ต่อไป »

[banban]

ใครที่บ่นว่า "ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี" ขายของลำบาก เงียบมาก ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง
เมื่อหาสาเหตุ ก็โยงไปเรื่องการเมือง เรื่องตลาดหุ้น เรื่องราคาทองคำ ฯลฯ

ผมอยากให้ทุกท่านที่บ่นๆ ดู VDO นี้

http://www.youtube.com/watch?v=Jha7XIFRZhM

ท่านเคยถามตัวเองหรือยัง? ว่าความรู้เกี่ยวกับโลกของเรา ตลอดชีวิตของท่าน
ถูกต้องเป็นจริงแล้ว ตามที่ท่านเรียนมา ตามที่เขาเล่ามา?

มนุษย์มี "ความต้องการพื้นฐาน" เพียง "ปัจจัย 4" สิ่งอื่นที่อยู่นอกเหนือกว่านี้
คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือ ความต้องการไขว่คว้า "ความสุข"
ตามที่ไปเห็นมา ไปได้ยินมา โดยไม่เคยหันไปมอง "ชีวิต" ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ว่ามันไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่า มีที่ให้นอน มีอาหารให้กิน


เมื่อคนไม่ซื้อของๆท่าน ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดี
ท่านเคยคิดหรือปล่าวว่า ที่ขายไม่ได้เพราะเขา "ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อของท่าน"
ท่านเคยคิดหรือปล่าวว่า สิ่งที่ท่านขาย มันมีความหมายแค่....

สิ่งบำเรอความสุขชั่วครั้ง ชั่วคราว ให้มนุษย์ที่หลงใหลได้ปลื้มกับวัตถุธาตุ
ไขว่คว้ามา ดิ้นรนให้ได้มา และมองหาความสุขอื่นๆเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
ตามแต่ "การตลาด" จะนำพาให้เกิดความอยากขึ้นเป็นครั้งคราว

อยากซื้อของสิ่งนั้น อยากซื้อของสิ่งนี้ เมื่อมีคนอื่นทำการตลาดเก่งกว่าท่าน
มีทุนโฆษณามากกว่าท่าน เขาก็แย่งลูกค้าท่านไปได้ อย่างง่ายดาย


นักศึกษาปี 3 ข้างบ้านผม ขายของออนไลน์ เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน
เมื่อวันเสาร์ ได้กำไร 4,500 บาท เมื่อวานได้กำไร 3,400 บาท
แต่ส่วนใหญ่กำไรจะอยู่ที่วันละ 1,000-1,500 บาท แต่ได้ทุกวัน

เป็นสินค้าที่ยังไม่มีคู่แข่ง ยังไม่มีใครเอามาทำตลาดออนไลน์ มันจึงพอขายได้

ผมจึงบอกน้องเขาไปว่า อย่าเพิ่งมั่นใจอะไรมาก มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง
เมื่อมีคนอื่นมาทำแข่ง ยอดขายก็อาจลดลง เพราะโดน "ตัดราคา"
ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเป็นเพราะ "เศรษฐกิจไม่ดี"


เพราะถ้าศึกษาติดตามเรื่องราวในธรรมชาติแล้ว คำว่า "เศรษฐกิจ" ไม่มีจริง ไม่มีความหมายใดๆ
มีแต่ความอยากได้ อยากมี ของผู้คน ตามแต่ "การตลาด" จะนำพาให้เกิดความอยากซื้อหรือไม่? ก็แค่นั้น


เมื่อท่านเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ท่านก็จะเข้าใจโลกของเราในมุมมองอื่นๆ ที่มันเชื่อมโยงกันทั้งหมด
ตั้งแต่ระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ไปจนถึงสินค้าในร้านขายของชำข้างบ้าน

แน่นอนว่าข้อความทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ ฝรั่งและตำรา MBA ทั้งหลายไม่เคยบอกท่าน เพราะเขาต้องการให้ท่าน

"Stay Hungry , Stay Foolish"


ที่มา forWorld.org

[kondam]

ขอบคุณครับ 

[Bes]

ขอบคุณครับ

[khatha0808]

สรุปว่าต้องขายปัจจัยพื้นฐาน เพราะยังไงคนก็ต้องซื้อ


ชิมิ



 

[ebookforyou]

อยู่ทีสินค้าครับ

[hisoteen]

ขอบคุณครับ

[1ZAA]

จริงของท่านครับ

[OldmanIndy]

ขอบคุณเป็นอย่างมากเลยครับ ได้แนวคิดที่ดีเลยครับ

[ozero1st]

เยี่ยมครับ มีหลายคนชอบพูดว่าช่วงนี้ เศษฐกิจไม่ดี เลยขายของไม่ได้ แต่ไม่ได้มองถึงตัวสินค้าตัวเอง และการตลาดของตนเองที่ยิ่งวัน ยิ่งน้อยลง 

[atzcret]

อ่าหัวข้อเป็น ........... คำว่า "เศรษฐี" ไม่มีจริง ในจักรวาลนี้ ...........

