ผมคิดว่า….. 90% ขึ้นไปของมนุษย์ทุกคนอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง รูปแบบของกิจการส่วนตัวอาจเป็นเจ้าของคนเดียวหรือเปิดเป็นกิจการขนาดใหญ่เป็นบริษัทเป็นหลักเป็นฐาน แต่ในร้อยคนที่คิดกลับมีไม่กี่สิบคนที่ไปถึง เพราะอะไร?กิจการส่วนตัวหรืองานส่วนตัวเป็นของยาก เพราะคุณต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีรายได้ประจำมาเป็นหลักประกัน คุณต้องสู้กับคู่แข่งรอบๆตัวด้วยตัวคนเดียว คุณต้องรับความเสี่ยงทุกอย่างคนเดียวและคุณต้องมีวินัยใจจิตวิญญาณอย่างแรงกล้าซึ่งข้อสุดท้ายน่าจะเป็น barrier of entry สู่การเป็นผู้ประกอบการที่มีอิทธิพลมากที่สุด จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมลองผ่านงาน freelance translator และเขียน e-book ขายที่ผ่านมา สองอย่างนี้เป็นงานส่วนตัวและพบว่าคนที่ใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนมานาน เมื่อเริ่มลงมือทำอะไรเป็นของตัวเองจริงจังและพบกับอิสระในการสร้างสรรค์งาน ก็จะเริ่มเกิดอาการผัดวันประกันพรุ่ง งานส่วนตัวที่ไม่มีตารางงานมาบังคับเหมือนกับงานประจำ แต่ก็ยังมีเงินเดือนจากงานประจำมาหล่อเลี้ยงอยู่จะทำให้คุณเกิดความฉะล่าใจหรือประมาท เกิดความขี้เกียจและผัดผ่อนขึ้นครอบงำจิตใจ คิดว่า เดี่ยวค่อยทำก็ได้ วันนี้เลิกงานดึกยังเหนื่อยอยู่ ฯลฯ พระพุทธเจ้าเรียกความคิดแบบนี้ว่า
“ความเกียจคร้าน” มีแนวธรรมว่า
"คนเกียจคร้านมักอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เวลาเย็นแล้ว ยังเช้าอยู่ หิวนัก กระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน"แนวคิดที่ธรรมะสอนนั้นถูกต้อง คนจำนานมากล้มเหลวไปไม่ถึงฝัน ไม่ใช่เพราะไม่มีต้นทุนชีวิตโดยสิ้นเชิง ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่หาได้อาจช้าเร็วต่างกันไป แต่ปัจจัยภายในคือตัวเองที่ ผัดวันประกันพรุ่ง เกียจคร้าน ไม่ลงมือทำ กังวลเกินเหตุ กลัว ถอดใจทั้งที่ยังไม่ทำ ฯลฯ เหล่านี้เป็นปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลในการยับยั้งคนไม่ให้ก้าวหน้าเป็นอันดับหนึ่ง
วิธีเริ่มต้นสานฝันของตัวเองตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะทำงานแปล Freelance Translator, ผมก็เริ่มศึกษาตลาดของธุรกิจแปลอยู่นานมาก น่าจะเกือบปี แต่ระยะเวลาเกือบปีนั้นหมดไปกับส่วนที่เป็นความกลัวที่จะเริ่มด้วย ผมก็มานั่งงงกับตัวเองว่า เราศึกษาตลาดวนไปวนมานานแล้วนะ ทำไมเรายังไม่ได้เริ่มทำเสียที มันติดอะไร ผมก็หาคำตอบไม่ได้ว่าตัวเองติดอะไร ก็เลยคิดว่าคงเป็นจากปัจจัยภายในใจเรามากกว่าที่ไม่ยอมเริ่มเอง