ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปEbay | PayPalวันเบาๆ กับแง่คิดในการขายสินค้าไทย
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วันเบาๆ กับแง่คิดในการขายสินค้าไทย  (อ่าน 129220 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
trudy
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 518
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,237



ดูรายละเอียด
« ตอบ #100 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2013, 21:10:23 »


ถ้าลอง seach ดูสินค้าบน ebay หรือ etsy หมวด carving wood lamp จะเห็นชิ้นงานโคมไฟแกะสลัก ราคาขายรวมค่าส่งมีตั้งแต่ 1000 ถึง 5000 บาท รูปแบบการผลิตชิ้นงานเท่าที่ดูมันออกแนว commercial พอสมควร แต่สินค้าตัวที่เราเตรียมเอาขึ้นขาย เป็น Otop แถวอีสาน งาน art ลายไทยล้วนๆ ผู้ผลิตขายส่งให้เราชิ้นละ 500-700  บาท เรากะจะเอาขึ้นขายประมาณ 2-2,500 บาท(รวมค่าส่งแล้ว)

งาน handmade ชิ้นแรกที่เราเอาขึ้นขาย ตอนนี้มันขายได้ทุกวัน แต่ได้ออร์เดอร์จากอเมซอนเป็นส่วนใหญ่ ออร์เดอร์จากอีเบย์มีทุกวัน แต่ไม่มาก ความรู้อีเบย์เรายังอยู่ในระดับอนุบาล กำลังพยายามเรียนรู้อยู่เหมือนกันค่ะ สินค้าชิ้นแรกเราขายได้ทุกวัน จำนวนออร์เดอร์ไม่หวือหวา แต่ได้จำนวนออร์เดอร์ใกล้เคียงกันทุกวัน ตอนนี้เราก็มองว่าสินค้าชิ้นนี้เริ่มไปได้ เราสั่งผลิตล็อตที่สองไปอีก 4 แสนบาท ช่วงแรกเราตั้งเป้าสั่งผลิตอยู่ในช่วง 3-5 แสนบาทคงที่ทุกเดือน ลองคำนวณดูว่าคนผลิตชิ้นงานให้เรา เค้าจะได้ออร์เดอร์คงที่ขั้นต่ำวันละ 10,000 บาท กำไรที่หักต้นทุนแล้วต่อเดือนน่าจะมีโอกาสได้ถึงหนึ่งแสนบาท ผู้ผลิตน่าจะมีกำลังใจในการผลิตชิ้นงานให้เราพอสมควร ออร์เดอร์ไม่หวือหวา ผู้ผลิตก็ผลิตตามปกติ ยังไม่ต้องขยายกำลังผลิต ต่อไปเราก็จะค่อยๆขยายตลาด ให้ผู้ผลิตค่อยๆปรับตัวเพื่อเพิ่มกำลังผลิต ตอนนี้เราเริ่มหาลูกค้าที่จะมาเป็น reseller ในต่างประเทศ ทำไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เตรียมเอาชิ้นงานตัวใหม่ขึ้นขาย

ถ้าใครอยู่ใกล้ผู้ผลิตสินค้า ถือว่ามีโอกาสที่ดี อาจแค่ไปขอถ่ายรูปเพื่อโพสต์ขายก่อน ยังไม่ต้องสั่งผลิตจำนวนมากในช่วงแรก (นี่คือรูปแบบการดรอบชิปแบบหนึ่ง) อย่าลืมเช็กเรื่องลิขสิทธิ์ตามที่คุณ Trudy แนะนำนะคะ สำคัญมาก ไม่ควรมีประวัติเสียในเรื่องพวกนี้

ข้อดีที่ช่วยให้เราขายสินค้าได้ง่ายอย่างหนึ่งคือ ความรู้ด้านการขนส่ง ช่วยลดปัญหาได้เยอะพอสมควร เราได้ลูกค้าจากประเทศที่เราไม่คาดว่าเค้าจะซื้อของออนไลน์กัน อย่าง อิรัก จอร์แดน ลัทเวียร์ โคลอมเบีย ชิลี เปรู  อย่างการส่งสินค้าไปรัสเซีย shipping agent บางรายยังมาขอให้เราทำให้ เราก็เก็บกำไรไปตามระเบียบ

