เพื่อนร่วมงานผมทุกคนที่พูดกับผมว่า "กุอยากทำนู้น กุอยากทำนี่" พร้อมบอกความฝันเสร็จสรรพ แผนการเป๊ะ!!!
ทุกวันนี้ผ่านมา 2 ปีแล้ว ก็ยังคงเป็นพนักงานกินเงินเดือน นั่งโต๊ะตัวเดิม หน้าคอมตัวเดิม พอผมย้อนกลับไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
คำตอบที่ได้ Simple มากครับ "ไม่มีเวลา" หรือ "ตอนนี้กุมีความสุขดีแล้ว"
ซะงั้น!!!
นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าถ้าอยากรวย คุณต้องไม่มีเิงินเดือน
ความกดดันจะทำให้คุณรู้จักการทุ่มเทแบบเหนือมนุษย์
เหมือนเวลาไฟไหม้มนุษย์สามารถยกโอ่งน้ำได้
นั่นหมายความว่าชีวิตที่ไม่มีความกดดัน ก็ย่้อมไม่มีพลังสำหรับลูกบ้าครับ
ที่สำคัญผมมองว่าการลาออก ต้องอาศัยการตัดสินใจแบบเฉียบขาด
บางครั้งต้องให้มันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ
ตอนที่ผมลาออกครั้งแรก ตอนนั้นแม่ผมป่วย เป็นมะเร็ง
ผมใช้เวลา 3 นาทีทิ้งงานที่ดีที่สุดในชีวิต พร้อมเงินเก็บ 3 หมื่นกว่าบาท
ส่วนเรื่องค่ารักษาเหรอครับ มี 2 ทางเลือก 1. รอใช้สิทธิ์ฟรี 2. จ่ายสด รักษาเดี๋ยวนั้น
เราเลือกข้อ 2 เพราะเรื่องอย่างนี้ใครรอได้ก็นับถือแล้ว
เคาะราคาค่ารักษาคร่าวๆ 55555+
แพงเท่ารถ Eco Car ล่างๆครับ
ต่อให้ผมเอาเงินเดือนทั้งปี + โบนัส แถมไม่กินไม่ใช้ด้วย ก็ยังไม่พอค่ารักษาครับ
หา เติมไม้เอก มนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเงินรักษาแม่ ถุย นี่เหรอวะ คุณค่าของชีวิตผม
ทุกวันนี้ผมทำเพื่ออะไรฟะ ทำงานมาตั้งหลายปี พอเจอวิกฤตครั้งเดียว ไปไม่ถูกเลย
องค์กรได้ชีวิตของผมไป แต่ครอบครัวผมไม่ได้อะไรจากผมเลย
ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกเชี่ยๆ
ถุย!!! อีกครั้ง
แต่โชคดีที่พี่สาวผมวางแผนเรื่องการเงินมาดี
ทุกๆวันผมต้องไปโรงพยาบาลกับแม่ ครอบครัวเราช่วยกันดูแลจนแม่หาย
ประเด็นคือการไปโรงพยาบาลทุกวัน ทำให้ผมเห็นสัจธรรมของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างแท้จริง
เห็นศพเด็ก 3 ขวบ เห็นสาว 17 เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เห็นนักธุรกิจ 40 ล้านกลายเป็นคนเอ๋อ
เห็นข้าราชการมีบำนานแต่รักษาโรคให้หายขาดไม่ได้เพราะยาที่ทำให้หายขาดหลอดละล้าน
เห็นเจ้าของกิจการหมดอาลัยตายอยาก เห็นแม่ร้องไห้เพราะลูกป่วย
เห็นคนสมองบวมที่มีรอยตะขาบเย็บแผลคาดจากหัวลงมาถึงหน้าผาก
เห็นศพที่ถูกชำแหละ ห้องดับจิต พิพิธภัณฑ์มนุษย์ และอีกมากมายที่เขียนไม่หมด
ชีวิตเรามันก็แค่เนี๊ย แล้วเรายังเอาชีวิตอันน้อยนิดของเราไปเร่ขายอีกเหรอ
ผมตัดสินใจ กราบตรีนพ่อแม่ ขอเวลา 6 เดือนไปทำตามฝัน
ถ้าเจ๊งจะกลับไปเป็นลูกจ้างเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ ขอซักครั้งในชีวิต
เป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง
ผมซื้อหนังสือจิตวิทยาทุกเล่มที่น่าสนใจ อ่านหนังสือเกี่ยวกับการขาย
ฝึกพูดหน้ากระจก ไปดูเวลานักธุรกิจคุยงานเขาวางตัวยังไง
อ่านหนังสือคนดัง Steve Jobs วอรเรน บัพเฟต อ่านนิยาย
ดู Keynote ดังๆ ไปออกกำลังกาย เล่นกล้าม เล่นโยคะ