ผมจึงใช้เทคนิคของ Brian Tracy คือ กำหนดเป้าหมาย วาดแผนลงในกระดาษ ผมกำหนดว่าจะต้องเริ่มงานแปลนี้ให้ได้ภายใน 1 เดือนแล้วก็ไล่ทำ check list ว่าอะไรที่เราต้องเตรียม อะไรที่เราต้องทำ และจะทำอันไหน ตอนไหน เมื่อไร ทุกๆหัวข้อผมวางกำหนดไว้เลยว่าต้องทำ เลิกงานกลับมา 3-4 ทุ่มก็ต้องทำสักนิดก็ยังดี และผลปรากฏว่าผมทำสำเร็จหลังจากจับจรดมานาน พอลงมือทำจริงๆจังด้วยแผนที่ชัดเจนเราก็ทำได้ตามกรอบเวลาจนต้องอุทานว่า
“รู้งี้กูทำไปนานแล้ว”ธรรมชาติของจิตใจ สภาวะขี้เกียจ กับ สภาวะความเพียร เกิดได้ครั้งละหนึ่งสภาวะ นั่นหมายความว่าถ้าคุณปล่อยให้ความขี้เกียจมันอยู่อย่างนั้นมันก็ไม่มีวันที่จะหายไปไหน อย่างหวังเลยว่าคำว่า
“พรุ่งนี้ค่อยทำ” จะเกิดขึ้น เพราะพอถึงพรุ่งนี้คุณก็ไม่ทำ! ถ้าจะทำคุณต้องทำเลย และเมื่อคุณฝืนดันความขี้เกียจออกไปได้แล้ว ทีนี้ความเพียรมันเกิดแล้วเวลามันเกิดเป็นเป็นกระแสที่ฝรั่งเรียกว่า momentum พอลงมือทำแล้วทีนี้ไหลลื่นยาวแบบวางงานไม่ลงเลย นี่แหละหัวใจผู้ประกอบการ มีไฟ มีพลัง จัดเต็ม
ผมคิดว่างานประจำก็ไม่ได้ปลอดภัยไปกว่ากิจการส่วนตัวผมคิดว่าในโลกนี้ไม่มีงานอะไรมั่นคง ไม่ว่าบริษัทมหาชนหรือราชการ ความเสี่ยงมีตลอด การค้นหาองค์กรมั่นคงแล้วเกาะไปจนตายนั้นเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น?
เพราะผมเห็นตัวอย่างคนที่อยู่กับองค์กรจนแก่มากๆโดยไม่ได้วางแผนหลังเกษียณไว้ทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในความเสี่ยง อายุเยอะเงินเดือนนิ่งไม่มีบทบาทในหน้าที่ ต้องอยู่แบบจำทน จะไปไหนก็ไมได้ ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อสูงขึ้น ค่าตรองชีพสูงขึ้น เงินเดือนเป็นอะไรที่โตไม่ทันเงินเฟ้อตลอดกาล แบบนี้ลำบาก ในความคิดของทุนนิยม fixed-income ที่ออมในบัญชีเขามองเป็นความเสี่ยง เพราะเงินอยู่เฉยๆไม่ได้ใช้ไม่ได้แปลว่าจะไม่หายไปไหน เวลาผ่านไปจำนวนเท่าเดิมแต่มูลค่าลดลง
สมมุติว่าเมื่อ 20 ปีก่อนคุณเอาเงิน 20 บาทใส่ไหคล้องกุญแจไว้เฉยๆ วันนี้เปิดออกมาจะเอาไปซื้อข้าวกินไม่ได้แล้วนะ! อาหารตามสั่งวันนี้มันจานละ 30 บาท นี่คือตัวอย่างจริงๆของเงินเท่าเดิมแต่ใช้ซื้ออะไรไม่ได้
ดังนั้นการมีเงินเดือนประจำ ทำๆๆ แล้วก็ออม ไม่ใช่ wealth builder หรือ แผนสู่ความมั่งคั่งแต่เป็นความเสี่ยง ความมั่งคั่งเกิดจากการกระจายช่องทางการสร้างรายได้ เช่น อาชีพเสริม แบบ Pro-Active Income หรือ ลงทุน แบบ Passive Income เพื่อสร้างรายได้ทวีคูณ
ทำไมคุณจึงควรเริ่มสร้างอาชีพเสริมในขณะทำงานประจำเพราะการสร้างอาชีพเสริมเป็นการ........
1). ปูทางสู่การเป็นนายตัวเองและการเป็นเจ้าของกิจการ
2). สร้างฐานตัวเองอย่างมีหลักประกันจากเงินเดือนประจำ
ลูกจ้าง ภาษาอังกฤษเรียก Employee, จ้างตัวเอง เรียก Self-Employed และ ผู้ประกอบการคือ Entrepreneur ซึ่งอันสุดท้ายคือ ผู้ประกอบการ เป็นลักษณะของ Passive Income คือคุณวางระบบ จัดการบริหาร กระจายเงินลงทุนและงานไปสู่ผู้อื่น ให้เงินและผู้อื่นทำงานแทนคุณ เป็นลำดับขั้นวิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์ในทางโลก
ส่วน Self-Employed นั่นเป็น Pro-Active คือต้องทำเองและทำตลอดเวลาจึงจะได้เงิน ถ้าหยุดทำก็ไม่ได้เงิน แต่ผลตอบแทนสูงกว่าเป็นลูกจ้าง เช่น ลูกจ้างค่าแรงขั้นต่ำทำทั้งเดือน (240 ชั่วโมงเหมา) ได้ 9000 บาท งานฟรีแลนซ์หลายๆประเภททั้ง นักเขียน นักแปล นักออกแบบ ทำงาน 24 ชั่วโมง (ระยะเวลาบวกรวมกัน) ได้ 10,000-20,000 บาท
อาชีพเสริมที่ผมว่านี้จึงไม่ได้หมายถึงไปรับจ้างเสิร์ฟอาหารหลังเลิกงาน แต่เป็นการดึง
-> Passion ความรัก
-> Interested ความสนใจ
-> Knowledge ความรู้
-> Skill ทักษะ
ออกมาทำประโยชน์และรับจ้างสร้างสรรค์งานจากความรู้ที่ตัวเองมี ความรู้สามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ ความรู้จากงานประจำเช่น เป็น นักสอบบัญชี นักกฎหมาย นักการตลาด นักเขียนโปรแกรม หรือความรู้จากงานอดิเรก เช่น เลี้ยงสัตว์จนชำนาญ เลี้ยงต้นไม้บอนไซ เลี้ยงปลาตู้ หรือ ทำเว็บบล็อก ความรู้เหล่านี้สามารถนำมารับจ้างแบบ freelance หรือรับสอนแบบ Training/Coaching หรือทำเป็น Information product ในรูปแบบของ E-Book หรือ Video Tutorial
เช่นตัวผมเองทำบล็อกมา 2-3 ปีลองผิดลองถูกจนเกิดเป็นความรู้เรื่องการทำ blog และการผลิต contents ทำให้ผมสามารถนำมาเขียน E-Book; The Art of Blog หรือ ในต่างประเทศมีคนที่ถนัดเรื่องการบริหารเงินๆทองๆและเรื่องภาษีและกฎหมายการจ้างงานก็สามารถนำมาบล็อกได้ เช่น financialsamurai.com และขาย E-Book: How to Engineer Your Layoff ซึ่งเป็นเทคนิคการลาออกแบบ Quit-rich คือวางแผนลาออกอย่างไรให้ได้สิทธิประโยชน์จากนายจ้างให้มากที่สุด เป็นต้น
สรุปการสร้างอาชีพเสริมในขณะทำงานประจำอาชีพเสริมเหล่านี้ทำคู่งานประจำได้หมดเพียงแต่มันเป็นอะไรที่เหนื่อยกว่าชาวบ้านที่เขาทำแต่งานประจำอย่างเดียว แต่ในระยะยาวผลตอบรับมันคุ้มเพราะ Self-Employed เป็นทางเชื่อมสู่การเป็น Entrepreneur เป็นการลงสนามจริงในการบริหารจัดการอาชีพส่วนตัว หาเงินโดยตรงด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านระบบการจ้างงานประจำ อย่างไรก็ดีการทำอาชีพเสริมก็อย่าให้เสียงานประจำหรือไปทับเส้นกับงานประจำ เพราะมันผิดสัญญาจ้างและผิดสัญญาใจ นายจ้างอย่างไรก็มีคุณกับเราฉะนั้นขอให้รักษาสมดุลรอบด้านไว้ให้ดีที่สุด
บทความเต็มจาก:
http://www.theceoblogger.com/side-job-ceo-blogger/