เมื่อกี้ถามคำถามไปมีคนมาตอบก็พอจะเข้าใจขึ้นอีก ทีนี้สงสัยอีกแล้ว ^^'
เข้าใจว่า การขุดบิทคอน เหมือนการพิพม์แบ๊งใช่ไหมครับ โดยมี algorithm ควบคุมปริมาณบิทคอนไม่ให้มากเกินไป ( เหมือนอเมริกาพิมพ์แบ๊งได้เอง แต่ไม่พิมพ์มากเกินไปเพราะเดี๋ยวมูลค่าลดลง)
หากใช่ คนที่ขุดบิทคอน คือคนที่พิมพ์แบ๊งได้เอง ซึ่งต่อไปก็จะพิมพ์ยากเพราะขุดได้ยาก ก็จะควบคุมปริมาณบิทคอนในตลาดไม่ให้มากเกินได้ (supply ไม่มากเกินไป) แต่ทีนี้ระบบเศรษศาสตร์ตลาดบิทคอน จะเป็นแบบนี้ถูกไหม ถ้าผิดบอกได้นะ อันนี้ตอบตามความเข้าใจ
คนพิมพ์แบ๊ง = คนขุดบิทคอน = ธนาคารกลางสหรัฐ
คนทั่วๆไป = (ปกติ) ไม่สามารถขุดบิทคอนได้เอง = ประชาชนทั่วไป
กลายเป็น คนขุดบิทคอนสามารถพิมพ์เงินได้เอง ซึ่งค่อยๆเพิ่มขึ้น ค่อยๆมีความมั่งคั่งขึ้น แล้วก็สามารถซื้อของที่จ่ายด้วยบิทคอนได้
ฝั่งคนทั่วๆไป ก็ต้องยอมรับการมีค่าของบิทคอนก่อน โดยยอมขายของราคาไม่แพงออกไปก่อนเช่น ก๋วยเตี๋ยวราคา 100 บาท แต่จะต้องจ่ายมูลค่าบิทคอนเทียบเท่า (ตามความรู้สึก) ในราคาสูงถึง 140 บาทก่อน คือคนขายของยอมเสี่ยงที่จะรับเงินสกุลใหม่แต่ต้องให้ราคาแพง
แล้วก็ให้มีธุรกรรมขายของแล้วรับเงินด้วยบิทคอนแบบนี้ให้มากๆ และเป็นวงกว้าง จนทุกๆคนมีบิทคอนเป็นของตนเอง เหมือนเงินทั่วๆไป ที่คนปกติไม่สามารถพิพม์แบ๊งได้เอง แต่จะมีธนาคารหลายแห่ง (หลายคนที่มีคอม) พิมพ์ให้
ส่วนเงินเฟ้อบิทคอนก็ควบคุมด้วย algorithm ซึ่งปริมาณเงินก็จะมากขึ้นอย่างช้าๆ จนถึงจุดนึงที่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์มูลค่าสูงจนไม่คุ้มที่จะลงทุนมาขุด ตอนนั้นปริมาณเงินในตลาดบิทคอนจะค่อนข้างคงที่หรือเพิ่มอย่างช้าๆ
ถ้าตรรกกะแบบนี้ถูก คนที่ขุดบิทคอนตอนนี้ คือคนที่พิมพ์เงิน และสะสมเงินอยู่ และหากอนาคตบิทคอนได้รับการยอมรับจริง บิทคอนที่ตัวเองถืออยู่ก็จะมีค่ามหาศาล ตามหลัก ดีมานซับพลาย
ถ้าว่าด้วยระบบเศรษฐศาสตร์ ผมเข้าใจถูกป่ะ
ใช่ครับ
ถ้าบิทคอย ได้รับการยอมรับ มูลค่าก็จะขึ้น ที่เห็นราคาผันผวนตอนนี้ เพราะยังหาจุดตัดของดีมานกับซัพพายไม่ได้ครับ มีประเทศยอมรับบ้างไม่ยอมรับบ้างประปราย
สงสัยนะครับว่าอะไรคือตัวที่กำหนดให้มันเฟ้อมันไม่เฟ้อ ให้มันขุดง่ายขุดยาก มันคืออะไรครับ ไครเป็นคนคิดค้น ผม งงๆ ว่ามันมีมาได้ยังไง
ขอแปะลิ้งหน่อยนะครับ
http://www.blognone.com/node/47074 BitCoin คือเรื่องของ Peer-to-Peer
แม้ธนาคารจะทำหน้าที่ได้ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่มีหลายกรณีที่ธนาคารทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก ประเทศที่ขาดเสถียรภาพอาจจะมีธนาคารทำออกนโยบายแปลกๆ เช่น การยึดเงินในบัญชี, การอายัดบัญชีที่รัฐบาลพอใจ, ตลอดจนการปล่อยเงินออกมาในระบบมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อ, ธนาคารเองบางครั้งก็ยกเลิกการโอนได้
นักวิจัยนิรนามที่ใช้ชื่อ Satoshi Nakamoto ประกาศว่าเขากำลังออกแบบระบบเงินที่ไร้ศูนย์กลาง (decentralized) อย่างสมบูรณ์ และเปิดเผยการออกแบบทั้งหมดออกมาในปี 2009 ในชื่อ BitCoin
การออกแบบทำให้ BitCoin มีคุณสมบัติพอที่จะทำหน้าที่แทนธนาคาร ได้แก่
สามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ ทุกคนในระบบ BitCoin สามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ด้วยตนเอง เป็นการสร้างกุญแจสาธารณะและกุญแจส่วนตัว กุญแจสาธารณะกลายเป็นหมายเลขบัญชีของแต่ละคน กุญแจส่วนตัวนี้สามารถใช้ยืนยันข้อความอะไรก็ได้ว่าเจ้าของบัญชีเป็นผู้ส่งความจริง
ตรวจสอบจำนวนเงินของทุกบัญชีได้ เมื่อได้รับหมายเลขบัญชีมา เราสามารถเข้าดูฐานข้อมูลได้ทันทีว่ามีเงินในบัญชีนั้นๆ เท่าใด พอที่จะจ่ายค่าบริการหรือสินค้าให้กับเราหรือไม่
บันทึกการโอน ทุกครั้งที่มีการโอน ข้อมูลการโอนจะถูกกระจายไปทั่วเครือข่ายให้ทุกคนรับรู้ร่วมกัน
https://www.blognone.com/node/35180 การคำนวณค่า nonce และแฮชของแต่ละบล็อคนั้นเป็นงานที่มีต้นทุนสูงเพราะต้องใช้ไฟฟ้าและเครื่องที่แรงจึงคำนวณได้รวดเร็ว หลายค่ายสร้างชิปเฉพาะสำหรับการคำนวณค่าบล็อค กระบวนการนี้มีแรงจูงใจระบุให้ผู้ที่สามารถคำนวณ ค่า nonce และแฮชได้สำเร็จ สามารถประกาศนำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้ 50 BTC (มูลค่าปัจจุบ้นคือ 600 ดอลลาร์หรือเกือบสองหมื่นบาท) เงินจำนวนนี้จะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ทุกๆ 210,000 บล็อคที่คำนวณได้ กระบวนการนี้เป็นแนวคิดที่จะจำกัดจำนวน BitCoin ไม่ให้เกิน 21,000,000 BTC
model เบื้องต้นผมว่า
เหมือง --- ขุดทอง --- ขายทอง
asic --- ขุดบิทคอย --- ขายบิทคอย