ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeนอกเรื่อง ใครเคยคิดจะออกจากบ้านบ้าง(เพราะทะเลาะกับพ่อแม่บ้าง)
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นอกเรื่อง ใครเคยคิดจะออกจากบ้านบ้าง(เพราะทะเลาะกับพ่อแม่บ้าง)  (อ่าน 1558 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
kerorodo
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 84



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2014, 21:33:48 »

ครั้งหนึ่งช่วงวัยรุ่นผมเคยทะเลาะกับที่บ้านรุนแรงจนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน เอาจริงๆแล้วจะเรียกว่าผมหนีออกจากบ้านก็ไม่เต็มปากเต็มคำ ผมทะเลาะกับที่บ้านหนัก ก็ตามประสาวัยรุ่นวัยคะนอง จนพ่อทนไม่ไหวเอ่ยปากไล่ผมเพราะเอาผมไม่อยู่แล้ว เค้าบอกจะไม่ส่งผมเรียนแล้ว ผมจำคำนั้นของพ่อแม่นมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เค้าไล่ผม "จะไปทำงาน ไปเป็นขี้ข้าไปเป็นขอทานอะไรก็เรื่องของมึง เลี้ยงให้ได้ดีเสือกไม่ได้ดี มึงก็ไปตามทางของมึงแล้วกัน"

ด้วยความทะนงตัว ความหยิ่งผยอง ความคะนองในวัยรุ่นของผม เด็กวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองแน่ซะเต็มประดา คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้ว ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากบ้าน หัวจิตหัวใจความรู้สึกของพ่อแม่เรื่องเรียนเรื่องภาระอื่นๆสารพัดถูกตัดออกไปจากหัวหมดสิ้น คิดอยู่อย่างเดียวว่ากูจะไป กูไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว จะไปไหน ไปทำอะไร ไม่มีอะไรในหัวทั้งสิ้น รู้แค่กูต้องไป ... แล้วผมก็ไป

เงินติดตัวมีอยู่ 160 บาท บุหรี่กรองทิพย์ไม่ถึงครึ่งซอง ผมจำวันนั้นแม่นมาก ยืนมึนงงสับสนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พยายามจับต้นชนปลายว่าจะเอายังไงดี ตัดสินใจไปหาเพื่อนสนิทหวังว่าใช้บ้านมันเป็นที่พึ่งหลับนอนได้ซักระยะก็ยังดี แต่ตอนนั้นเพื่อนๆกลุ่มเดียวกันมีปัญหาเหมือนกันหมดจากเรื่องที่พวกเราก่อไว้ เพื่อนผมบอกว่าสถานการณ์บ้านมันก็น่ากังวล เคราะห์ดีที่เพื่อนคนนี้มีทางบ้านมีเงิน มันให้ผมยืมมาสามพันบาท ผมเอาไปเปิดห้องเช่าราคาถูกโกโรโกโสเดือนละแปดร้อย กว้างคูณยาวด้านละไม่เกินสี่เมตร ห้องน้ำรวม ผมวางเงินมัดจำล่วงหน้าหนึ่งเดือน รวมจ่ายไปพันหก เหลือติดตัวพันกว่าบาท

ช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งในฉากบัดซบของชีวิตผม เงินมีเท่านั้นแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร เพื่อนขโมยเหล้าขาวมานั่งดื่มกันไปวันๆ ริลองดมกาวครั้งแรกในชีวิตก็ที่นี่ ชีวิตผมแม่งสวะเต็มตัว

เงินเริ่มร่อยหรอ ทะนงตัวหยิ่งไม่กลับบ้าน สุดท้ายโดนไล่ออกจากห้องเช่าเพราะไม่มีตังค์จ่าย ผมเริ่มกลายเป็นเด็กเร่ร่อน นอนบ้านคนโน้นทีคนนี้ที เกรงใจเค้าไม่มีที่ไปก็ออกไปหานอนตามศาลาวัดบ้าง สวนสาธารณะบ้าง อยากดูดบุหรี่ไม่มีเงินซื้อต้องไปหยิบก้นกรองที่เค้าเสียบทิ้งเอาไว้ตามที่เขี่ยบุหรี่ในห้างเอามาดูด นั่นยังดี เก็บจากพื้นผมก็เคย คุณไม่เห็นสายตาคนที่มองมาในวันนั้นคุณแม่งไม่มีวันเข้าใจและรับรู้ได้ถึงความอายนี้หรอก

บางคนอาจคิดว่าแม่งนิยาย แต่ผมแค่อยากจะบอกว่าชีวิตคนเราบางทีแม่งก็น้ำเน่ายิ่งกว่าละครอีก เพียงแต่คุณอาจไม่เคยประสบมัน มันก็เลยกลายเป็นแค่ฉากหนึ่งในละครหลังข่าว บ้านผมในช่วงนั้นไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน ครอบครัวอบอุ่นดี แต่ที่ผมเป็นแบบนั้นเพราะตัวผมเอง มาจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น

