ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ พอดีเห็นบทความนี้สกิดใจผมเลย
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังจะก้าวออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือน ไม่ได้จะออกเพราะจะมาทุ่มให้กับ im ด้วยความเด็มใจนะ แต่เป็นเพราะ บ. กำลังจะเจ้งครับ ประกอบกับอยากลุยงานของตัวเองดูสักตั้ง ตอนนี้เลยทยอยเงินส่วนที่ได้จากงานเสริม (aff+im+ecom ซื่อปัจจุบันได้ประมาณกำไรหักต้นทุนได้ประมาณ 70% ของเงินเดือน) มาทำร้านเล็กๆ จ้างคนขายหน้าร้าน ติดกล้องวงจรปิด สั่งงานทางโทรศัพท์ ทำระบบเองรายงานผลทางโทรศัพท์แบบ real time รวมๆก็ไปได้สวย และคิดว่าหลังจากออกงานแล้ว จะควบหน้าร้านเข้ากับงาน im ที่ทำเป็นงานเสริมปัจจุบันนี้ด้วย ซึ่งหน้าร้านถูกทำมาเพื่อเป็นส่วนขยายของ im อยู่แล้ว
ส่วนตัวผมคิดว่า อีกจุดหนึ่งที่ทุกคนมองข้ามเวลาจะผันตัวจากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นธุรกิจส่วนตัว คือการทำใจ อยู่ในที่ทำงาน เราอาจจะได้รับความเกรงใจ ความชื่นชม โดยหน้าที่การงาน โดยตำแหน่ง ที่ดูเท่ และดูมีอันจะกิน หรือด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ที่สามารถบอกใครต่อใครได้ว่า เฮ้ย...ฉันก็เก่ง ฉันก็มีดีนะเว้ยเฮ้ย แต่เมื่อออกมาทำธุรกิจส่วนตัว คุณรับได้ใหม ที่คุณทั่วไปจะรู้จักคุณในนาม พ่อค้าธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ(ไม่รวมกับงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะด้าน เช่น หมอ,วิศวะ,ช่างเทคนิคต่างๆ) ดูไม่มีความรู้ ดูไม่เท่ บ้างครั้งโดนด่า บ้างครั้งโดนโกง ก็ต้องทนยิ้มให้ได้ และก็อยากมั่วคิดเข้าข้างตัวเองด้วยล่ะว่า "เฮ้ย...ด่าตรูอยู่ได้รู้หรือเปล่าตะก่อนตรูทำงานอะไร ตรูเป็น...เชียวนะเว้ยยย" เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ส่วนตัวรับผมรับได้ ไม่ค่อยสนเรื่องตำแหน่ง หรืออะไรพวกนี้เท่าไร สนแต่เงิน(แบบสุจริต)ที่เข้ากระเป๋าแค่นั้น
**หมายเหตุปัจจุบันผ่อนรถ,ค่าใช้จ่ายในบ้าน,พ่อแม่,น้องเรียนอยู่ และ เมีย(อันนี้น่ากลัว) ต่อเดือนใช้เงินในส่วนของ aff+im+ecom+หน้าร้าน แต่ต้องประหยัดหน่อย ส่วนเงินเดือน(ที่ไม่รู้จะได้ถึงเดือนใหน)ฝากประจำ ซื้อกองทุนบ้าง ทองบ้าง บ้างเดือนได้น้อยก็ต้องโยกไปใช้จ่ายในส่วนของรายเดือนบ้าง
สรูปชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป