คู่มือ เขียนบทความ สำหรับผู้เริ่มต้น เขียนบทความด้วยตนเองลองเอาประสบการณ์ที่มีอยู่น้อยนิด ^^! มาแบ่งปันครับ เผื่อว่าอาจเป็นประโยชน์สำหรับ คนใหม่ๆ ในการ เขียนบทความ เพื่อการเพิ่มเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ กันครับ
ทำไมต้อง เขียนบทความ ลงเว็บไซต์การทำ content หรือการ เขียนบทความ ให้กับเว็บไซต์ ก็คือการเพิ่มจำนวนของข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการอ่านของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปของตัวอักษร โดยข้อมูลที่ผู้บริโภคนิยมอ่าน มักประกอบไปด้วย
1.ข้อมูล เขียนบทความ เกี่ยวกับการรีวิวสินค้า หรือบริการ ข้อมูลนี้ค่อนข้างที่จะได้รับการตอบรับมากที่สุด เช่นสินค้า A ก่อนที่คนจะตัดสินใจซื้อ ก็มักจะค้นหาข้อมูลกันผ่านอินเทอร์เน็ตก่อนว่า สินค้า A เป็นอย่างไร ผู้คนกล่าวถึงสินค้า A ในด้านบวกหรือลบ มากน้อยอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหมือนกันนะครับ ที่คนทั่วไป มักเชื่อ หรือตัดสินใจเชื่อข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทันที หากมีข้อมูลด้านบวกมากพอ และแน่นอนว่าถ้าเป็นข้อมูลด้านลบ ก็จะไปได้รวดเร็วกว่ามากเลยครับ
ตัวอย่างหัวข้อเขียนบทความแนวนี้
"ชำแหละไอโฟน6 รู้ลึกก่อนใครในวงการโทรศัพท์มือถือ"
"รีวิว การใช้งานโทรทัศน์ 9 มิติของ Samsung 42นิ้ว"
"รีวิว แอปทะลุเสื้อในตำนาน"
2.ข้อมูล เขียนบทความ เกี่ยวกับบทวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะที่เป็นบทวิเคราะห์ จะได้รับการถกเถียงในช่องแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ ข้อมูลบทิวเคราะห์ทางการเมือง บทวิเคราะห์ข่าว ดารา นักร้อง เป็นต้น ซึ่งหัวใจของบทวิเคราะห์คือ ทำให้ผู้อ่านเกิดความขัดแย้งได้ ผมว่าตัวอย่างง่ายๆของบทวิเคราะห์ ที่ทำแล้วดัง อาทิ ดราม่าแอดดิก ที่มีผู้คนทั่วไปเข้าไปเสพ content เป็นจำนวนมาก โดยแทบไม่ต้องอาศัยหลักการ seo
ตัวอย่างหัวข้อเขียนบทความแนวนี้
"วิเคราะห์ ดาราหน้าแป้นเตียงหักกับช้างตกมัน"
"บอย เลิกต้นแล้ว เหตุคบแนน!?"