ไม่รู้วันคืนผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ผมเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อย โดยมากจะเป็นวัด หิวก็ไปกินข้าววัด ตกบ่ายก็รับจ้างไปทั่ว ล้างจานบ้าง ช่วยเค้าตั้งแผงเก็บแผงขายของบ้าง แต่ก็ได้ไม่กี่สิบบาท พอซื้อข้าวที่อยากกินได้บ้างเมื่อเบื่อข้าววัด ชีวิตผมไถลไปไหนก็ไม่รู้ ผมนั่งรถไฟไปต่างจังหวัด ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไร ผมเบื่อกรุงเทพผมก็ไป ไปทะเลนอนเอาริมหาด จนสุดท้ายผมไปเป็นเด็กอยู่ร้านให้เช่าจักรยานปั่นที่หาดชะอำ ได้เงินวันละหกสิบบาท แต่เค้าใจดีมีข้าวให้ผมกินมีที่นอนให้ผมนอน ที่นอนก็ตรงเพิงให้เช่าจักรยานริมฟุตบาทถนนชะอำนั่นแหละ เป็นเตียงผ้าใบอันนึงนอนตรงนั้น ตกดึกหลังจากเอาโซ่คล้องรถเสร็จก็ปิดผ้าใบกั้นนอน ก็ได้เป็นส่วนตัวในระดับหนึ่งนะ

ที่เพิงข้างๆจะมีพี่คนนึง เค้าบอกว่ามาจากอุดร เค้าทำเหมือนผม เป็นลูกจ้างร้านจักรยานเหมือนกัน พี่เค้าเหมือนเป็นเพื่อนคนเดียวของผม ตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่อยู่ที่นั่นก็มีเค้านี่แหละที่ชอบเอายาเส้นมาให้ผมดูดยังชีพ แล้ววันนั้น วันที่ผมตัดสินใจกลับบ้าน นั่นก็เพราะพี่คนนี้

"มึงเหงามั้ย"
"เหงาสิพี่"
"ออกจากบ้านมานานแค่ไหนแล้ว"
"น่าจะสี่ห้าเดือนได้แล้วนะพี่"
"คิดถึงบ้านรึเปล่า"
"คิดถึง"
"คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้าน"
"ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่เค้ายังอยากให้ผมกลับไปอีกรึเปล่า"
"มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงมาอยู่ที่นี่"
"ไม่รู้ครับ"
"เพราะกูไม่มีทั้งบ้านและไม่มีใครให้คิดถึงไง พ่อแม่กูตายหมดแล้ว คนแบบมึงนี่ยังน่าอิจฉากว่ากูอีกนะ อย่างน้อยก็ยังมีพ่อแม่ให้คิดถึง"

................ ผมน้ำตาไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว

เช้าวันนั้นผมลาเฮียเจ้าของร้าน ผมบอกเค้าว่าผมจะกลับบ้านแล้ว เฮียให้ค่ารถผมมาสามร้อย ผมเดินไปขอบคุณพี่ที่เพิงข้างๆ เค้าถามผมว่าทำไมถึงจะกลับ เมื่อวานยังไม่มีวี่แวว ผมบอกกับเค้ากลับไปสั้นๆ ... "ผมคิดถึงพ่อว่ะพี่"

ใกล้ถึงบ้าน ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดอะไร ไม่รู้ต้องทำหน้าแบบไหน เค้าจะด่าผมรึเปล่า จะยอมให้ผมเข้าบ้านมั้ย สารพัดคำถามในหัวผมมังประดังเข้ามาเต็มสมองไปหมด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ ผมก็เดินมาถึงหน้าบ้าน

ผมเปิดประตูบ้านเข้าไป พ่อแม่ผมกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ เค้าหันมาหาผม แล้วคำแรกที่เค้าพูดคือ ..... "หิวมั้ย กินข้าวมารึยัง มากินข้าวมา"

ไม่รู้ว่าความหยิ่งทะนงทุกอย่างมันหายไปไหนจนหมดสิ้น ผมร้องไห้ออกมาแบบไม่มีอะไรต้องหยิ่งหรืออายอีกแล้ว ทุกอย่างที่ผมกังวลและหัวมาตลอดเวลาไม่ต้องหาคำตอบอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันหายไปหมด รับรู้ได้เพียงอย่างเดียวถึงความรู้สึกที่ว่าเค้าห่วงผมขนาดไหน