ทั้งหมดเพื่อวันเดียว วันที่จะไปขายงานลูกค้าครั้งแรก
เริ่มต้นการเป็น Design Freelance เดือนแรก ยอดถล่มทลายครับ
1,600 บาท แสรด นอนกอดบัญชีธนาคารร้องไห้เลย
เรามันกระจอก เสร่อ อวดเก่ง ปากดี บอกจะประสบความสำเร็จ ถุย
แต่โชคดี พ่อแม่ พี่สาวและแฟนให้กำลังใจ โดยเฉพาะแม่ ขนาดป่วยแท้ๆยังมาให้กำลังใจคนแข็งแรง
เอาวะ สู้อีกครั้ง ผมไปสมัครงานครับ เเหะๆๆๆๆ
สมัครงานไปหลายที่ มีที่หนึ่งเคยทาบทามผม ผมกลับไปหาเขา คุยกันเรื่องเงินเดือน โอเค แพงอยู่ ตกลงละกันครับ
ปรากฏว่าคุยไปคุยมา ตอนจะเซ็นสัญญา ผมเกิดนึกถึงแม่ขึ้นมาได้ (ตอนนั้นแม่ยังไม่หาย อยู่ในระหว่างการรักษา)
ถ้านี่เป็นปีสุดท้ายทีเ่ราจะได้อยู่ด้วยกันละ ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้ายจริงๆละ
ผมตัดสินใจ กราบเจ้าของกิจการ เบี้ยวเขาซะดื้อๆ
จากนั้นผมก็ลองสู้ครับ โทรไปหาลูกค้าหลายเจ้ามากๆ
ไม่มีใครสนใจเลย ทุกคนมองข้าม Freelance ตัวเล็กๆอย่างผมไป
จนกระทั่งพี่คนหนึ่งโทรมาหาผม บอกว่าว่างมั้ย พี่มีงานให้ทำ
ผมบอกเลยว่าว่าง เก๊กท่าสุดฤทธิ์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกว่า Present งาน
ในกระเป๋าตังค์ผมไม่มีเงินแล้ว แต่ผมต้องเก๊กว่างานเยอะมากครับ ยุ่งมากครับ
เล่นตัว โดยเอาอนาคตเป็นเดิมพัน
สุดท้าย คุยกันเกือบครึ่งวัน ได้งานครับ ต้องขอบคุณลูกค้าจริงๆครับ เป็นลูกค้าที่มีพระคุณต่อผมจริงๆ
เพราะนอกจากจะให้เงินเราแล้ว ยังสอนงานเราด้วย
ขอบพระคุณครับ
หลังจากนั้นผมก็เจอลูกค้าผู้ที่มีพระคุณท่านที่สอง จาก Thaiseoboard ครับ ท่านนี้นอกจากจะให้วิธีคิดแล้ว
ยังสอนวิธีขายงาน วิธีคุยกับลูกค้า วิธีสร้างความมั่นคง ผมรักลูกค้าสองท่านนี้มาก ผมทำให้เขาสุดความสามารถครับ
ถึงแม้พลาดบ้าง แป๊กบ้าง แต่ลูกค้าสองท่านนี้ก็ให้โอกาสผมครับ
และลูกค้าท่านที่สาม คนนี้ผมอึ้งที่สุด เป็นชายหนุ่มวัยรุ่นคนไทยกับฝรั่งที่เป็นนักลงทุน
ทั้งสองคนเป็นคนไฟแรงทั้งคู่ แรงจะกระทั่งพระอาทิตย์ที่ว่าร้อนยังเย็นไปเลย
สองคนนี้ให้โอกาสผมทำงานระดับเมกะโปรเจ็ค ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายที่สุดในชีวิต และน่าสนุกที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมา
วันนี้ผมไม่หันหลังกลับไปทำงานประจำแล้วครับ ผมรักชีวิตแบบนี้
ส่วนรายได้เหรอ หุๆๆๆ ทำงาน 4 เดือน เท่ากับงานประจำ 1 ปี บอกได้แค่เนี๊ย
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบนะครับ
จะตัดสินใจอะไรก็รีบๆ เวลาคนเรามีน้อย
จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไหนจะคนในครอบครัวเราอีก
อยากจะทำอะไร รีบครับ ก่อนที่จะไม่ได้ทำอีกเลย
สุดท้ายผมบอกได้คำเดียวว่า สาธุ เอ๊ย โชคดีครับ
ปล ขอยกคำเก่าๆมาลงอีกรอบครับ เป็นคำที่ผมเคยเขียนเอาไว้
ยังไงซะ วันหนึ่งเราก็ต้องลาออกอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเบื่องาน อายุเยอะ เงินเดือนน้อย หรือความตายพรากเรา
ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน ผมคิดว่าเราควรจะโฟกัสไปที่ความมั่นคง
แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ผมโฟกัสว่าทำตามหัวใจเถอะครับ
ตอนนี้ผมเป็น Freelance เต็มตัว ลาออกเพราะเหตุการณ์บังคับ
ตอนแรกไม่กล้าจะเป็นนายตัวเอง ไม่กล้าจะเป็นเสือหิว
แต่ปรากฏว่าพอลาออกจากงานปุ๊ป
ตอนนี้ผมเป็นคนตกงานที่ได้เงินมากกว่าตอนทำงานกินเงินเดือนอีก
ที่สำคัญคือไม่ต้องผจญรถติด ไปกินชาบูชิก็ไม่่ต้องต่อคิว
ไปดูหนังวันพุธ 100 บาท ลานจอดรถตามห้างก็หาง่าย
นอนดึกแค่ไหนก็ได้ ตื่นตอนไหนก็ได้
เลือกงานให้ตัวเองได้ วันเสาร์อาทิตย์ทำงาน
วันจันทร์ถึงศุกร์ทำงานด้วยเที่ยวด้วย
กอดพ่อแม่ตอนกี่โมงก็ได้ ได้นวดให้พ่อแม่กี่โมงก็ได้
ไม่อยากทำงานก็ออกไปตะลอนหาไอเดียก็ได้
กินข้าวตอนบ่าย 3 ก็ได้
ไปกินสตาร์บัคคิดงานก็ได้
อ่านหนังสือการ์ตูนตอน 5 โมงก็ได้
ไม่สบายนอนต่อก็ได้
ที่สำคัญผมเชื่อว่าผมมีความสุขสุดๆด้วย
พอเราได้พบปะลูกค้ามากขึ้น เราก็เองเหมือนเจอเพื่อนที่คุยถูกคอมากขึ้นครับ : )
ผมมองว่าตั้งแต่ผมเป็น Freelance ผมสนุกกับการทำงานมาก
ผมมีความสุขกับการทำงานให้คนที่มี Passion ต่อสิ่งที่เรากำลังจะทำอย่างแรง
ทำงานผ่านเซลล์ไม่สนุกเพราะเป้าหมายของเซลล์คือค่าคอม
แต่ทำงานกับลูกค้าเองสนุกเพราะเป้าหมายของเขาคือทำให้ชีวิตของลูกค้าของเขาดีขึ้นครับ
ดังนั้นถ้าคุณพร้อมผมขอสนับสนุน
วันแรกของการลาออกคุณจะได้เห็นภาพรถของเหล่ามนุษย์เงินเดือนติดเเหงก
แต่ละคนเบียดเสียดปาดไปปาดมาโดยไม่อยากให้ตัวเองไปสาย
ในขณะที่คุณได้แค่ยืนมองคนเหล่านั้นอยู่บนบ้าน
คุณจะไม่ต้องเผชิญรถติดตั้งแต่ 7 โมงเช้า จนถึง 2 ทุ่มหลังกลับบ้าน
ตอนนี้ผมกำลังเขียน e-book เพื่อยุให้คนกล้าออกมาทำตามความฝันให้เป็นจริง
ผมหวังว่าจะได้รับการตอบรับจากทุกๆคนที่มีความฝันและต้องการแรงยุให้เป็นจริงให้ได้ครับ
จาก
http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=326514.40 ผมลาออกในวันที่แม่ผมไปตรวจร่างกาย
และปรากฏว่าเป็นมะเร็งระยะที่สามครับ
ตอนนั้นเงินเดือนไม่มีความหมาย เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือเวลา
เวลาที่จะอยู่กับคนที่เรารัก
ทำไมออฟฟิตต้องใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน
ทำไมการเลิกงานก่อนทั้งๆที่เราทำงานเสร็จหมดแล้วคือตราบาป
ทำไมเจ้านายไปนั่งกินสตาร์บัคตอนบ่าย 2 สบายใจเฉิบแต่เราทำไม่ได้
ทำไมเซลล์รับปากกับลูกค้าแบบ Yes to all แต่งานของเราต้องกดดันเพราะคนอื่น
ทำไมเราต้องตื่นเช้าเสียเวลาหลายชั่วโมงเเค่เฉพาะการเดินทาง
ทำไมเราต้องแบกสังขารทั้งๆที่ไม่สบายเพื่อเงินเดือน
ทำไมการทำงานเยอะกว่าคนอื่นแต่เข้างานสายถึงได้ถูกตัดเงิน
ทำไมเลิกงานดึกแต่ไม่ได้ OT
ทำไมเราทำเงินให้องค์กรได้เยอะมากๆ แต่เรากลับได้เงินเดือนเท่าเดิม
ทำไมเราต้องเสียเวลาเพื่อทำให้คนอื่นสุขสบายและร่ำรวย
ทำไมเราต้องรอใช้ชีวิตตอนแก่สำหรับการรักษาสุขภาพเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำจากวัยหนุ่ม
ทำไมผลงานทั้งหมดของเราเป็นของออฟฟิต ไม่ใช่ของเรา
ทำไมเราต้องเอาชีวิตที่มีน้อยนิดไปขายให้คนอื่นด้วย
จาก
http://pantip.com/topic/30573824/comment25