จั่วหัวแบบนี้ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะแชร์อะไรนิดหน่อยๆ จากประสบการณ์ตรงของผมเอง
สืบเนื่องมาจากกระทู้นี้
ขายอะไรดีได้กำไรวันละ 1,200 บาทก็พอ ตอนแรกที่ตอบไป เนื่องจากว่าผมดูแล้วคำถามยังไม่น่าตอบ เพราะมันไม่ได้ฝึกให้เราพัฒนาตัวเอง
แต่...มันน่าสนใจก็ตรงที่คนมาโพสต์แชร์กันนี่หล่ะครับ แล้วมันก็เริ่มแตกประเด็นไปต่อ ซึ่งผมอ่านแล้ว แนวคิดหลายๆคน น่าสนใจไม่ใช่น้อย
และบางคนดูเป็นมือใหม่ แต่ความคิด "
ดูใช้ได้" ทีเดียว
ก็เลยแนะนำอะไรไปหน่อย...
แต่กระทู้นี้ผมอยากจะใส่รายละเอียดเพิ่มอีกซักนิด ให้เป็นข้อคิดกัน เลยมาตั้งกระทู้ใหม่จะได้ใส่รายละเอียดเพิ่มให้ตรงตามที่อยากนำเสนอซักหน่อย
โดยผมจะเล่าจากประสบการณ์จริงๆของผมแล้วกันนะครับ
ซึ่งโพสต์นี้จะไม่ได้มาแนะนำเรื่องของสินค้านะครับ แต่จะแนะนำในเรื่องของตลาดที่จะขาย โดยให้เห็นหลายๆมุมหน่อย
เริ่มเลยคือถ้าคุณอยากได้เงินเพิ่มอีกซักเดือนละ 35,000 บาท ลองหารเฉลี่ยดูก็จะตกวันละ 1,166 (ปัดเป็นกลมๆ 1,200 ให้ล้อกับกระทู้ข้างต้นแล้วกัน
)
คุณก็ต้องมาคิดก่อนว่าแล้วเงิน
1,200 บาทเนี่ย
เราจะเอามาจากสินค้ากี่ชิ้น???ถ้าคุณคิดว่าชิ้นละ
20 บาท คุณก็ต้องขายวันละ
60 ชิ้น
ถ้าคุณคิดว่าชิ้นละ
200 บาท คุณก็ต้องขายวันละ
6 ชิ้น
หรือถ้าคุณคิดว่าชิ้นละ
1,200 บาท คุณก็ขายแค่วันละ
1 ชิ้น แค่นั้นเอง
เห็นมั้ยครับ ว่ามันไม่มีอะไรยาก อยู่ที่เราจะวางกลยุทธ์เรายังไง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมาลองดูความเป็นไปได้ และความเหมาะสมด้วยว่าตัวไหนเหมาะกับเรา
มาดูเคสที่ 1 กันก่อนเพราะคุณลองคิดดูนะ ถ้าคุณขายวันละ 60 ชิ้น แล้วคุณเป็นพนักงาน office ไม่ได้อยู่ใกล้ไปรษณีย์ซักเท่าไหร่
คุณจะทำไหวมั้ย ที่ต้องมานั่ง pack ของทุกวัน แล้วก็หอบของไปส่งทุกวัน แค่คิดก็เหนื่อยแล้วนะ
งั้นมาดูเคสที่ 2 กันต่อถ้าคุณขายวันละ 6 ชิ้น ก็สบายๆ พอเป็นไปได้ แพ็คแค่วันละ 6 ชิ้นไม่ได้ยากเย็นอะไร
ส่วนเคสที่ 3สบายโคตรวันละชิ้นเดียวเอง รวม 2 วันส่งทียังได้ สรุปอาทิตย์นึง ส่งของ 3 รอบพอ
เห็นมั้ยครับ เวลามองต้องมองให้เห็นถึงแต่ละขั้นด้วยว่ามันจะกระทบกับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน ทำได้หรือเปล่า