"จุดจบพรรคกินนอน ทางสองแพร่งของผู้นำ"
เป็นต้น
3.ข้อมูล เขียนบทความ เชิงเคล็ดลับ เกร็ดความรู้ หรือ Know howข้อมูลลักษณะแบบนี้ คือข้อมูลที่เป็นในลักษณะของบทความ ที่อ่านแล้วผู้อ่านสามารถนำไปใช้งานได้ทันที เช่นเคล็ดลับการซักผ้าโดยไม่ต้องใช้น้ำ, เทคนิคการโกนหนวดโดยใช้มีดปอดผลไม้ เป็นต้น ซึ่งข้อดีของบทความประเภทนี้คงเป็นเรื่องของ อายุบทความหรือ (Age of content) ที่มักจะมีอายุยืนยาวนานกว่า บทความ 2 ประเภทแรกๆครับ
4.ข้อมูล เขียนบทความ เชิงสาระความรู้ หรือข้อเท็จจริงข้อมูลแบบนี้จะเหมาะมากกับการทำเว็บไซต์ประเภทการให้ข้อมูล อาทิบทเรียนออนไลน์ สูตรการทำอาหาร บทความเหล่านี้จะเน้นไปที่การให้ข้อมูลสาระต่างๆ ซึ่งเน้นความเป็น fact มากกว่าปกติ จริงๆอาจมีเยอะกว่านี้นะครับ แต่ผมคิดว่าหากแบ่งแบบคร่าวๆ ก็จะได้แนวทางให้เห้นภาพว่า ตัวเรานั้นควรเขียนบทความที่มีชุดข้อมูลแบบไหนในช่วงเริ่มต้น ซึ่งแต่ละชุดข้อมูลจะมีค่าความยาก และง่ายที่แตกต่างกันครับ แต่โดยส่วนตัว บทความที่มีอายุยาวๆหรือเป็นแบบ (High Age of Content) น่าจะเหมาะสมมากกว่าที่สุดสำหรับการนำมาทำเป็นบทความ เพราะเขียนเพียงครั้งเดียว แต่ผู้บริโภคสามารถนำกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ
ตัวอย่างบทความ
"เคล็ดลับการบีบสิวให้สนุก"
"5 วิธีการดูแลผิวพรรณโดยไม่ต้องอาบน้ำ"
เป็นต้น
ประเภทของการ เขียนบทความเมื่อเราพอรู้ชุดของข้อมูลไปแล้ว ส่วนต่อมาคงเป็นประเภทของบทความ บทความแบ่งออกเป็นประเภทอะไรบ้าง ผมขอแบ่งตามภาษาการใช้ในบทความแล้วกันนะครับ
1.บทความแบบเป็นทางการบทความนี้จะมีการใช้ภาษาที่เป็นทางการไปเลย เช่น บทความด้านชุดข้อมูลต่างๆ ซึ่งมักไม่มีการลงท้ายด้วยคำว่า ครับ/ค่ะ อะไรประมาณนี้นะครับ ผมคิดว่าบทความประเภทนี้เขียนยากสุด และอาจต้องมีข้อมูลอ้างอิงประกอบ ดังนั้นหากเพื่อนๆกำลังจะเขียนบทความแนวนี้ อาจต้องอาศัยการอ่านมากๆ จากหนังสือเชิง text book หลายๆเล่มมาประกอบกัน รวมทั้งการเลือกใช้ฐานข้อมูลการวิจัย หรืองานวิทยานิพนธ์ด้วย
ฐานข้อมูลงานวิจัยและงานวิทยานิพนธ์
http://tdc.thailis.or.th/tdc/ ตำราต่างประเทศที่น่าสนใจสำหรับการอ่าน
http://www.amazon.com/ 2.บทความประเภทกึ่งทางการ บทความกลุ่มนี้เราจะเน้นไปที่การใช้สำนวน "คุณ" คือในบทความนั้นเราอาจจะพบข้อความเช่น "คุณ" เช่น "เรา" ไว้บ้าง และาจมีการลงท้ายด้วยคำว่า ครับ/ค่ะก็ได้ หรืออาจจะไม่มีก็ได้ ซึ่งบทความประเภทนี้จะเขียนง่ายกว่าข้อที่ 1 ครับ เพราะการอ้างอิงข้อมูลจะใช้น้อยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เขียนบทความครับ ว่าต้องการที่จะลงรายละเอียดบทความขนาดไหนอย่างไร ซึ่งผมคิดว่า บทความประเภทนี้คือบทความที่พบบ่อยที่สุดแล้ว