กำลังจะบอกว่า จริงนะ
คนที่รู้จักพอ ก็เป็นเศรษฐีแล้ว ^^

เรามีญาติบางคนที่ร้วย รวย แต่ยังไม่รู้จักพอ
ตั้งหน้าตั้งตา กอบโกยเพื่อตัวเอง เอาเปรียบพี่น้อง เพื่อนฝูงไม่คบ
คบแต่เงินในบ/ช กับที่ดินมากมายมหาศาล เราหล่ะ ง้ง งง ...
เมื่อก่อนตอนเค้ายังไม่รวยขนาดนี้ ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ทำไมยิ่งรวยยิ่งเพี้ยน 555

จากในกระทู้จะบอกว่า เศษฐกิจ ไม่มีจริงก็คงไม่เชิงหรอกค่ะ
มันเป็นกลไกตลาด ...

แน่นอน เศษฐกิจไม่ดี มีแน่ๆ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกธุรกิจ
ในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ ... บางธุรกิจไปได้ บางธุรกิจไปไม่ได้เลย

เอาใจช่วย สำหรับทุกท่านที่่ ไม่ยอมแพ้คร๊าาา ...
ลุยไปโลดดดดดดดดดด

 

[wear428]

ผมกำลังเพิ่มแนวนนี้ในชีวิตเลยครับ

[Ceramiclover]

ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆที่เอามาแบ่งปัน

[redbluegreenyellow]

เห็นด้วย ผมคิดแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ถ้าสินค้ามันเป็นสื่งที่คนต้อการจริงๆ ต่อให้เศรษฐกิจแย่ขนาดไหน ยังไงก็ขายได้ แต่ทุกวันนี้ สินค้าทุกชนิด เล่นตัดราคากันหมด ใครขายอะไรดี ก็พากันเท่ไปขายตามกันหมด สุดยอดจริงๆ มนุษย์พ่อค้าแม่ค้า

[คนใจดี]

เห็นฉากแรกลุงแก่เดินทางผ่านถนนที่เป็นไร่อ้อย ผมเดานะว่าแก่คงมีที่ทบ.5หรือที่สปก.หลักร้อยไร่ และที่สำคัญไร่อ้อยของลุงอยู่ติดกับโรงงานน้ำตาล แบบนี้กลไกทางการตลาดจะบีบบังคับอัตโนมัติว่า แก่จะขายอ้อยได้มากกว่าคนอื่นที่อยู่ไกลออกไปอย่างแน่นอน โรงงานน้ำตาลนั้นไม่ได้มีเยอะครับ หลายจังหวัดไม่มี แต่ปกติแล้วถ้ามีก็จะมีแค่1โรงงาน บางคนขับรถอีแต๋นระยะทางกว่า80กม.เพื่อมาส่งอ้อย บางคนขับรถบรรทุกผ่านไร่ ผ่านสวน ผ่านป่า กว่าจะออกมาจากป่าได้ระยะทางกว่า90กม. พอมาถึงโรงงานก็ต้องมาเข้าคิวรอชั่งกิโลขายอ้อย

ทีเด็ดของลุงอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงไร่ติดกับโรงงานกว่า100ไร่ ทางโรงงานก็จะส่งนักวิชาการมาอบรม มาสอนวิธีปลูกอ้อยให้โตเร็ว ได้น้ำหนัก ลำต้นแข็งแรง รวมถึงเอาปุ๋ยเอายามาขายให้ถึงบ้าน ถามว่าทำไมโรงงานต้องมาสอนลุง ก็เพื่อโปรโมทโรงงานไปในตัว สรา้งภาพว่าโรงงานนน้ำตาลของเราผลิตจากอ้อยพันธ์ดี ลำต้นสวย น้ำเยอะ แข็งแรง ไม่เป็นโรค เมื่อผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มาเห็นโรงงานก็ถูกใจ โรงงานใหญ่ดี มีคุณภาพ แถมอ้อยที่คัดสรรค์มาทำน้ำตาลก็เป็นอ้อยคุณภาพดีเกรดเอ.....เรียกว่าวิน-วิน ทั้งสองฝ่าย

