ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปE-commerceการวิเคราะห์ตลาด มันทำกันยังไงเหรอครับ ผมอยากเป้นเจ้าของธุรกิจ
หน้า: [1] 2 3   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: การวิเคราะห์ตลาด มันทำกันยังไงเหรอครับ ผมอยากเป้นเจ้าของธุรกิจ  (อ่าน 32288 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
aoseiei
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 36
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 905



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 10:35:36 »

พยายามศึกษาเรื่องตลาดต่างๆๆ สิ่งที่เจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้บริหารต้องรู้ แต่ผมไม่รู้ว่าจะใช้ช่องทางแบบไหน หรือ วิเคราะห์ยังไง ครับ
บันทึกการเข้า

tomdythai
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 88
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 214



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 10:38:31 »

ส่วนตัวนะครับ เบื่องต้นนะครับ
1. คิดหาสินค้าก่อนว่าเราจะสามารถรับมาขายได้
2. นำชื่อสินค้าหรือคำที่เกี่ยวข้องไปค้นหาใน google adword ว่ามีผู้ค้นหาเยอะรึเปล่า

ส่วนอื่นให้คนอื่นมาต่อนะครับ อิอิ
บันทึกการเข้า

marketting
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 459
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,209



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 10:40:22 »

ถนัดเรื่องไหน ก็จัดไปเรื่องนั้นๆ ครับ
คิดให้แปลก และทำได้จริง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดได้คัรบ

ที่สำคัญ ลูกค้าคือพระเจ้า ครับ... เอาใจใส่ลูกค้ามากๆ ครับ แค่นี้ ธุรกิจก็ไปได้สวย
บันทึกการเข้า

รับเขียนบทความคุณภาพ Click ดูก่อนที่นี่ คิว 5-7 วันจองก่อนได้
SEO-Hosting 200 IP อยากมี Network ส่วนตัวดัน Keyword ที่นี่


- รับทำ Adwords T.082-1695526 Line : thaiception
- งาน 3D ออกแบบนำเสนอ เช่น โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
careeralive
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 362
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,192



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 10:54:13 »

วิเคราะห์ตลาดขั้นพื้นฐานคือวิเคราะห์มีสองแบบครับ ไม่ได้ไปเอามาจากตำราไหน ผมได้แนวคิดจากการคิดจนหัวแตกมาหลายปี สนใจก็เอาไปใช้ได้ เพราะมันเป็นวิธีคิดที่ผมเอามาใช้หา niche ในการทำเว็บของตัวเอง

วิเคราะห์เพื่อเติมเต็มตลาด
สิ่งที่ตัวเองเคยประสบและผ่านมาด้วยความลำบาก ตอนนั้นเรานึกถึงอะไร ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน และสุดท้ายผ่านมาได้อย่าง แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ๆว่าถ้าเขาเจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เราสามารถช่วยเขาก้าวผ่านประสบการณ์นั้นด้วยสินค้าและบริการแบบไหน เพราะโดยมากสินค้าและบริการแนวนี้เกิดขึ้นเพื่อ fulfill the absence of the market --- เป็นเรื่องของ history repeat itself คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ คนที่จบใหม่ก็จะเจอปัญหาตกงานหางานยากเสมอ ถ้าคุณผ่านมาได้แล้วและขาย consult ด้านเทคนิคการหางาน สมัครงาน สัมภาษณ์งาน ซึ่งมันเป็น evergreen product ครับ เพราะคนจบใหม่มีทุกปีตลอดไป คนที่ประสบปัญหาก็จะ repeat แบบนี้ตลอดไป

วิเคราะห์เพื่อต่อยอดตลาด
คนบางคนเติมเต็มอยู่แล้วและมองหาสิ่งที่จะมาต่อยอดเ็ป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเอง ด้วยสินค้าและบริการระดับ premium ... ที่ต่างประเทศมีบริการเครื่องบินส่วนตัวชื่อ Net Jet เครื่องบินทั้งลำนั่งคนเดียว ราคาโครตแพง  แต่คนรวยที่เป็น top business พวกนี้จะมีหัวคิดที่ sophisticated มากๆ ต้องการนั้งคนเดียวเพื่อมีสมาธิคิดงานและใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ คนเหล่านี้ make money เป็นแสนบาทต่อนาที ฉะนั้นเขาไม่กลัวเรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์ premium เพื่อความสะดวกสบายของพวกเขาเอง เหล่านี้คือต่อยอดเติมเต็มคนที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว และต้องการความสมบูรณ์แบบในชีวิตยิ่งๆขึ้น คุณก็สร้างผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นสุดยอดผลิตภัณฑ์ขายน้อยๆแต่ margin เยอะๆ เป็นต้น

ฉะนั้นวิเคราะห์ตลาดก็คือวิเคราะห์คนนั่นแหละครับ คนต้องการอะไรมาเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือ ต้องการอะไรมาต่อยอดเพื่อยกระดับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 10:58:57 โดย careeralive » บันทึกการเข้า
ploychompu
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 12
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 229



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:02:49 »


วิเคราะห์ตลาดขั้นพื้นฐานคือวิเคราะห์มีสองแบบครับ อันนี้ผมไม่ได้ไปเอามาจากตำราไหนนะ แต่ผมได้แนวคิดจากการคิดจนหัวแตกมาหลายปี สนใจก็เอาไปใช้ได้ เพราะมันเป็นวิธีคิดที่ผมเอามาใช้หา niche ในการทำเว็บของตัวเอง