การที่เราจะลงทุนอะไรก็ตาม ต้องทำการศึกษาหาข้อมูล เก็บรายละเอียดงานให้ครบ ตัวอย่างที่เราเล่าให้ฟัง ฟังดูเหมือนง่าย น่าจะใช้เวลาไม่มาก แต่การจะเอาสินค้าแต่ละชิ้นขึ้นขาย เราใช้เวลาศึกษากับมันมากพอสมควร ศึกษารายละเอียดทุกแง่มุม คาดเดาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและหาทางป้องกันไว้ก่อน การขายสินค้าไทย ช่วงแรกจะค่อนข้างเหนื่อย อีกคำแนะนำคือถ้าอยากรู้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็ลองดูสถิติการส่งออกค่ะ อาจได้ไอเดียพอสมควร


อ่านกระทู้นี้มาพักนึงแล้ว ชอบแนวคิดกับวิธีการทำงานของคุณ April มากครับ + ให้อีก 1 ครับ เพราะปกติ คนเรามักไม่ยอมลงมือ หรือไม่ก็เลิกกลางทางซะก่อน แต่ที่อ่านนี่ มีปัญหาก็ค่อยๆแก้ไป ทำไปเรื่อย ผ่านไปทีละขั้น  มันหลักการง่ายๆครับ ปัญหาแยะๆใหญ่ๆ ก็ย่อยมันลงเป็นทีละชิ้นแล้วก็แก้ไปทีละขั้น ถ้าเรามองภาพใหญ่อย่างเดียวบางทีมันท้อ แล้วเลิกได้ครับ

แถมวิธีคิด ก็ดีมาก ค่อยๆปรับเก็บคู่ค้า ผู้ผลิตไว้กับเรา นี่แหละครับ ที่จะทำให้เราอยู่ในตลาดได้ในระยะยาว

ที่จะแนะนำเพิ่มคือ พยายามสร้างความต่างของผลิตภัณเราด้วย เพราะความต่างแค่นิดเดียว มันทำให้เราขายได้ แต่คู่แข่งขายไม่ได้ ผมลองมาแล้ว ไม่ใช่แข่งด้านราคาอย่างเดียว
ไม่ใช่แค่คนไทย พวกเล่นง่ายๆก็ลดราคา คิดได้อย่างเดียวคือลดราคา wanwan015

คิดง่ายๆ ก็จบง่ายๆ ตายไป คนซื้อได้เต็มๆ แต่ไอ้คนขายเฮงซวยมาทำลายตลาดพอไม่เวิร์ค พาคนอื่นตายด้วย ดังนั้น สร้างจุดต่าง และสินค้าคุณจะพิสูจน์ตัวมันเองครับ

เราก็เห็นด้วยว่าคุณ April รอบคอบดีจังทำธุรกิจค่อยๆมีกำไรอย่างมั้นคง และคุณ Loc,know ว่าอย่าขายของคัดราตา รายได้ส่วนหนึ่งขอวเราเป็น Supplier ให้กัยคนขายอีเบย์ใน US ส่วนหนึ่ง
ขายของออกได้เร็ว
เราจะมี message ในแต่ละ รายการสินค้าว่า If you'd like to purchase in bulk, I 'll give you a special discount.
เตยมีลูกค้าที่ US บอกว่าถ้าฉันซื้อของเธอเยอะ เธออย่าขายของตัดราคาได้ไหม wanwan011
เราก็บอกว่าได้ ไม ต้องกังวล เราไม่ขายของตัวนี้บน eBay ไปขายที่ etsy แทน wanwan007 wanwan007
อีกหนึ่งวิธีขายคือเอาคู่แข่งบน eBay เป็นพันธมิตร เรา สินค้าจะได้ราคาดี wanwan003

มาถึงน้องใหม่ที่โดน Limit ขายสมมต 100 รายการต่อเดือน น้องต้องกลับไปเช็คดูว่า ใน 100 ห็รายการนี้ ขายของออกกี่รายการ อย่าตะบึ้ตะบันลงขายของแบบไม่วิเคราะห์
เดี๋ยวจะมาบอกทีหลังว่าก้าวข้ามอย่างไร wanwan016 wanwan016

เทคกะนิค แยบยล จิงๆเลยฮาฟ อ่าน 3 ก๊กมาป่าวเนี่ย  wanwan012
เขาว่าคนที่อ่านสามก๊กจบ เป็นคนคบไม่ได้ เจ๊ไม่ได้อ่านสามก๊กจบแต่ดูหนังชุดสามก๊กจบไม่รู้จะคบได้หรือเปล่า Embarrassed

มาดูวิธีที่คุณ April เขาทำธุรกิจเขาทำการบ้านมาค่อนข้างดี คื :wanwan016:อ
มาวิเคราะห์ตัวสินค้า
1 หาสินค้าที่ทำกำไรมาขาย
2 สินค้านี้ขายได้กำไรเท่าไหร่ /  1 หน่วย
3 ใน 1 เดือนเขาจะขายสินค้าตัวนี้ได้กี่ชิ้น
4 คุณ April หวังว่าจะได้กำไรขั้นต่ำ 1 แสน UP ใน 1 เดือน
ตรงนี้น้องจับจุดได้หรือยังว่าสินค้าที่จะขายบนร้านใน eBay ควรจะเป็นสินค้าประเภทใด wanwan005

กำไร = ยอดขาย – ต้นทุน
1 สินค้าที่คุณ April นำมาขายบน eBay เป็นสินค้าที่ขายได้ตลอดทั้งปี ไม่ตกรุ่นคู่แข่งน้อยไม่มีการทำสินค้าลอกเลียนแบบขาย
2 สินค้าที่ขายมีกำไรมากกว่า 100 %
3 สินค้าที่ขายคาดว่าขายออกวันละ 5 ชิ้น กำไรชิ้นละ $40
   1 เดือนขายได้ 150 ชิ้น กำไรทั้งหมด $6000 เป็นเงิน 180,000 บาท ฝรั่งเรียกตัวเลขนี้ว่า Arbitrate Opportunity
เกิดจากการเอาจำนวนครั้ง(จำนวนชิ้น) ของสินค้าที่คาดว่าจะขายได้ใน 1 เดือนx กำไรต่อหน่วย
wanwan004 wanwan004

ส่วนตัวของพี่จะเอาสินค้าลงขายในร้านค้าสัก 1 รายการก็ต่อเมื่อสินค้านี้ทำกำไรอย่างน้อย$600 / 1 เดือน wanwan002
เพราะพี่มีข้อจำกัดเรื่องแรงงาน แรงงานประจำคือพี่คนเดียว wanwan022
ของพี่เป็นร้าน Basic Store  ซึ่ง eBay ให้ลงสินค้าได้ 150 รายการใน 1 เดือน
ดังนั้นกำไรของพี่ควรจะเป็น $600 x150 = Huh??? คือ รายได้ที่ดีที่สุด
ดังนั้นน้องที่บอกว่า เบื่อที่โดน eBay limit การขาย   
สิ่งที่น้องควรทำควรไปหาสินค้ามาขายเป็นสินค้าที่ให้ ค่า Arbitrate Opportunity เยอะๆ


ที่พี่เขียน Arbitrate Opportunity เพราะว่าบางคนอาจจะไปเรียนคอร์ส dropship ที่พี่เห็นค่าอบรม 9,000 บาท
ซึ่งเขาจะมีหัวข้อ Arbitrate tools คือวิเคราะห์สินค้าที่ได้ กำไร ดี
ลอง login เข้าไปใน eBay ใน หลายๆประเทศ  สินค้าอะไรขายดีwanwan007 wanwan007
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤศจิกายน 2013, 21:28:57 โดย trudy » บันทึกการเข้า

รับส่งด่วนสินค้าไป USA ราคาถูก รับแก้ปัญหา eBay&Paypal บริการเปิดบัญชี  สร้าง Feedback แก้ Suspension
บริการ แก้ปัญหา Paypal Limit และปลด Limit Sales จาก eBay รับเขียน Title & Product Description
ebizsl007
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 31
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



ดูรายละเอียด
« ตอบ #101 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2013, 00:54:40 »

สวดยอดฮาฟ  wanwan003
บันทึกการเข้า

เธอคือแรงของใจ ที่ผลักให้ฉันต้องฟันผ่า ดั่งแสงในคืนอ่อนล้าที่ส่องหัวใจ

เป็นผู้ชนะทุกวินาที จะมีความหมายใด จะเอาชนะทุกอย่างเพื่อใคร ถ้าไม่มีเธอสักคน   Cool

What if you had a second chance at true love?
from "Letters to Juliet" the movie
maniacadsense
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 40
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 491



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #102 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2013, 01:00:54 »

กระทู้นี้ดีเยี่ยมเลยครับ ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์ครับ
บันทึกการเข้า

lattlatt
Verified Seller
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 86
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 852



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #103 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2013, 10:21:16 »

ตามอ่านอยู่ทุกวัน มีประโยชน์มาก
บันทึกการเข้า

April07
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 93
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 680



ดูรายละเอียด
« ตอบ #104 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 11:46:40 »