ทีนี้เมื่อคุณลุงมีรายได้ที่มั่นคงจากการจ้างลูกน้องมาทำไร่อ้อยกว่า100ไร่ กำไรไร่หนึ่งเยอะกว่าชาวบ้านเค้าหน่อยเพราะไร่ติดกับโรงงานน้ำตาล ตกราวๆ10,000บาทต่อไร่ ทำ100ไร่ก็ปีหนึ่งกำไร1,000,000บาท นอกจากนี้ลุงก็คงมีการเลี้ยงปลา ทำนา ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ไว้กินเอง ซึ่งก็คงจ้างลูกน้องปลูกให้ ก็คนที่มาตัดอ้อยให้แก่นั่นล่ะ แต่ทว่าที่ดินของแก่จะต้องมีน้ำใช้ตลอดปี ไม่งั้นคงต้นทุนสูงขึ้นไปอีก

[mystylecreate]

สุดยอด ขอบคุณมากคับ 

[seowork]

ขอแลกเปลี่ยนหน่อยแล้วกัน ผมค่อนข้างค้านกับแนวความคิดนี้มากนะ ประโยค "Stay Hungry , Stay Foolish" นี้ สตีฟ จ๊อป เอามาพูดในวันรับปริญญาของมหาลัยสแตนด์ฟอร์ด มลรัฐแคลิฟฟอเนีย สหรัฐ ปี 2538 ซึ่ง สตีฟ จ๊อป ได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ ด้านเทคโนโลยี ถ้าฟังแล้วจับประเด็นที่ จ๊อป พูดจะเห็นว่า เขาต้องการสื่อให้เห็นว่า สิ่งที่คุณทำอยู่นั่น จะขึ้นอยู่กับการทำสิ่งที่รัก ให้ใจคุณเดินทางไปหามัน และนั่นคือความสำเร็จจะตามมาเอง ประโยคนี้ จ๊อปเอามาจากวารสารเล่มหนึ่งที่เขาบอกว่า เป็น Google ในแบบเล่มหนังสือสมัยก่อนมีคอมฯ เมื่อสรุปทั้งหมดจะเห็นว่าจ๊อป ต้องการสื่อประโยคดังกล่าวว่า การค้นหาความรู้ของคุณ งานของคุณ สิ่งดีๆ ของคุณ จงใช้ใจที่โหยหิวอยากรู้ในสิ่งทีรัก ในงานที่ทำ จงทำตัวให้โง่เพื่อที่จะค้นหาความรู้และสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินทอง ความร่ำรวย เชิงธุรกิจ เศรษฐกิจอะไรเลย
ประเด็นความว่า เศรษฐกิจ มันเป็นนิยามสากล หลักการสากล ที่มนุษย์โลก 7 พันกว่าล้านคนต้องใช้ร่วมกัน เป็นตัวชี้วัดหนึ่ง ที่จะบอกให้รู้ว่าในสังคมหรือประเทศนั้น คนมีคุณภาพหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สุขภาพการรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดนโยบายที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมสำหรับคนหมู่มากขึ้น ถ้าไม่มีตัวชี้วัด แล้วคุณภาพของคนจะดีขึ้นได้อย่างไร อย่าเอาตัวเองคนเดียวเป็นศูนย์กลางของโลก แล้วบอกว่าคนส่วนใหญ่ทั่วโลกทำไม่ถูกต้อง หลักการไม่ดี เพราะหลักการสากลเหล่านี้ ผ่านการใช้งาน การพิสูจน์ ตรวจสอบ จนคนทั่วโลกยอมรับร่วมกันแล้ว ถ้าตัวเองไม่ยอมรับก็อย่ามองแคบๆ คนจำนวน 7 พันล้านคน พูดพร้อมกันเบาๆ ก็ทำให้คนหูหนวกได้แล้ว จึงไม่ควรคิดว่า หลังการที่คนยอมรับ 7 พันล้านคน เป็นหลักการที่ไม่มีอยู่จริง ในจักรวาล
อาจารย์ในมหาลัยฮาร์เวิร์ดท่านหนึ่งเคยอธิบายไว้ว่า คนจำพวกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล เป็นพวกที่ไม่ยอมปรับตัวตามการหมุนของโลก ซึ่งข้ามปัจจุบันไปทุกวัน เป็นคนที่จมปลักอยู่กับอดีตอันหอมหวานแม้มันไม่เคยย้อนกลับมาได้ คนพวกนี้ปรับตัวเข้ากับคนในโลกไม่ได้ เพราะคิดคนทั่วโลกควรปรับตัวให้เป็นแบบเขา หลักการของเขาสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ดีที่สุดในจักรวาล แต่ไม่สามารถวัดและตรวจสอบหลักการเหล่านี้ในความเป็นจริงได้เลย เพราะมันเป็นเพียงแนวคิดของคนส่วนน้อยที่ไม่สามารถปรับตัวและเรียนรู้ตามโลกได้

[banban]

ขอแลกเปลี่ยนหน่อยแล้วกัน ผมค่อนข้างค้านกับแนวความคิดนี้มากนะ ประโยค "Stay Hungry , Stay Foolish" นี้ สตีฟ จ๊อป เอามาพูดในวันรับปริญญาของมหาลัยสแตนด์ฟอร์ด มลรัฐแคลิฟฟอเนีย สหรัฐ ปี 2538 ซึ่ง สตีฟ จ๊อป ได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ ด้านเทคโนโลยี ถ้าฟังแล้วจับประเด็นที่ จ๊อป พูดจะเห็นว่า เขาต้องการสื่อให้เห็นว่า สิ่งที่คุณทำอยู่นั่น จะขึ้นอยู่กับการทำสิ่งที่รัก ให้ใจคุณเดินทางไปหามัน และนั่นคือความสำเร็จจะตามมาเอง ประโยคนี้ จ๊อปเอามาจากวารสารเล่มหนึ่งที่เขาบอกว่า เป็น Google ในแบบเล่มหนังสือสมัยก่อนมีคอมฯ เมื่อสรุปทั้งหมดจะเห็นว่าจ๊อป ต้องการสื่อประโยคดังกล่าวว่า การค้นหาความรู้ของคุณ งานของคุณ สิ่งดีๆ ของคุณ จงใช้ใจที่โหยหิวอยากรู้ในสิ่งทีรัก ในงานที่ทำ จงทำตัวให้โง่เพื่อที่จะค้นหาความรู้และสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินทอง ความร่ำรวย เชิงธุรกิจ เศรษฐกิจอะไรเลย
ประเด็นความว่า เศรษฐกิจ มันเป็นนิยามสากล หลักการสากล ที่มนุษย์โลก 7 พันกว่าล้านคนต้องใช้ร่วมกัน เป็นตัวชี้วัดหนึ่ง ที่จะบอกให้รู้ว่าในสังคมหรือประเทศนั้น คนมีคุณภาพหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สุขภาพการรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดนโยบายที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมสำหรับคนหมู่มากขึ้น ถ้าไม่มีตัวชี้วัด แล้วคุณภาพของคนจะดีขึ้นได้อย่างไร อย่าเอาตัวเองคนเดียวเป็นศูนย์กลางของโลก แล้วบอกว่าคนส่วนใหญ่ทั่วโลกทำไม่ถูกต้อง หลักการไม่ดี เพราะหลักการสากลเหล่านี้ ผ่านการใช้งาน การพิสูจน์ ตรวจสอบ จนคนทั่วโลกยอมรับร่วมกันแล้ว ถ้าตัวเองไม่ยอมรับก็อย่ามองแคบๆ คนจำนวน 7 พันล้านคน พูดพร้อมกันเบาๆ ก็ทำให้คนหูหนวกได้แล้ว จึงไม่ควรคิดว่า หลังการที่คนยอมรับ 7 พันล้านคน เป็นหลักการที่ไม่มีอยู่จริง ในจักรวาล
อาจารย์ในมหาลัยฮาร์เวิร์ดท่านหนึ่งเคยอธิบายไว้ว่า คนจำพวกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล เป็นพวกที่ไม่ยอมปรับตัวตามการหมุนของโลก ซึ่งข้ามปัจจุบันไปทุกวัน เป็นคนที่จมปลักอยู่กับอดีตอันหอมหวานแม้มันไม่เคยย้อนกลับมาได้ คนพวกนี้ปรับตัวเข้ากับคนในโลกไม่ได้ เพราะคิดคนทั่วโลกควรปรับตัวให้เป็นแบบเขา หลักการของเขาสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ดีที่สุดในจักรวาล แต่ไม่สามารถวัดและตรวจสอบหลักการเหล่านี้ในความเป็นจริงได้เลย เพราะมันเป็นเพียงแนวคิดของคนส่วนน้อยที่ไม่สามารถปรับตัวและเรียนรู้ตามโลกได้

ผู้ที่คิดต่างจากคำสอนทางศาสนา คิดต่างจากคนส่วนใหญ่ คิดว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล โลกไม่ได้แบน จะถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น เช่น กาลิเลโอ

[Oatekung]

โจทย์สินค้าน้าจะยากสุดแล้วครับ
ถ้าใครก้อมี ใครก้อทำ เหนื่อย

[Appman]

จากสิ่งที่เค้ามีเป็น Know how พิเศษจริงๆไม่ใช่ใครก็คิดแบบนี้ได้ ก็ต้องหาตัวเองกันต่อไปครับ

[thepkboy]

ขอบคุณครับ