ผมมารู้ตอนหลังว่า แรกๆที่ผมหายไป พ่อแม่ผมก็รู้ว่าผมเช่าห้องอยู่ที่ไหน แม่ผมจะมาตามแต่พ่อผมบอกว่าดัดนิสัยมันบ้าง จนสุดท้ายผมโดนไล่ออกจากห้องเช่านั้นผมก็เตลิดไปเรื่อย ไปนู่นไปนี่ไม่มีหลักแหล่ง มือถืออะไรก็ไม่มีในสมัยนั้น จนเค้าไม่รู้ว่าผมหายไปไหนอีก พ่อกับแม่ผมพยายามตามหามาตลอด ไปบ้านเพื่อนทุกคน โทรหาทุกเบอร์ที่รู้ แต่ก็หาผมไม่เจอจนไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่รอ รอ และรอ

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะมีสองสิ่งอยู่ในหัวผมตอนเขียนเรื่องนี้ เรื่องแรกคือวันนี้มีญาติคนนึงเป็นลูกพี่ลูกน้องโทรมาหาผมจากนิวซีแลนด์ เค้าไปทำงานที่นั่น โทรมาพูดคุยทั่วไปแล้วก็ดันเอ่ยกับผมว่า "คิดถึงบ้านจัง" ความรู้สึกคิดถึงบ้านของผมในวันนั้นเลยพุ่งขึ้นมาจากที่มันจมหายไปจนเกือบลืม กับอีกเรื่องนึงคือ มีน้องคนนึงส่งข้อความส่วนตัวมาหาผม ก็ปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป แล้วก็บอกว่า ทะเลาะกับที่บ้านหนัก อยากออกจากบ้านไปเผชิญชีวิตด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่อยากอยู่กับครอบครัวอีกแล้ว ไม่อยากจะแบมือขอเงินเค้าเรียนอีกแล้ว เมื่อบวกกันสองเรื่องจึงออกเป็นเรื่องนี้ของผมขึ้นมา

ผมไม่เคยห้ามคนที่จะทำงานส่งตัวเองเรียนเลย ผมออกจะส่งเสริมและชื่นชมด้วยซ้ำที่เด็กคนนั้นเป็นคนเก่ง ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองส่งตัวเองเรียนได้ แต่คุณจะมั่นใจขนาดไหนว่าความรู้สึกที่คุณออกจากบ้านมามันคือความรู้สึกนั้นจริงๆ ความรู้สึกที่อยากจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองจริงๆ หรือเพียงเพราะกำลังประชดพ่อแม่ หรือมีอคติอะไรในจิตใจอยู่กันแน่ ถ้าความรู้สึกนั้นมันทำเพียงเพราะประชด ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจหรือความอยากยืนด้วยลำแข้งตัวเองจริงๆ คุณทำไม่ได้หรอก

หน้าที่คุณคือเรียนหนังสือ คุณทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ผมอาจจะพูดได้ว่าสำหรับเด็กๆหลายคนคุณยังไม่มีปัญญาไปทำอะไรได้ด้วยตัวเองมากมายนักหรอก สุดท้ายคนที่ต้องพึ่งก็คือพ่อแม่ ต่อให้เราไม่ผิดผมก็แนะนำให้ทนครับ ทนไปให้ถึงที่สุด เพราะผมพูดได้เลย ชีวิตที่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ทมันคือชีวิตที่สบายที่สุดแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเกาะเค้าแดกไปตลอดชีวิต เพียงแต่มันยังไม่ใช่วัยที่คุณจะทำ คุณทำหน้าที่คุณไป แล้ววันนึงสิ่งที่เค้ามอบให้คุณนี่แหละมันจะทำให้คุณยืนได้เองในวันข้างหน้า เพียงแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ ยัง และ อย่าทำ ...

by เสด็จพ่ออนันดา

ปล.เป็นเรื่องเตือนใจซึ่งตอนนี้ผมก็เป็น เกือบหลวมตัวแล้วดีนะเจอบทความดีๆ Tongue
บันทึกการเข้า
verysims
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 151
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,468



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2014, 15:48:34 »

โลกแห่งความจริง ช่างแสนโหดร้าย Tongue
บันทึกการเข้า

Lunifer
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 72
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,277



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2014, 19:47:17 »

เคยครับ ไม่สนุกอย่างที่คิด แต่ผมหาเงินเองตั้งแต่ ม.ปลาย ทุกอย่างเลยรู้สึกว่า ลำบากแค่นนี้ไม่เท่าไหร่
บันทึกการเข้า

DePe
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 251
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 669



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2014, 20:20:56 »

ผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่ 14 ... กลับเข้าบ้านตอน 16 นอนป้ายรถเมล์ เก็บเสื้อกันหนาวเก่าๆจากคนลืมทิ้งไว้มาใส่

ติดอาหารทะเลครับช่วงนั้น(หอย)

ก็ได้ประสบการณ์สายมืดเยอะนะครับ แต่แลกกับความเสียใจและกังวลใจของพ่อแม่ไม่ได้เลยครับผม  Tongue
บันทึกการเข้า

ขี้โม้ มีอยู่ 2 ประเภท
1.โม้ไปวันๆ
2.โม้แล้วดันทำได้จริง
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์