วิเคราะห์เพื่อเติมเต็มตลาด
สิ่งที่ตัวเองเคยประสบและผ่านมาด้วยความลำบาก ตอนนั้นเรานึกถึงอะไร ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน และสุดท้ายผ่านมาได้อย่าง แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ๆว่าถ้าเขาเจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เราสามารถช่วยเขาก้าวผ่านประสบการณ์นั้นด้วยสินค้าและบริการแบบไหน เพราะโดยมากสินค้าและบริการแนวนี้เกิดขึ้นเพื่อ fulfill the absence of the market --- เป็นเรื่องของ history repeat itself คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ คนที่จบใหม่ก็จะเจอปัญหาตกงานหางานยากเสมอ ถ้าคุณผ่านมาได้แล้วและขาย consult ด้านเทคนิคการหางาน สมัครงาน สัมภาษณ์งาน ซึ่งมันเป็น evergreen product ครับ เพราะคนจบใหม่มีทุกปีตลอดไป คนที่ประสบปัญหาก็จะ repeat แบบนี้ตลอดไป

วิเคราะห์เพื่อต่อยอดตลาด
คนบางคนเติมเต็มอยู่แล้วและมองหาสิ่งที่จะมาต่อยอดเ็ป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเอง ด้วยสินค้าและบริการระดับ premium ... ที่ต่างประเทศมีบริการเครื่องบินส่วนตัวชื่อ Net Jet เครื่องบินทั้งลำนั่งคนเดียว ราคาโครตแพง  แต่คนรวยที่เป็น top business พวกนี้จะมีหัวคิดที่ sophisticated มากๆ ต้องการนั้งคนเดียวเพื่อมีสมาธิคิดงานและใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ คนเหล่านี้ make money เป็นแสนบาทต่อนาที ฉะนั้นเขาไม่กลัวเรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์ premium เพื่อความสะดวกสบายของพวกเขาเอง เหล่านี้คือต่อยอดเติมเต็มคนที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว และต้องการความสมบูรณ์แบบในชีวิตยิ่งๆขึ้น คุณก็สร้างผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นสุดยอดผลิตภัณฑ์ขายน้อยๆแต่ margin เยอะๆ เป็นต้น

ฉะนั้นวิเคราะห์ตลาดก็คือวิเคราะห์คนนั่นแหละครับ คนต้องการอะไรมาเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือ ต้องการอะไรมาต่อยอดเพื่อยกระดับ
ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

aoseiei
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 36
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 905



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:08:15 »

วิเคราะห์ตลาดขั้นพื้นฐานคือวิเคราะห์มีสองแบบครับ ไม่ได้ไปเอามาจากตำราไหน ผมได้แนวคิดจากการคิดจนหัวแตกมาหลายปี สนใจก็เอาไปใช้ได้ เพราะมันเป็นวิธีคิดที่ผมเอามาใช้หา niche ในการทำเว็บของตัวเอง

วิเคราะห์เพื่อเติมเต็มตลาด
สิ่งที่ตัวเองเคยประสบและผ่านมาด้วยความลำบาก ตอนนั้นเรานึกถึงอะไร ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน และสุดท้ายผ่านมาได้อย่าง แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ๆว่าถ้าเขาเจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เราสามารถช่วยเขาก้าวผ่านประสบการณ์นั้นด้วยสินค้าและบริการแบบไหน เพราะโดยมากสินค้าและบริการแนวนี้เกิดขึ้นเพื่อ fulfill the absence of the market --- เป็นเรื่องของ history repeat itself คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ คนที่จบใหม่ก็จะเจอปัญหาตกงานหางานยากเสมอ ถ้าคุณผ่านมาได้แล้วและขาย consult ด้านเทคนิคการหางาน สมัครงาน สัมภาษณ์งาน ซึ่งมันเป็น evergreen product ครับ เพราะคนจบใหม่มีทุกปีตลอดไป คนที่ประสบปัญหาก็จะ repeat แบบนี้ตลอดไป

วิเคราะห์เพื่อต่อยอดตลาด
คนบางคนเติมเต็มอยู่แล้วและมองหาสิ่งที่จะมาต่อยอดเ็ป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเอง ด้วยสินค้าและบริการระดับ premium ... ที่ต่างประเทศมีบริการเครื่องบินส่วนตัวชื่อ Net Jet เครื่องบินทั้งลำนั่งคนเดียว ราคาโครตแพง  แต่คนรวยที่เป็น top business พวกนี้จะมีหัวคิดที่ sophisticated มากๆ ต้องการนั้งคนเดียวเพื่อมีสมาธิคิดงานและใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ คนเหล่านี้ make money เป็นแสนบาทต่อนาที ฉะนั้นเขาไม่กลัวเรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์ premium เพื่อความสะดวกสบายของพวกเขาเอง เหล่านี้คือต่อยอดเติมเต็มคนที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว และต้องการความสมบูรณ์แบบในชีวิตยิ่งๆขึ้น คุณก็สร้างผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นสุดยอดผลิตภัณฑ์ขายน้อยๆแต่ margin เยอะๆ เป็นต้น

ฉะนั้นวิเคราะห์ตลาดก็คือวิเคราะห์คนนั่นแหละครับ คนต้องการอะไรมาเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือ ต้องการอะไรมาต่อยอดเพื่อยกระดับ
ขอบคุณครับ สำหรับบทเรียนครับ
แต่คือผมอยากรู้ว่า อันไหนควรขาย อันไหนขายดี อะไรแบบนี้ครับ ผมยังโง่มากครับ
บันทึกการเข้า

ibissoft360
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 138



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:14:52 »

ถนัดเรื่องไหน ก็จัดไปเรื่องนั้นๆ ครับ
คิดให้แปลก และทำได้จริง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดได้คัรบ

ที่สำคัญ ลูกค้าคือพระเจ้า ครับ... เอาใจใส่ลูกค้ามากๆ ครับ แค่นี้ ธุรกิจก็ไปได้สวย

เห็นด้วยค่ะ  wanwan013
บันทึกการเข้า

ศูนย์รวมไอทีโซลูชั่นและซอฟต์แวร์ธุรกิจแบบครบวงจร ในจังหวัดอุบล

โปรแกรมบัญชี    โปรแกรมเงินเดือน   โปรแกรมสินค้าคงคลัง Microsoft Office 365
careeralive
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 362
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,192



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:17:20 »

วิเคราะห์ตลาดขั้นพื้นฐานคือวิเคราะห์มีสองแบบครับ ไม่ได้ไปเอามาจากตำราไหน ผมได้แนวคิดจากการคิดจนหัวแตกมาหลายปี สนใจก็เอาไปใช้ได้ เพราะมันเป็นวิธีคิดที่ผมเอามาใช้หา niche ในการทำเว็บของตัวเอง

วิเคราะห์เพื่อเติมเต็มตลาด
สิ่งที่ตัวเองเคยประสบและผ่านมาด้วยความลำบาก ตอนนั้นเรานึกถึงอะไร ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน และสุดท้ายผ่านมาได้อย่าง แล้วนึกถึงคนรุ่นใหม่ๆว่าถ้าเขาเจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เราสามารถช่วยเขาก้าวผ่านประสบการณ์นั้นด้วยสินค้าและบริการแบบไหน เพราะโดยมากสินค้าและบริการแนวนี้เกิดขึ้นเพื่อ fulfill the absence of the market --- เป็นเรื่องของ history repeat itself คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ คนที่จบใหม่ก็จะเจอปัญหาตกงานหางานยากเสมอ ถ้าคุณผ่านมาได้แล้วและขาย consult ด้านเทคนิคการหางาน สมัครงาน สัมภาษณ์งาน ซึ่งมันเป็น evergreen product ครับ เพราะคนจบใหม่มีทุกปีตลอดไป คนที่ประสบปัญหาก็จะ repeat แบบนี้ตลอดไป

วิเคราะห์เพื่อต่อยอดตลาด
คนบางคนเติมเต็มอยู่แล้วและมองหาสิ่งที่จะมาต่อยอดเ็ป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเอง ด้วยสินค้าและบริการระดับ premium ... ที่ต่างประเทศมีบริการเครื่องบินส่วนตัวชื่อ Net Jet เครื่องบินทั้งลำนั่งคนเดียว ราคาโครตแพง  แต่คนรวยที่เป็น top business พวกนี้จะมีหัวคิดที่ sophisticated มากๆ ต้องการนั้งคนเดียวเพื่อมีสมาธิคิดงานและใช้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ คนเหล่านี้ make money เป็นแสนบาทต่อนาที ฉะนั้นเขาไม่กลัวเรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์ premium เพื่อความสะดวกสบายของพวกเขาเอง เหล่านี้คือต่อยอดเติมเต็มคนที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว และต้องการความสมบูรณ์แบบในชีวิตยิ่งๆขึ้น คุณก็สร้างผลิตภัณฑ์ราคาแพง ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นสุดยอดผลิตภัณฑ์ขายน้อยๆแต่ margin เยอะๆ เป็นต้น

ฉะนั้นวิเคราะห์ตลาดก็คือวิเคราะห์คนนั่นแหละครับ คนต้องการอะไรมาเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือ ต้องการอะไรมาต่อยอดเพื่อยกระดับ
ขอบคุณครับ สำหรับบทเรียนครับ
แต่คือผมอยากรู้ว่า อันไหนควรขาย อันไหนขายดี อะไรแบบนี้ครับ ผมยังโง่มากครับ

จากประสบการณ์ส่วนตัวผม สินค้า A อาจขายดีสำหรับใน ก. แต่ขายไม่ดีสำหรับนาย ข. ตรงนี้เป็นเรื่องท้าทายคนทำธุรกิจมากๆ รายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะ แต่ประเด็นกระทู้ดีมาก เดี๋ยวผมขอจดไว้ก่อน เอาไปทำบทความในบล็อก ผมกำลังสร้าง blog ด้าน IM อยู่ อาจจะนานนิดนึงแต่ไตรมาสที่สองของปีนี้เพื่อนๆได้อ่าน blog ผมแน่นอนครับ โย่ว
บันทึกการเข้า
powervision
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 108



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:21:44 »

