต่ละสาขา

เนื่องจากปัจจุบัน ธุรกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นที่สาขา จำเป็นต้องมีการแสดง หรือยืนยันตัวตนให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมเหล่านั้นไปได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ประจำแต่ละสาขาก็จะมีความจำเป็นอยู่ ซึ่งข้อมูลการทำธุรกรรมเหล่านี้จะต้องถูกนำมาวิเคราะห์ และพิจารณาให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อไป

manager.co.th