ต่อค่ะ
อาจจะเป็นกระทู้สุดท้ายที่เราจะเขียน งานยุ่งจริงๆค่ะ เขียนแบบสรุปนะคะ ส่วนวิธีการขาย เราคิดว่าคุณ Trudy อธิบายได้ดีกว่าเรา ละเอียด ชัดเจนดี

สาเหตุที่เราเลือกขายสินค้าไทยคือ เราต้องการตัดคู่แข่งจากประเทศอื่นออกไป ดูจากสถิติการส่งออก จะเห็นว่าสินค้าไทยมันขายได้ในเกือบทุกประเทศ สินค้าก็อยู่รอบๆตัวเรา แต่เรามองผ่านมันไปเท่านั้นเอง ถ้าตัดคู่แข่งจากจีน ฮ่องกง ออกไปได้ ที่เหลือก็ไม่ใช่คู่แข่งของเรา จุดอ่อนของคนไทยคือเรื่อง customer service ระบบการให้ feedback ของ Ebay กับ Amazon แตกต่างกัน โอกาสที่จะได้ negative feedback จาก Ebay จะน้อยกว่าจาก Amazon รวมถึงการถอน feedback ก็ทำได้ง่ายกว่า เราจึงชอบขายที่ Amazon มากกว่าเพราะคนไทยพอเปิดขายที่ Amazon ไปได้ซักพัก feedback ก็จะค่อยๆลดลงไปเอง

ในการหาสินค้า เราเริ่มจากการ survey แบบกว้างๆ เริ่มจากตัวเรา สิ่งที่ใกล้ตัวเราแล้วค่อยๆขยายขอบเขตออกไป เมื่อได้ลิสต์สินค้าที่น่าสนใจ หลังจากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ต้นทุน กำไร คู่แข่ง วิธีการขาย และจัดทำเรทติ้งสินค้า เพื่อจัดลำดับว่าเราจะเริ่มขายสินค้าตัวไหนก่อน

เมื่อได้สินค้าแล้ว วิธีการขายก็อ่านจากกระทู้ของคุณ Trudy ต่อได้เลยค่ะ ที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจสินค้าที่เราจะขาย จะเขียนอธิบายอย่างไร และต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ต้องรู้ว่าลูกค้าจะ search หาสินค้าของเราอย่างไร

สำหรับตัวเราเอง ไม่ได้มีเทคนิกพิเศษอะไรเลย แต่คนที่มีปัญหาคือคู่แข่งของเรา ขายๆไป feedback ก็ลดลงเรื่อยๆ จะขายตัดราคายังไงก็ไม่กระทบกับเรา ครูของเราก็คือ Ebay store เวลาว่างนอกจากอ่านหนังสือแล้วเราก็ชอบวิเคราะห์ store ของคนอื่น ฝึกอ่านต้นทุนของสินค้า ไม่ว่าจะเดินห้าง จะไปเที่ยว จับของซักชิ้น ก็มักจะมองไปถึงต้นทุน ที่มาของสินค้า สิ่งเหล่านี้มันเป็นความชอบส่วนตัว ที่อาจจะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น

ถ้ามองเห็นช่องทางหรือโอกาส แต่ไม่รีบคว้าเอาไว้ หรือไม่รีบทำ โอกาสมันไม่อยู่รอเรานะคะ คนที่เข้าตลาดไป เค้าย่อมหาทางปิดช่องทางไม่ให้คนอื่นตามเข้ามา

สาเหตุของการไม่ประสบความสำเร็จอาจมาจากจุดเล็กๆคือการเชื่อโดยขาดการพิจารณา ขาดจินตนาการ ใครสอนใครเล่ามา อ่านหนังสือ อ่านบทความ ก็เชื่อเลยว่าใช่ ปัจจุบันมีการรับจ้างเขียนบทความ ทำวีดีโอสอนเพื่อเอาค่าโฆษณา มีงานเขียน มีสื่อที่ด้อยคุณภาพเพื่อทำ SEO  ทำให้มีบทความซ้ำๆมากมาย อาจทำให้เรื่องบางเรื่องกลายเป็นประเด็นสำคัญ ยกตัวอย่างการทำสินค้าเราให้ติดอันดับต้นๆใน Amazon หลายๆบทความ ก็เขียนเน้นเกี่ยวกับ long-tail keyword, long-tail keyword เป็นผลจากสถิติ ที่แนะนำให้ใช้ keyword 3 คำ ซึ่งเราคิดว่าเพราะมันยังมีโอกาส match กับคำที่ลูกค้า search และยังให้ค่า index สูงสุด แต่ถ้าใช้ keyword 4 คำ แล้ว match ค่า index ย่อมสูงกว่า 3 คำแน่นอน ดังนั้นถ้าเราเข้าใจสินค้า เข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การทำสินค้าให้ติดอันดับต้นๆไม่ยากเลย  การทำให้สินค้าเราติดอันดับต้นๆ ขั้นแรกปัจจัยพื้นฐานต้องดี สินค้า การนำเสนอ การขนส่ง และการบริการดี เมื่อพื้นฐานดี ตัว keyword ก็จะเป็นปัจจัยเสริมที่ดี เราต้องเลือกวางตำแหน่งคำให้ถูก คำไหนควรวางไว้ในส่วนของ keyword search คำไหนต้องวางไว้ที่ title