3.บทความที่ไม่เป็นทางการบทความแบบสุดท้ายคือ บทความแบบไม่เป็นทางการ หมายถึงเขียนขึ้นโดยสำนวนที่มีความสบายๆ อาจใช้คำพูดอย่าง ฟินนะ อะไรทำนองนี้เป็นต้นในบทความ หรือมีการใช้คำแบบในเชิงภาษาพูดมากกว่า เช่นอาจเป็นบทความแนวเล่าเรื่องเป็นต้น ซึ่งบทความประเภทนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับ คนที่ เขียนบทความ ในเชิงเล่าเรื่องหรือนิยาย ซึ่งส่วนตัวผมเรียนตามตรงว่า นิยายแนว 18+ นี่แหละครับ ยอดวิวสูงมากๆ
จำนวนคำที่เหมาะสม สำหรับการเขียนบทความสำหรับจำนวนคำที่เหมาะสมในการ เขียนบทความ นั้นผมคิดว่า ตอบยากเหมือนกันนะครับ อันนี้เอาจากประสบการณ์อันน้อยนิดมาลองแบ่งก่อน
1-100 คำ เน้นแนว spin บทความมากกว่า ออกไปในแนวทางการปั่น ด้าน seo แต่ด้านเนื้อหาจะยากมาก
101-200 คำ เน้นแนวทิปเล็กๆสำหรับเผยแพร่ลง facebook
201-300 คำ เริ่มผสานงาน seo และการทำบทความคุณภาพได้ดีขึ้นกว่า 2 แบบแรก
301-500 คำ จัดทำเนื้อหา บทความ แบบคุณภาพได้มากขึ้น และทำงาน seo ง่ายขึ้น
มากกว่า 501 คำ ออกแบบเนื้อหาได้ดีที่สุด ทั้งในเชิงบทความคุณภาพ และเชิง seo
หากเราลองเอา Plug in SEO Yoast ในการวัดจำนวนคำที่จะได้ค่าคะแนนเป็น Good ผมพบว่าจะใช้ประมาณ 1,790 ตัวอักษรพิมพ์ใน Microsoft word ซึ่งก็ถือว่าเยอะมากทีเดียว ยิ่งถ้าเราเป็นประเภทขี้เกียจเขียนอะไรยาวๆมากๆแล้ว จะรู้สึกว่าน่าเบื่อทีเดียว 5555 ดังนั้นเพื่อนๆลองดูนะครับว่า จะเขียนบทความลงไปสักประมาณไหน จึงจะเหมาะกับเว็บไซต์ของตนเอง แต่ถ้าว่ากันแบบทฤษฎีแล้ว จัดไปเลย 1790 ตัวอักษรน่าจะดีที่สุดครับ
บทความคุณภาพ VS บทความเน้น SEOก่อนจะเอามาวัดกันปอนด์ต่อปอน ผมว่าลองมาหาคำนิยามบทความคุณภาพ กับบทความ seo กันเสียก่อน
บทความคุณภาพ เน้นการเขียนเนื้อหาออกมาให้คนอ่าน
บทความseo เน้นการเขียนเนื้อหาให้ bot อ่าน
บทความคุณภาพ เน้นการประยุกต์ข้อมูลต่างๆให้ผู้อ่านฟัง
บทความseo เน้นการเขียนในภาษาในแบบที่ bot ชอบ
บทความคุณภาพ สาระสำคัญอยู่ที่สาระ
บทความseo สาระสำคัญอยู่ที่จำนวนคำ Keyword Destiny 1-2%
บทความคุณภาพ สามารถติดหน้าแรก Google ด้วยคุณภาพ
บทความseo ติดหน้าแรกด้วยการทำ seo
บทความคุณภาพ อาจติดหน้าแรกน้อยกว่าบทความ seo
บทความseo แบบตั้งใจ บางทีก็ไม่ค่อยติดหน้าแรก
สรุปแล้วการเขียนบทความคุณภาพ หรือการเขียนบทความเพื่อseo ต่างต้องใช้หลักการที่ผสมผสานกันและหาจุดยืนที่เหมาะสมในการเขียนออกมา ซึ่งหากผู้เขียนหมั่นฝึกฝนบ่อยๆ ทักษะทั้งสองประการจะประสานรวมอยู่ด้วยกันและถ่ายทอดออกมาได้ทันทีครับ ดังนั้นหากเราต้องการเขียนบทความคุณภาพ และเน้นงาน seo ก็อาจจะต้องเรียนรู้และศึกษา รูปแบบบทความที่ Google ชอบไว้ด้วยครับ
ผลดีของการเขียนบทความ ด้วยตนเอง1.บทความของเราจะโดนใจเรามากที่สุดแม้ว่าเราจะจ้างนักเขียนที่มีคุณภาพมาเขียน แต่ที่สุดแล้วก็อาจเขียนไม่ตรงใจเรา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่เรา ควรเลือก เขียนบทความด้วยตนเอง