ตัวเลขน่ะมันไม่หรอกเราหรอก แต่เราน่ะ หลอกตัวเองให้งงหรือเปล่าเท่านั้น
แต่ทีนี้ ถ้าดูตัวหัวข้อแล้ว ก็ต้องมาพูดกันซักหน่อยว่า
ไอ้เคสที่กล่าวมาทั้งหมดน่ะ มันเหมาะที่จะ "ขายในประเทศ" หรือ "ต่างประเทศ" มากกว่ากันปัจจัยหลักๆที่อยากให้นำมาคิดกันก็คือ "
เรื่องของปัญหาจากการส่งสินค้า" นั่นเอง
(ผมไม่มานั่งนับเรื่องภาษานะ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่เคลียร์ตอนเริ่มได้ ก็จบแล้ว)
มันก็จะมักจะมี 3 ปัญหาใหญ่ๆคือ
1) ของถึงล่าช้า โดนตาม ก็ต้องไปทำเรื่องตามให้
2) ของหาย ก็ต้องชดใช้ หรือคืนเงิน
3) ส่งของผิด หนักเลยงานนี้
ถ้าคิดว่ามีปัญหา 2% จากจำนวนที่ส่งแล้วกันนะครับ
เคสที่ 1) ขายสินค้า 60 ชิ้น/วัน เดือนนึงก็จะตก 1,800 ชิ้น ก็จะมีโอกาสเกิดปัญหาที่กล่าวข้างต้นได้ 2% = 36 ชิ้น
เคสที่ 2) ขายสินค้า 6 ชิ้น/วัน เดือนนึงก็จะตก 180 ชิ้น ก็จะมีโอกาสเกิดปัญหาที่กล่าวข้างต้นได้ 2% = 3.6 ชิ้น
เคสที่ 3) ขายสินค้า 1 ชิ้น/วัน เดือนนึงก็จะตก 30 ชิ้น ก็จะมีโอกาสเกิดปัญหาที่กล่าวข้างต้นได้ 2% = 0.6 ชิ้น
ดังนั้นใน 1 เดือน...
เคสแรกจะมีปัญหาหนักสุด เพราะของจะมีปัญหาถึง 36 ชิ้น/เดือน ตกปัญหา
1 ชิ้นต่อวัน ปวดหัวตายห่า...
เคส 2 จะมีปัญหารองลงมา เพราะของจะมีปัญหา 3.6 ชิ้น/เดือน ก็ประมาณ
3-4 ชิ้นต่อเดือน ค่าเสียหายที่พอรับได้
ส่วนเคสที่ 3 อันนี้ผมว่าแจ่มสุด เพราะของจะมีปัญหา 0.6 ชิ้น/เดือน หมายถึงโอกาสของหาย
1 ชิ้นต่อเดือน หรือ
"ไม่มีเลย"จากข้างต้นลองมาดูกันก่อนว่าถ้าขาย ต่างประเทศ กับในประเทศ มันจะต่างกันยังไง
มาพูดถึงการขายไปต่างประเทศก่อนแล้วกันเคสแรกนี่ผมว่าปิดไปเลย เลิกขายดีกว่า ทำไปก็ปวดหัว ยิ่งต่างประเทศนี่ยิ่งปวดตับเลย นั่งตามเคสทุกวันนี่ไม่ไหวๆ แค่กรอกข้อมูลตามเรื่องที่ไปรษณีย์ก็อ้วกแล้ว คืนเงินอีกอานเลย
เคส 2 ก็พอรับได้ เพราะขายเดือนละ 180 ชิ้น มีปัญหาแค่ 3-4 ชิ้นพอไหวๆ
แต่ถ้าเป็นเคส 3 คุณอาจไม่เจอปัญหาเลย เพราะโอกาสเกิดแค่ 0 หรือ 1 ชิ้นเท่านั้น
จากทั้งหมด ถ้ามันเกิดที่ต่างประเทศ ขั้นตอนการตามมันจะยุ่งยากพอควร แถมคุณต้อง deal กับลูกค้าอีกต่างหาก
ที่สำคัญ คุณต้องรับเงินทาง paypal ถ้ามีปัญหายังไงเงินโดนดึงคืนแน่นอน แถมถ้ามีปัญหาหนักๆ ลูกค้า report บ่อยๆโดนปิด account ซวยอีก
ดังนั้นถ้าขายต่างประเทศ ผมฟันธงครับ ว่าขายน้อยชิ้น กำไรหนักๆดีกว่า เพราะผมขายแค่ อาทิตย์ละ 5-10 ชิ้นเท่านั้น ทำมา 7 ปี เจอของหายแค่ 1 ครั้ง
มีช้าบ้างซัก 3-4 เดือนเจอที แต่สุดท้ายก็ถึง เรื่องปวดหัวแทบจะไม่มีอันนี้พอมองภาพกันออกนะ
มาพูดถึงการขายในประเทศกันบ้างจากที่บอกในส่วนของการขายต่างประเทศไปแล้ว ถ้ามาเป็นในประเทศมันจะต่างกันแยะครับ เพราะผมก็ขายของในบ้านเราอยู่ เป็นแบบ mass ทำมาประมาณ 7-8 เดือนแล้วส่งไปเกือบ 1,000 ชิ้นแล้ว
ก็เฉลี่ยเดือนละ 125 ชิ้น
ยังไม่เคยเจอปัญหาของหายเลย น่าจะเป็นเพราะส่งในประเทศมัน trace ง่ายกว่าต่างประเทศด้วย แม้จะส่งแบบพัสดุธรรมดา ไม่มีการลงทะเบียน
เพราะ 1 ถ้าของไม่ถึง หรือถึงช้า เราโทรไปเช็คกับไปรษณีย์ปลายทางได้เลย เบอร์โทรทุกที่มีหมด คุยภาษาไทย สบายเช็คง่าย
และถ้าเกิดหายจริงๆ พัสดุ เค้ารับผิดชอบถึง 1,000 บาท EMS รับผิดชอบ 2,000 บาท ก็ไปตรวจสอบกัน ว่าสินค้าราคาเท่าไหร่
ดังนั้นถ้าเป็นในประเทศแล้ว การขายสินค้าแบบ mass ผมว่าจะเหมาะกว่าการขายกับต่างประเทศ เพราะบ้านเรากำลังซื้อไม่ได้ย่อยๆเลย ผมยังงงว่ามันซื้อแยะจัง ตอนแรกไม่กะว่าจะแยะแบบนี้
เงินเราก็ได้รับก่อน เพราะโอนเข้าธนาคาร โอกาสโดนดึงเงินคืนก็ไม่มี แค่ต้องดูเป็นเคสๆว่าจะคืนหรือไม่ (ยังไม่เคยเจอปัญหาแบบนั้นนะ)
แต่ใช่ว่าของแพง ขายน้อยชิ้นทำไม่ได้นะครับ ทำได้เหมือนกัน ขายได้ดีด้วย ลองดูอย่างเฟอบี้ หรือ iphone ที่เป็นข่าวกันสิ กำไรต่อชิ้นเท่าไหร่ คนซื้อเท่าไหร่
ตลาดบ้านเรามันยังสด และมีกำลังซื้ออีกแยะมากๆครับ สรุปคือ...
ในประเทศ เราจะขายแบบ mass หรือขายแบบกำไรหนักๆต่อชิ้น มันทำได้หมด และง่ายกว่าด้วย ดังนั้นลองเอาไปคิดกันดูครับว่าเราจะวางกลยุทธ์ของเรายังไง มันทำได้หมดครับ ทั้งใน และต่างประเทศ
ผมสรุปให้เลยว่า...
ถ้าคุณจะขายต่างประเทศ แนะนำให้ขายน้อยชิ้นกำไรต่อช้ินสูงๆจะดีกว่า มันจัดการปัญหาง่ายกว่าแยะ
ถ้าคุณจะขายในประเทศ คุณขายได้ทุกแบบ ปัญหาจัดการง่ายกว่า แบบ mass ทำได้ดีด้วย (แต่อาจต้องจ้างคนมาช่วย ซึ่งแรงงานบ้านเราราคาถูกหาง่ายมีพอควร)อันนี้ผมเล่าจากประสบการณ์ตัวเองจริงๆ ล้วนๆ ซึ่งผมเจอมาแบบนี้ คุณลองดูแล้วกันว่าคุณจะทำแบบไหน...