สิ่งที่ Ebay แนะนำในการทำลิสติ้ง เพื่อให้ติดอันดับใน best match ก็เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าทั้งหมดที่แนะนำคือเพื่อทำให้มีโอกาสได้ order  สิ่งที่มีผลมากกับอันดับคือ order หรือโอกาสที่จะได้ order  สิ่งที่ Ebay แนะนำเป็นการแนะนำทั่วๆไป เพราะสินค้าบน Ebay หลากหลายมาก  จึงไม่สามารถลงรายละเอียดสำหรับสินค้าแต่ละชนิดได้ ถ้าเราเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หาวิธีดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าที่ Ebay แนะนำ นั่นคือโอกาสของสินค้าเราที่จะขึ้นหน้าแรกมากกว่าคนอื่นเช่นกัน  เมื่อมี order ก็จะมี factor เข้ามาคูณ ทำให้อันดับใน best match ดี 
บันทึกการเข้า

กำลังนอนกลางวัน
April07
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 93
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 680



ดูรายละเอียด
« ตอบ #105 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 11:49:37 »


ลองหาหนังสือ negotiation มาอ่านดูค่ะ ไม่เอาหนังสือแปล หรือ pocket book, how to book ที่มีขายตามร้านนายอินทร์ ซีเอ็ด นะคะ เอาเล่มที่เป็นตำราเรียน อย่างของ Lewicki

ไม่เคยมีชิปเมนท์ ไม่เคยขายของมาก่อนก็ยังดีลได้ ถ้างั้นจะมีจุดเริ่มได้ยังไงคะ เราไม่เคยส่งพัสดุย่อยเลย เริ่มขายครั้งแรก เราก็ใช้ DHL Express


ที่ว่ามาใช่พวกนี้หรือเปล่าครับ


https://www.se-ed.com/product/...m=3&utm_campaign=WebSearch

https://www.se-ed.com/product/...m=2&utm_campaign=WebSearch






เล่มที่เรามีเป็นสีฟ้าค่ะ น่าจะเป็นเล่มเดียวกัน แต่คนละ edition เราซื้อจากศูนย์ฯหนังสือจุฬา เมื่อหลายปีก่อน ราคาราวๆ 600 บาท


บันทึกการเข้า

กำลังนอนกลางวัน
chatkiti
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 10
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 438



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #106 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 12:01:18 »

 wanwan017
บันทึกการเข้า

oriox
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 4
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 102



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 12:22:41 »

ขอย้อนกลับไปเรื่องกระเทียมนิดนะคะ ตอบแบบรวมๆ

เราไม่ได้ไปตระเวณดูสินค้าจีนอย่างเดียว เวียดนาม ไทย เราก็ดู เราตระเวณดูการผลิตสินค้าเกษตรไทยมาเกือบครบทุกจังหวัด ก่อนที่จะไปดูของจีนกับเวียดนาม

เรื่องกระเทียมนั้นเรายกตัวอย่างให้ดู บางทีอาจจะเขียนเกินไปหน่อยก็ต้องขออภัย แค่อยากชี้ประเด็นว่า คนจีน(แผ่นดินใหญ่)ส่วนใหญ่มีเป้าหมายคือความมั่งคั่ง การมีชีวิตที่หรูหรา นิสัยส่วนใหญ่คือ ขยัน อดทด ประหยัด และอีกอย่างที่จะเพิ่มให้คือความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมีน้อยเมื่อเทียบกับชนชาติอื่น เดินตามถนนก็จะรู้ กลิ่นมาก่อน ขยะเกลื่อน  เวียดนามยังดูสะอาดตากว่า แต่ด้วยการก่อสร้างค่อนข้างเยอะ เมืองจึงเต็มไปด้วยฝุ่น