2.บทความมีโอกาสเป็น 100% Unique มากที่สุดอันนี้แน่นอนอยู่แล้ว เว้นแต่เราจะทำการรีไรท์บทความ มากกว่าที่จะคิดและสรุปองค์ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง
3.ประหยัดค่าใช้จ่ายกาประหยัดค่าใช้จ่าย ถือเป็นเรื่องดีทื่สุดสำหรับการเขียนบทความด้วยตนเอง เราสามารถเซฟเงินค่าจ้างการเขียนบทความต่อเดือนได้มากถึงหลักพันเลยทีเดียวนะครับ แต่แน่ในว่า ถ้าเรา สามารถบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆได้ ก็อาจไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนบทความด้วยตนเองก็ได้ครับ
4.ความภาคภูมิใจข้อนี้ค่อนข้างเข้าใจยาก แต่ผมว่าถ้าเราเห็นบทความของเรา ขึ้นสู่หน้าแรกของGoogle ได้ บางทีมันก็รู้สึกว่าเป็นความภาคภูมิใจแบบลึกๆในตัวของเรา ได้นะครับ
ดังนั้นข้อดี 4 ประการนี้ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว ในการเขียนบทความด้วยตนเองของเรากันนะครับ ดังนั้นหากเพื่อนๆยังไม่ได้ลองเขียน ก็ลองหยิบบทความขึ้นมา และทำการเขียนดูเลยครับ รับรองว่าการ เขียนบทความ ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่เราคิดเลย แถมช่วยเพิ่มมูลค่าให้เว็บไซต์ของตนเองด้วย สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มเขียนบทความ ลองนำเทคนิคง่ายๆ ด้านล่างนี้ไปใช้ดูก็ได้นะครับ อาจเป็นประโยชน์มากขึ้นในการเขียนบทความ
เทคนิคเล็กๆน้อยในการ เขียนบทความ ด้วยตนเอง1.เขียนหัวข้อบทความในกระดาษก่อนเสมอ
2.ร่างหัวข้อย่อยในบทความต่างๆ ลงกระดาษเสียก่อน
3.เขียนหัวข้อบทความ ในตอนกลางคืน
4.เมื่อเริ่มเขียนบทความ ให้ปิดทุกอย่าง แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต
5.เขียนไปเรื่อยๆห้ามหยุด
6.เขียนเสร็จ พักบทความไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนกลับมาแก้ไข
7.ปรับปรุงเรื่อง seo บทความ
8.ช่วงเวลาเขียนบทความได้รวดเร็วสุดคือ 09.00-12.00 ช่วงที่เขียนยากสุดคือ 13.00-16.00
9.ช่วงที่เหมาะแก่การเขียนบทความเน้นคุณภาพ หรือยาวๆคือ 20.00 เป็นต้นไป
10.กินกาแฟตอนเขียนทำให้ไม่ง่วง แต่อาจอ้วนได้
11.ลองใช้ปลั้กอินอย่าง SEO Yoast สำหรับตรวจคุณภาพงาน seo ของบทความ
12.อ่านหนังสือบ่อยๆ ช่วยปรับเรื่องของสำนวน
13.อย่าเปิดเว็บ เน้นอีกครั้งอย่าเปิดเว็บ หากสมาธิหลุดจะเขียนงานไม่ออก
14.ตอนป่วยไม่ต้องเขียนบทความ
15.ตอนเครียดก็ไม่ต้องเขียนบทความ
16.ห้องแอร์ช่วยให้งานเขียนดีขึ้น พอๆกับการเขียนงานท่ามกลางธรรมชาติ
ลองเอาไปปรับใช้กับงานเขียนกันดูนะครับ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆมีไอเดียมากกว่าผม และเก่งกว่าผม แต่ถือว่าบทความนี้เป็นการแชร์ไอเดียเล็กๆ ของการเขียนบทความ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะครับ