ข้อมูลเหล่านี้ DHL จะส่งเมลให้ลูกค้าอยู่แล้วค่ะ ช่วงไหนมีปัญหาอะไร DHL จะส่งเมลแจ้งลูกค้าทุกคน เราก็รับข้อมูลทางอีเมล
บริษัทชิปปิ้งถือเป็น business partner ที่สำคัญมาก ในมุมมองของคนทั่วๆ DHL Fedex UPS ให้บริการด้านต่างๆเหมือนกัน ดูแล้วแทบไม่แตกต่าง แต่ถ้าศึกษาจริงๆ DHL Fedex จะไม่ใช่คำตอบของคนทำ e-com แต่เราว่าผู้บริหาร DHL เมืองไทยเก่งมากเมื่อเทียบกับผู้บริหารของ UPS Fedex
เราติดตามการขายของลูกค้า e-com รายใหญ่ของ DHL มาตั้งแต่ปี 2010 เรทค่าส่งที่ถูกที่สุดของคนขายออนไลน์คือลูกค้าของ DHL แต่ปัจจุบัน volume การส่งของไม่ได้มากเมื่อเทียบกับส่วนลดที่ได้รับ เมื่อก่อนการแข่งขันไม่แรงเพราะ amazon ยังไม่เปิดรับคนไทย แต่กลุ่มลูกค้า e-com ของ DHL ซึ่งส่วนใหญ่เรียนจบจากอเมริกาใช้ข้อมูลในอเมริกาเปิดบัญชีอเมซอน เมื่อก่อนยอดส่งของหลักพันชิ้นต่อวันถือเป็นเรื่องธรรมดา สต๊อกสินค้ากันหลักสิบล้านเป็นอย่างต่ำ ปัจจุบันยอดส่งของแต่ละวันไม่มาก แต่เรทส่วนลดยังได้เหมือนเดิมเพราะเคยทำยอดไว้สูงมากๆ บริษัทก็ยังดูแลลูกค้าเหล่านี้อยู่ เพราะเค้าดูเรื่อง royalty ด้วย อันนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันบริษัทชิปปิ้งจะไม่ให้ส่วนลดสูงๆกับลูกค้ารายใหม่ เพราะเค้าเห็นแล้วว่าลูกค้าเดิมที่ขายเก่งๆ เคยส่งของวันละ 2-3 พันชิ้น ปัจจุบันมียอดส่งของไม่มาก บางรายต่อวันไม่ถึงร้อยชิ้นด้วยซ้ำ ลูกค้ารายใหญ่แบบนี้ก็มีอยู่ทุกบริษัท ทั้ง DHL UPS Fedex แต่ที่ DHL จะมีมากกว่าที่อื่นน่าจะประมาณ 3-4 ราย Fedex น่าจะเหลือแค่ 2-3 ราย ที่ UPS ปีที่แล้วลูกค้ารายใหญ่ถูกยกเลิกไปหลายราย ปีนี้เหลือแค่ 2 ราย และกำลังจะหลุดไปอีก 1 สุดท้ายน่าจะเหลือแค่ 1 ราย
โพสต์ที่แล้วเราจึงบอกว่า ถ้าใครสามารถผ่านช่วงนี้ไปได้ อีกแค่ 1-2 ปี ก็จะสบาย เพราะคู่แข่งจะหายไปเยอะ ค่าส่ง Express น้ำหนัก 1 - 1.5 กก. ที่ลูกค้ารายใหญ่เหล่านี้จ่ายไม่มากไม่มาย จ่ายแบงค์ห้าร้อยยังได้เงินทอน ช่วงนี้บริษัทชิปปิ้งมีการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อย เปลี่ยนผู้บริหารแต่ละครั้งลูกค้ารายใหญ่เหล่านี้ก็จะค่อยๆทยอยหายไป ผู้บริหารที่มาใหม่มักจะไม่ต่อสัญญากับลูกค้าเหล่านี้