นิสัย+ความเคยชินของคนจีนก็จะสะท้อนออกมาในผลิตภัณฑ์ของเค้าด้วย ผลิตภัณฑ์ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นหนักไปในการลดต้นทุน ไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ประเด็นมันอยู่ตรงนี้

ส่วนเรื่องผัก สำหรับเราไม่ไช่แค่ตระเวณดู เราปลูกผักขายตั้งแต่ประถม วัยเด็กครอบครัวเรายากจนมาก ตาม format ของครอบครัวคนอีสานที่ผู้นำครอบครัวขาดความรู้ ความรับผิดชอบ ยายไปขอใช้ที่ข้างบ้านซึ่งเป็นที่ดินที่คนมีตังซื้อเอาไว้มาปลูกผักขาย เราไม่ได้เรียนอนุบาลเพราะที่บ้านไม่มีตัง เข้าเรียนชั้นแรกคือป.1 ตอน 7 ขวบ  ก่อนไปเรียน เราต้องทำงานบ้าน และรดน้ำผักก่อน เลิกเรียนก็ดิ่งกลับบ้าน ทำงานบ้านเสร็จก็รีบเข้าไปดูแลแปลงผัก ช่วยยายเก็บผักมาล้างแล้วก็มัดเป็นกำๆ กว่าจะเสร็จงานแต่ละวันเกือบเที่ยงคืน แล้วยายก็เอาไปขายตอนเช้ามืด ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เราก็ติดสอยห้อยตามยายไปทำงานรับจ้างทั่วไป รับจ้างเก็บเกี่ยวบ้าง บางวันก็เย็บกระสอบอยู่ที่บ้าน ชีวิตเราก็ตามนั้น เราเคยปลูกประเทียม เพื่อเก็บเป็นกระเทียมแห้งไว้ขาย เมื่อผ่านขั้นตอนทุกอย่าง กระเทียมก็จะเก็บโดยการแขวนเอาไว้ เก็บดีกว่ากระเทียมจีนแน่นอน



เห็นโพสนี้แล้วมีความรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา.... แต่อดทนแลพเพียรพยายามมากๆ  wanwan017
บันทึกการเข้า
Mi-Duem
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 25
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 257



ดูรายละเอียด
« ตอบ #108 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 16:29:59 »

เขียนหนังสือขายได้เลยนะครับ อ่านแล้วเพลินด้วยทั้งๆทีเนื้อหาเน้นๆแบบนี้
บันทึกการเข้า
asbot1
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 159
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 776



ดูรายละเอียด
« ตอบ #109 เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 16:34:19 »

น่าจะ quote ทั้งหมดไว้หน้าแรกเลยนะครับ จะได้อ่านง่ายๆ   Tongue
บันทึกการเข้า

DDD1985
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 45
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 559



ดูรายละเอียด
« ตอบ #110 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2013, 13:35:52 »

ขอบคุณมากครับ wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า
prikthai
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 558



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2013, 14:36:34 »

มันส์หยดติ๋ง เปิดโลกทัศน์ได้ดีเยี่ยมจริงๆ  wanwan020
บันทึกการเข้า

tobythebook
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 8
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 206



ดูรายละเอียด
« ตอบ #112 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2013, 14:35:10 »

มาลงชื่ออ่าน ขอบคุณค่ะ  wanwan017 wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า

แปลเปเปอร์วิทยาศาสตร์
April07
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 93
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 680



ดูรายละเอียด
« ตอบ #113 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2013, 21:13:23 »

สำหรับคำถามในข้อความส่วนตัว...
ถามเราได้ค่ะ แต่ไม่ควรบอกว่าคุณขายอะไร

เราตอบให้รวมๆตามด้านล่างนี้นะคะ

การขายของออนไลน์เป็นการลงทุนทำธุรกิจแบบหนึ่ง

ตลาดเป็นของคนที่พร้อมลงทุน อาจลงทุนด้วยเงินหรือเวลา ก็ขึ้นกับความพร้อมของผู้ลงทุน

ถ้างบน้อย อาจเริ่มจากการติดต่อ supplier แล้วก็เอาสินค้ามาขายก่อน ได้ order แล้วค่อยสั่งซื้อมาส่งให้ลูกค้าก็ได้ หรือถ้าจะเริ่มจาก dropship ก็ต้องให้เวลากับมันพอสมควร ในเวบ dropship มันจะต้องมีของที่ขายได้กำไรอยู่บ้าง แต่สัดส่วนจะน้อย เช่น จำนวนสินค้า 5000-10000 ชิ้น คุณอาจจะเจอสินค้าที่ทำกำไรได้ซัก 50-100 ชิ้น ใช้เวลาในการหาสินค้าพอควร

หลังจากอ่านหนังสือหรือเข้าอบรม ก่อนเริ่มขาย เราแนะนำให้ศึกษา ebay store ของคนที่ประสบความสำเร็จ หลายๆ store ก่อน อ่านตั้งแต่ title ไปจนจบ แล้วก็หาเหตุผลว่าทำไมเค้าถึงทำแบบนั้น ศึกษาให้ละเอียดในทุกแง่มุม

สำหรับการดีลบริษัทชิปปิ้ง ต้องมีแผนธุรกิจที่ดี
ถ้าไม่มีบริษัทจะต้องมีเงินมัดจำ 50,000 บาท ถ้ารับได้กับ transit time 3-5 วัน แนะนำให้ลองติดต่อ DHL เพราะมีฐานลูกค้ารายเล็กมากพอสมควร โอกาสได้อนุมัติก็จะสูงกว่าบริษัทอื่น ส่วน Fedex UPS จะมี extra charge ค่อนข้างสูง ถ้าไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่ก็จะไม่ได้รับการยกเว้น extra charge 

DHL ค่อนข้างเป็นที่นิยมถ้าเทียบกันในพื้นที่ที่เราใช้งานอยู่ แต่ละวัน Courier DHL ต้องวิ่งรับงาน 60-70 แห่งต่อวัน ส่วน UPS, Fedex วิ่งรับงาน 5-10 แห่งต่อวัน ตัวเลขนี้อาจบอกอะไรได้หลายๆอย่าง

กรณีที่ต้องเสียภาษี DHL จะมีค่าใช้จ่ายต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 3 บริษัท ตัวอย่างที่เราเจอมา กรณีส่งสินค้าเข้าอังกฤษเราทดลองส่งกับสามบริษัท สินค้าแบบเดียวกัน declare value เท่ากัน DHL เรียกเก็บ 5 GBP, Fedex 15 GBP, UPS 35 GBP

สำหรับ Fedex จะมี hidden cost อย่างอื่นเพิ่มเข้ามาอีก อย่างค่า residential address (95 บาท), out of service address (320 บาท),  Saturday delivery/pick up (300 บาท),  address correction (150 บาท) hidden cost เหล่านี้คิดต่อ shipment
Fedex เรียกค่าเหล่านี้ว่า  surcharge แต่เราเรียกมันว่า hidden cost ซึ่ง surcharge เหล่านี้  DHL กับ UPS ไม่เก็บ

Hidden cost ของ UPS Fedex อีกอย่างคือกรณีนำส่งไม่ได้ พัสดุถูกตีกลับ เราก็จะถูกเรียกเก็บค่าส่งขาเข้า ถ้าไม่ได้ทำดีลเอาไว้ ขั้นต่ำชิปละสามพันกว่าบาท ในขณะที่ DHL ไม่คิดเงินกรณีพัสดุถูกตีกลับไทย

อีกหนึ่งข้อเสียของ UPS คือ ในการคำนวณภาษี UPS เค้าจะเอาค่าส่งราคาเต็มมาคิด
ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเสียภาษี = (ค่าสินค้า +ค่าส่งราคาเต็ม) * อัตราภาษี + ค่าธรรมเนียมของ UPS
การคำนวณภาษีแบบนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายของ UPS สูงกว่าบริษัทอื่น ถึงจะ declare เป็น GIFT ก็ไม่มีผล UPS จะเช็กจากระบบว่าเรามีการส่งพัสดุบ่อยหรือไม่ ถ้าส่งเป็นประจำเค้าก็จะไม่มองว่าเป็น GIFT

โครงสร้างส่วนลดของ DHL สำหรับลูกค้า e-com จะมีทั้งหมด 6 โครงสร้าง 1 – 6 , EC1 จะได้ส่วนลดน้อยที่สุด ถ้าดีลครั้งแรก พยายามให้ได้ส่วนลดที่ 2-3 ก็สามารถแข่งขันกับพัสดุย่อยได้สบายๆแล้ว แต่ถ้ามีแผนธุรกิจที่ดีมากๆ เจรจาเก่ง ก็จะสามารถขอส่วนลดพิเศษได้ คือส่วนลดสูงกว่าโครงสร้างที่ 6 ลูกค้า Top10 ก็ใช้เรทพิเศษนี้กันอยู่

ตอนนี้ DHL เป็นคนบริหารจัดการการขนส่งระหว่างประเทศให้กับไปรษณีย์ไทย ต่อไปไปรษณีย์ไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลง   DHL ค่อนข้างเข้มงวดกับการตรวจสอบพัสดุก่อนการส่งออก อนาคตถ้า DHL มี shipment volume สูงขึ้นก็อาจทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง โอกาสต่อรองเรทได้ดีก็มีสูงขึ้น

สำหรับ UPS จะขออนุมัติที่สิงคโปร์ ทำให้ขอเรทยากกว่าบริษัทอื่น

ส่วน Fedex จะเป็นบริษัทที่ขออนุมัติเรทง่ายที่สุด แต่ hidden cost เยอะมาก

ข้อดีของ UPS คือ transit time ในอเมริกา  80% ใช้เวลาแค่ 2 วัน
ข้อดีของ FedEx คือ transit time ดีในทุกๆประเทศ แต่พัสดุขาเข้าอเมริกามักถูกสุ่มตรวจ
ข้อดีของ DHL คือ เคลียร์ของเก่ง ส่งกับ DHL ไม่ค่อยเจอสุ่มตรวจ ไม่ค่อยเจอภาษี แต่ transit time ไม่ค่อยดี

เราหวังว่าข้อมูลที่เราให้มา จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ เลือกดีลตามอัธยาศัย
เบอร์โทร DHL 02 345-5000, FedEx: 1782, UPS: 02 762-3300
บันทึกการเข้า

กำลังนอนกลางวัน
DePe
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 251
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 669



ดูรายละเอียด
« ตอบ #114 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2013, 21:15:46 »

oh ได้ความรู้เยอะมากครับ ติดตามต่อครับผม ขอบคุณทุกท่านที่แชร์ครับ  wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า

ขี้โม้ มีอยู่ 2 ประเภท
1.โม้ไปวันๆ
2.โม้แล้วดันทำได้จริง
kobthekop
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 22 เมษายน 2014, 23:07:59 »

ขออ้างอิงและสอบถามคุณ April07 ครับ

"ข้อดีของ DHL คือ เคลียร์ของเก่ง ส่งกับ DHL ไม่ค่อยเจอสุ่มตรวจ ไม่ค่อยเจอภาษี แต่ transit time ไม่ค่อยดี"

อันนี้เป็นเฉพาะในกรณีส่งออกหรือเปล่าครับ เพราะปกติผมจะสั่งสินค้าแบรนด์เนมยี่ห้อหนึ่งจากจากเว็บไซต์ฝั่ง UK เพื่อนำมาขายในไทย ซึ่งในการจัดส่งแต่ละครั้งจะโดนศุลกากรคิดเรทภาษีอยู่ที่ 40-45% ทุกครั้ง โดยจะมี sms จาก DHL แจ้งยอด เพื่ือให้โอนเข้าบัญชี (ผมอยู่ต่างจังหวัด) โดยเมื่อผมโอนเงินชำระค่าภาษีแล้ว ใน sms บอกว่าให้เมล์หลักฐานการโอนเงินไปที่อีเมล์ zvbteam@dhl.com ที่ผมอยากทราบว่านี่คือขั้นตอนตามปกติของ DHL ในการนำเข้าสินค้าหรือเปล่าครับ ... ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
Cevic
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 25
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 664



ดูรายละเอียด
« ตอบ #116 เมื่อ: 23 เมษายน 2014, 01:08:40 »

ข้อมูลแน่นจริงๆ
อยากเอาของไปขายบ้าง แต่ติดเรื่อง shipping ค่าส่งแพง
ต้องศึกษาข้อมูลอีกเยอะ  Tongue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 เมษายน 2014, 03:53:15 โดย Cevic » บันทึกการเข้า
fallenwing
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #117 เมื่อ: 23 เมษายน 2014, 01:54:43 »

 wanwan014 wanwan014 wanwan014
บันทึกการเข้า

razY
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 52
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 808



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #118 เมื่อ: 23 เมษายน 2014, 05:03:36 »

ประสพการณ์สำคัญกว่าตำรา ขอบคุณครับ  wanwan017

..... +1
บันทึกการเข้า

pichit roungsakul
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 11
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 118



ดูรายละเอียด
« ตอบ #119 เมื่อ: 23 เมษายน 2014, 08:01:43 »

 wanwan008 wanwan008
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7   ขึ้นบน
พิมพ์