มือใหม่หัดขับ  เข้ามาเก็บความรู้เหมือนกันครับ
บันทึกการเข้า

conviction
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 50
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 756



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:25:05 »

"สิ่งที่เจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้บริหารต้องรู้" เรื่องสำคัญอันดับแรก คือ แนวคิดและการบริหาร การตลาดเป็นเรื่องลองครับ
บันทึกการเข้า

aoseiei
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 36
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 905



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 11:37:34 »

"สิ่งที่เจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้บริหารต้องรู้" เรื่องสำคัญอันดับแรก คือ แนวคิดและการบริหาร การตลาดเป็นเรื่องลองครับ
แนะนำหนังสือ หรือ แหล่งความรู้ได้มั้ยครับ
บันทึกการเข้า

ariesanywhere
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 13
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 30



ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 12:13:46 »

การวิเคราะห์ตลาด เป็นการศึกษาข้อมูลตัวแปรต่างๆที่อยู่ใน "ตลาด" ครับ พูดภาษาชาวบ้านแบบเข้าใจกันง่ายๆ ลองนึกถึง ตลาดสด ห้างสรรพสินค้าครับ แล้วค่อยมองรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งผมจะขอแนะนำเป็นกึ่งวิชาการ คือความรู้ที่มีอยู่ในตำรา กับความรู้ที่มันมีอยู่จริงแต่ไม่มีใครนึกหรือรู้ว่ามันมีอย่างนี้ด้วยครับ บางเรื่องที่ไม่จำเป็นก็ขออนุญาตตัดออกไปน่ะครับ

1. มูลค่าตลาด หมายถึง ยอดรวมการค้าขายในธุรกิจนั้นๆ เช่น ตลาดเครื่องดื่ม, ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค, ตลาดสินค้าเสื้อผ้า, ตลาดกาแฟ, ตลาดสื่ออินเตอร์เน็ต, ตลาดอีคอมเมิรซ์, ฯลฯ หมายถึงยอดรวมเม็ดเงินที่สะพัดในตลาดนั้นๆ ไม่ว่าจะยอดขาย เงินไหลเวียนในระบบ ซึ่งสำหรับผมจะมองเรื่องนี้ก่อน เพื่อเลือกธุรกิจ ซึ่งตามธรรมชาตของตลาด ตลาดใหญ่ๆ เม็ดเงินสะพัดเยอะๆ จะหมายถึงธุรกิจที่มีคุณภาพ คือ ธุรกิจที่ยั่งยืน (100 ปี ก็ยังทำกันอยู่) กับธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม (นิยมสมัย) และนั่นหมายถึงอุปสรรคจากการที่จะมีคู่แข่งอยู่เป็นจำนวนมาก การสร้างแบรนด์ใหม่ๆขึ้นมาในตลาด หรือแจ้งเกิดจนฮิตติดตลาด จะใช้เวลา และมีโอกาสยากเพราะเจ้าใหญ่เค้าก็มีกลยุทธ์มากมายในการรักษาพื้นที่ในตลาดของเค้าไว้ แต่สำหรับผมก็มีข้อดีบางอย่างอยู่คือ ตลาดยิ่งใหญ่ segment หรือตลาดย่อเฉพาะทางในตลาดธุรกิจนั้นๆ มันก็ผุดกันเป็นดอกเห็ดเหมือนกัน จึุงมีช่องให้เราเดินและเติบโตได้เสมอ ไม่ว่ากี่ยุคสมัย เพียงแค่เราอาจต้องสร้างตลาดนั้นขึ้นมาเอง หรือเลือกเส้นทางตีเมืองให้เป็น track ที่เป็นเกมส์ของเราเองครับ และนอกจากนี้ยังอาจหมายถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่นตลาด local (ท้องถิ่น) ในเมือง นอกเมือง ในประเทศ ต่างๆประเทศ และยังหมายถึงในแง่อัตราการเติบโตของตลาด ว่ากี่เปอร์เซ้นต์ต่อปี ซึ่งข้อมูลจุดนี้จะเป็นข้อมูลที่แบรนด์ใหญ่ๆ เค้าจะมีข้อมูลและสถิติอยู่ในมือครับ โอกาสพลาดเค้าจึงน้อยกว่าเรา

นอกจากนี้ยังสามารถมองในมิติของการ market share ว่าใครครองสัดส่วนในตลาดอยู่เท่าไหร่ เปรียบเสมือน ก๊กต่างๆในแผนที่ตลาดครับ

2. สินค้า ตัวแปรที่สำคัญมากตัวนึง เพราะจะประกอบไปด้วยมิติหลายๆมิติ ที่ไม่ใช่มองที่ตัวสินคัาที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้เท่านั้นครับ แต่ยังหมายถึงการสร้างแบรนด์ การ dance ของสินค้า ว่าโดดไปเซ็กเมนต์ไหนได้บ้าง หรือไปเกี่ยวเนื่องกับสินค้าคู่ขนาน หรือสินค้าทดแทนตัวใกล้เคียงตัวไหนบ้าง เป็นการมอง position ของสินค้า ว่าเป็นแบรนด์ระดับใด มอง location ว่าจัดจำหน่ายหรือวางสินค้าที่ไหนบ้าง modern trade, soho, etc., การมองสินค้าว่าสร้างแบรนด์เจาะกลุ่มใด, อายุและวัย, หรือเลือกวางตนเองสำหรับผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบไหน มาตรฐานที่ได้รับเพื่อสร้างความอุ่นใจและน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ยังเป็นการมองสินค้าทีวัฏจักรการเติบโตและเสื่อมสลาย เช่น ดาว นม เด็กมีปัญหา สุนัข เหมือนในตำรา แต่ยังมองในรูปแบบอื่นๆ ได้ คือสำหรับผมจะมองเป็น "คน" หรือ "สิ่งมีชีวิต" เพราะความจริง ธุรกิจ หรือสินค้า เอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้มีแค่ 4 สถานะ และยังสลับสถานะกลับไปกลับมาได้ตลอด

และยังหมายถึงการมอง วงจร หรือขั้นตอนของสินค้าในตลาด เช่น วัตถุดิบ  การขนส่ง กำลังคน เงินทุน แหล่งเงินทุน ทำเล หรือตลาดวางของ ต้นเหตุที่มาของความต้องการสินค้า ต้นเหตุความเสื่อมสลายในตัวสินค้า สินค้าใน line ใกล้เคียงกัน สินค้าทดแทน เซ้กเมนต์ย่อยในตลาด เช่น เครื่องดื่ม มีน้ำเมา, น้ำอัดลมหรือน้ำสี, น้ำผลไม้, กาแฟ, น้ำเปล่า, ฯลฯ ยังอาจมีย่อยเป็น น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำดื่ม beauty ก็ว่ากันไปแล้วแต่จะคิดกันได้ครับ ล่าสุดนี้ผมเริ่มเห็นขยายเซ็กเมนต์ กันออกมาแนวประมาณว่า เครื่องดื่มสมุนไพร, collagen, รวมไปถึงน้ำจำพวกใช้ทำอาหารได้สำเร็จรูป เช่น น้ำแกงส้มใส่ขวด เทใส่ชามใส่ผักใส่เนื้่อแล้ว wave กินได้เลย

3. ลูกค้า ในตัวแปรข้อนี้ ผมแนะนำให้หาอ่านเอาได้ทั่วๆไป ครัีบ ว่าดูอะไรกันบ้าง เพราะจะมีพื้นฐานเหมือนๆกันหมดทุกธุรกิจครับ เช่น อายุ, วัย, เพศ, สถานภาพ, การศึกษา, ไลฟสไตล์การดำเนินชีวิต, ศาสนา, ฯลฯ แก่นแท้ของมันคือการมองที่ "ความต้องการ" ครับ พูดง่ายคือ รักโลภโกรธหลง ของมนุษย์นั่นแหละครับ แต่วิธีมองที่ถูกต้องคือ การมองด้วยความเข้าใจ ถึงที่มาที่ไปของมนุษย์ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ (ตถตา-มันเป็นเช่นนั้นเอง) จะทำให้เราธรรมชาติของลูกค้าได้ ว่าเราควรนำสินค้าไปเจอกับลูกค้าเรายังไง และควรวางตำแหน่งสินค้าเราให้โดนใจแบบไหนครับ และยังอาจหมายถึง การเลือกทำตลาดกับลูกค้าว่า ทำที่สินค้าก่อน หรือทำที่ลูกค้าก่อน เพราะบางครั้งการทำตลาดเน้นไปที่ตัวสินค้าก่อน อาจจะเหมาะกว่า เดี๋ยวลูกค้าตามมาเอง ก็เป็นการเลือกที่เหมาะสมและคุ้มกว่าก็ได้ เช่นการสร้างนวัตกรรม เป็นต้น

4. สภาพความเคลื่อนไหวหรือสภาพความรุนแรงในตลาด ตรงนี้หมายถึง การมองที่กิจกรรมที่เกิดขึ้น, ปริมาณข่าวสารเกี่ยวกับตัวสินค้า, ปริมารการออกอาวุธของผู้ร่วมแข่งขันในตลาด, บทสรุปการแข่งขันในแต่ละช่วงว่า บาดเจ็บล้มตาย หรือเสวยสุขกันมากน้อยขนาดไหน หลังสงครามสงบ คล้ายๆกับการมองว่าตลาดนั้นๆ เป็นประเทศสงบสุข หรือประเทศสงครามเย็น หรือประเทศสงครามกลางเมืองรบกันทุกวัน ประมาณนั้นครับ

5. กลยุทธ์และกลไกในตลาดนั้นๆ เป็นการมองว่าในธุรกิจหรือตลาดสินค้านั้นๆ มีการใช้กลยุทธ์อะไรกันบ้าง โดยส่วนตัวผมจะศึกษาย้อนกลับไปไกลๆหลายๆปีเลยครับ และสะสมเป็นกลยุทธ์ของเราเอง เอาไว้สู้กับคนอื่นเค้า เพื่อป้องกันธุรกิจของเรา และลดช่วงเวลาแนะนำตัวผู้ประกอบการรายใหม่ในตลาด ที่จะมีเจ้าใหญ่เข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมาก (อันนี้เอาฮาครับ มันเป็นเรื่องจริง และมีอยู่จริงครับ แต่ผ่านช่วงนี้ไปได้จะสนุกครับ) โดยส่วนตัวผมจะมองหลายๆมิติ เช่น การมองกลยุทธ์ว่าเป็นแนวนอน แนวลึก บางคนมีแนว z ด้วย, การมองระดับชั้นของกลยุทธ์ เช่น คิดกี่ชั้น 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น, การมองว่าเป็นเกมส์ คือกลยุทธ์หลายๆอัน จับใส่ cubic เป็นหลายๆชั้นหลายๆมิติ แล้ววางเป็นแถวๆ เป็นขั้นๆ เพื่อผลลัพธ์สุดท้ายที่เจ้าของตลาด หรือเจ้าใหญ่ในตลาดเค้าวางเอาไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะไม่บอก และเก็บไว้ในใจครับ

6.ปัญหาและอุปสรรค ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในตลาดนั้นๆ เช่นเดียวกับที่ศึกษากลยุทธ์ จะเป็นการซึมซับประสบการณ์และทำให้เราเรียนรู้ในธรรมชาติของธุรกิจและตลาดนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนคนหนุ่มอายุ 22 ปี (กำลังจบ) ซึ่งมีกำลังเยอะ และกำลังร้อนวิชา และมักมีข้อเสียเป็น ความประมาท เมื่อทำอะไรสำเร็จเข้าหน่อย ก็จะถูกทดสอบด้วยคนแก่อายุ 60 ซึ่งเขี้ยวลากดิน ขยับปีกพญามังกรนิดเดียว คนหนุ่มอย่างเราๆ (ผมเลยหนุ่มไปแล้ว อิอิ) ก็เป็นอันหงายเก๋ง ล้มหมดสติ และตื่นมาด้วยความงุนงง ว่ากูโดนอะไรไปว่ะเนี่ย โดนบัวขาวซัดเข้าให้แล้วหรือนี่เรา

แต่ถ้าเราเป็นคนหนุ่มที่กำลังเยอะ และรู้ข้อเสียของตนเอง ซึ่งขอบอกว่าเป็นทุกคนครับ แล้วยอมรับข้อเสียนั้นๆ ศึกษาประสบการณ์ต่างๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น มองเห็นกลยุทธ์ที่คนใช้กัน มองเห็นโครงสร้างและตัวแปรในธุรกิจ, สินค้า, และตลาด อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งถ้าได้คุยกับคนแก่ หรือผู้อาวุโสในวงการเยอะๆ ดูดเอาประสบการณ์ของคนอายุ 60 ที่เชี่ยวกรากที่เค้าเมตตาเรา เอาประสบการณ์และความรู้เหล่านั้น มาไว้ในคนหนุ่มอายุ 22 อย่างเรา คนหนุ่มอย่างเรา ก็จะมีประสบการณ์และกึ๋น ไม่แพ้คนอายุ 60 ที่เป็นผู้นำในตลาดหรือเจ้าสัวต่างๆ เหมือนกันครับ

7. ตลาด และตัวเราเอง การมองตัวเราเองเป็นส่วนหนึ่งที่ผมมักจะัเห็นหลายๆคนลืมมองไป ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญสุดเลยก็ว่าได้ เปรียบเสมือนการมองอาวุธและศักยภาพของตัวเรา ว่าเหมาะสมหรือควรเข้าไปในตลาดนั้นๆ ไหม เพราะบางทีการมองตัวเราเองไม่ออก ก็ทำให้เราประเมินสถานการณ์ผิด เดินสุ่มสี่สุ่มห้าถือมีดเข้าไปในตลาด ที่เขากำลังรบกันด้วยปืนเลเซอร์ ก็เรียบร้อยครับ กลับบ้านแน่นอน หลายๆกระทู้ผมจึงมักเน้นให้ผู้อ่านหันมามองตัวเองกันก่อน ผมไม่ได้หมายถึงมองว่าเราสู้เข้าได้ไหม ถ้าเราอาวุธน้อย แต่ผมหมายถึงอาวุธน้อยก็สู้ได้ ถ้าใช้วิธีถูก แต่เรารู้ตัวเราเองหรือเปล่า ว่าอาวุธเราน่ะน้อยแค่ไหน เอาแบบจริงๆ ไม่ลำเอียง แบบมีสติ จะได้เลือกวิธีเข้าตลาดแบบฉลาดเข้า เช่นอาวุธน้อย ตลาดใหญ่ mass เข้าลำบาก ก็จะได้เข้าตลาดนั้นเฉพาะ segment ย่อยๆ หรือใช้วิธีขายพ่วง คือแนบไปกับสินค้าเจ้าใหญ่ๆเขา เช่น แนบเพลงแต่งเองไปกับค่ายมือถือหรือแอป ดีกว่าตั้งค่ายเพลงเอง, ขายขนมของเราแนบไปกับเครื่องดื่ม, ฯลฯ

8. ช่องว่างในตลาดและเกมส์ของเราเอง นำความรู้ความเข้าใจที่ได้มามองหา ช่องว่าง และจุดอ่อนของคู่แข่ง นำตรงนั้นมาสร้างเป็นเกมส์ของเราเอง ใส่เป็นชั้นๆ หลายๆมิติ สร้างเป็นกระบวนทัพ เริ่มจากทัพเล็ก (หากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ และมีเงินทุนน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนทำธุรกิจแรกๆ) หลอมอาวุธ สร้างนวกรรม ข้าวเต็ม เงินเต็ม เสร็จแล้วเดินตามเกมส์ที่วางไว้ครับ นี่เป็นวิธีเดียว ที่รายเล็กๆ จะเติบโตรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาจนเติบโตกลายเป็นเจ้าใหญ่ได้ และไม่จำเป็นต้องมีเงินถุงเงินถัง ถึงจะรวยได้ เงินน้อยๆ ก็รวยได้ อยู่ที่เดินเกมส์ถูกหรือเปล่า ขวนขวายและขยันอดทนแค่ไหน และที่สำคัญเข้าใจตลาดจริงหรือเปล่า

ตลาด ก็เป็นสิ่งมีชีวิต เหมือน หุ้นครับ และหุ้นก็เหมือน คน เพราะเป็นความเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคน ดังนั้นถ้าคุณมีเกมส์ของคุณ เจ้าใหญ่แค่ไหนก็สู้คุณหรือบีบคุณไม่ได้ หนำซ้ำกลับอาจต้องขอเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับคุณ หรือเอาคุณเข้าไปร่วมด้วย และนั่น ก็อยู่ในแผนของคุณอยู่แล้ว

ขอให้โชคดีกับการมอง "ตลาด" ครับ
บันทึกการเข้า

It's not who I am underneath, but what I do that defines me.
aoseiei
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 36
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 905



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 12:25:57 »

การวิเคราะห์ตลาด เป็นการศึกษาข้อมูลตัวแปรต่างๆที่อยู่ใน "ตลาด" ครับ พูดภาษาชาวบ้านแบบเข้าใจกันง่ายๆ ลองนึกถึง ตลาดสด ห้างสรรพสินค้าครับ แล้วค่อยมองรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งผมจะขอแนะนำเป็นกึ่งวิชาการ คือความรู้ที่มีอยู่ในตำรา กับความรู้ที่มันมีอยู่จริงแต่ไม่มีใครนึกหรือรู้ว่ามันมีอย่างนี้ด้วยครับ บางเรื่องที่ไม่จำเป็นก็ขออนุญาตตัดออกไปน่ะครับ

1. มูลค่าตลาด หมายถึง ยอดรวมการค้าขายในธุรกิจนั้นๆ เช่น ตลาดเครื่องดื่ม, ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค, ตลาดสินค้าเสื้อผ้า, ตลาดกาแฟ, ตลาดสื่ออินเตอร์เน็ต, ตลาดอีคอมเมิรซ์, ฯลฯ หมายถึงยอดรวมเม็ดเงินที่สะพัดในตลาดนั้นๆ ไม่ว่าจะยอดขาย เงินไหลเวียนในระบบ ซึ่งสำหรับผมจะมองเรื่องนี้ก่อน เพื่อเลือกธุรกิจ ซึ่งตามธรรมชาตของตลาด ตลาดใหญ่ๆ เม็ดเงินสะพัดเยอะๆ จะหมายถึงธุรกิจที่มีคุณภาพ คือ ธุรกิจที่ยั่งยืน (100 ปี ก็ยังทำกันอยู่) กับธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม (นิยมสมัย) และนั่นหมายถึงอุปสรรคจากการที่จะมีคู่แข่งอยู่เป็นจำนวนมาก การสร้างแบรนด์ใหม่ๆขึ้นมาในตลาด หรือแจ้งเกิดจนฮิตติดตลาด จะใช้เวลา และมีโอกาสยากเพราะเจ้าใหญ่เค้าก็มีกลยุทธ์มากมายในการรักษาพื้นที่ในตลาดของเค้าไว้ แต่สำหรับผมก็มีข้อดีบางอย่างอยู่คือ ตลาดยิ่งใหญ่ segment หรือตลาดย่อเฉพาะทางในตลาดธุรกิจนั้นๆ มันก็ผุดกันเป็นดอกเห็ดเหมือนกัน จึุงมีช่องให้เราเดินและเติบโตได้เสมอ ไม่ว่ากี่ยุคสมัย เพียงแค่เราอาจต้องสร้างตลาดนั้นขึ้นมาเอง หรือเลือกเส้นทางตีเมืองให้เป็น track ที่เป็นเกมส์ของเราเองครับ และนอกจากนี้ยังอาจหมายถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่นตลาด local (ท้องถิ่น) ในเมือง นอกเมือง ในประเทศ ต่างๆประเทศ และยังหมายถึงในแง่อัตราการเติบโตของตลาด ว่ากี่เปอร์เซ้นต์ต่อปี ซึ่งข้อมูลจุดนี้จะเป็นข้อมูลที่แบรนด์ใหญ่ๆ เค้าจะมีข้อมูลและสถิติอยู่ในมือครับ โอกาสพลาดเค้าจึงน้อยกว่าเรา

นอกจากนี้ยังสามารถมองในมิติของการ market share ว่าใครครองสัดส่วนในตลาดอยู่เท่าไหร่ เปรียบเสมือน ก๊กต่างๆในแผนที่ตลาดครับ

2. สินค้า ตัวแปรที่สำคัญมากตัวนึง เพราะจะประกอบไปด้วยมิติหลายๆมิติ ที่ไม่ใช่มองที่ตัวสินคัาที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้เท่านั้นครับ แต่ยังหมายถึงการสร้างแบรนด์ การ dance ของสินค้า ว่าโดดไปเซ็กเมนต์ไหนได้บ้าง หรือไปเกี่ยวเนื่องกับสินค้าคู่ขนาน หรือสินค้าทดแทนตัวใกล้เคียงตัวไหนบ้าง เป็นการมอง position ของสินค้า ว่าเป็นแบรนด์ระดับใด มอง location ว่าจัดจำหน่ายหรือวางสินค้าที่ไหนบ้าง modern trade, soho, etc., การมองสินค้าว่าสร้างแบรนด์เจาะกลุ่มใด, อายุและวัย, หรือเลือกวางตนเองสำหรับผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบไหน มาตรฐานที่ได้รับเพื่อสร้างความอุ่นใจและน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ยังเป็นการมองสินค้าทีวัฏจักรการเติบโตและเสื่อมสลาย เช่น ดาว นม เด็กมีปัญหา สุนัข เหมือนในตำรา แต่ยังมองในรูปแบบอื่นๆ ได้ คือสำหรับผมจะมองเป็น "คน" หรือ "สิ่งมีชีวิต" เพราะความจริง ธุรกิจ หรือสินค้า เอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้มีแค่ 4 สถานะ และยังสลับสถานะกลับไปกลับมาได้ตลอด

และยังหมายถึงการมอง วงจร หรือขั้นตอนของสินค้าในตลาด เช่น วัตถุดิบ  การขนส่ง กำลังคน เงินทุน แหล่งเงินทุน ทำเล หรือตลาดวางของ ต้นเหตุที่มาของความต้องการสินค้า ต้นเหตุความเสื่อมสลายในตัวสินค้า สินค้าใน line ใกล้เคียงกัน สินค้าทดแทน เซ้กเมนต์ย่อยในตลาด เช่น เครื่องดื่ม มีน้ำเมา, น้ำอัดลมหรือน้ำสี, น้ำผลไม้, กาแฟ, น้ำเปล่า, ฯลฯ ยังอาจมีย่อยเป็น น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำดื่ม beauty ก็ว่ากันไปแล้วแต่จะคิดกันได้ครับ ล่าสุดนี้ผมเริ่มเห็นขยายเซ็กเมนต์ กันออกมาแนวประมาณว่า เครื่องดื่มสมุนไพร, collagen, รวมไปถึงน้ำจำพวกใช้ทำอาหารได้สำเร็จรูป เช่น น้ำแกงส้มใส่ขวด เทใส่ชามใส่ผักใส่เนื้่อแล้ว wave กินได้เลย

3. ลูกค้า ในตัวแปรข้อนี้ ผมแนะนำให้หาอ่านเอาได้ทั่วๆไป ครัีบ ว่าดูอะไรกันบ้าง เพราะจะมีพื้นฐานเหมือนๆกันหมดทุกธุรกิจครับ เช่น อายุ, วัย, เพศ, สถานภาพ, การศึกษา, ไลฟสไตล์การดำเนินชีวิต, ศาสนา, ฯลฯ แก่นแท้ของมันคือการมองที่ "ความต้องการ" ครับ พูดง่ายคือ รักโลภโกรธหลง ของมนุษย์นั่นแหละครับ แต่วิธีมองที่ถูกต้องคือ การมองด้วยความเข้าใจ ถึงที่มาที่ไปของมนุษย์ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ (ตถตา-มันเป็นเช่นนั้นเอง) จะทำให้เราธรรมชาติของลูกค้าได้ ว่าเราควรนำสินค้าไปเจอกับลูกค้าเรายังไง และควรวางตำแหน่งสินค้าเราให้โดนใจแบบไหนครับ และยังอาจหมายถึง การเลือกทำตลาดกับลูกค้าว่า ทำที่สินค้าก่อน หรือทำที่ลูกค้าก่อน เพราะบางครั้งการทำตลาดเน้นไปที่ตัวสินค้าก่อน อาจจะเหมาะกว่า เดี๋ยวลูกค้าตามมาเอง ก็เป็นการเลือกที่เหมาะสมและคุ้มกว่าก็ได้ เช่นการสร้างนวัตกรรม เป็นต้น

4. สภาพความเคลื่อนไหวหรือสภาพความรุนแรงในตลาด ตรงนี้หมายถึง การมองที่กิจกรรมที่เกิดขึ้น, ปริมาณข่าวสารเกี่ยวกับตัวสินค้า, ปริมารการออกอาวุธของผู้ร่วมแข่งขันในตลาด, บทสรุปการแข่งขันในแต่ละช่วงว่า บาดเจ็บล้มตาย หรือเสวยสุขกันมากน้อยขนาดไหน หลังสงครามสงบ คล้ายๆกับการมองว่าตลาดนั้นๆ เป็นประเทศสงบสุข หรือประเทศสงครามเย็น หรือประเทศสงครามกลางเมืองรบกันทุกวัน ประมาณนั้นครับ

5. กลยุทธ์และกลไกในตลาดนั้นๆ เป็นการมองว่าในธุรกิจหรือตลาดสินค้านั้นๆ มีการใช้กลยุทธ์อะไรกันบ้าง โดยส่วนตัวผมจะศึกษาย้อนกลับไปไกลๆหลายๆปีเลยครับ และสะสมเป็นกลยุทธ์ของเราเอง เอาไว้สู้กับคนอื่นเค้า เพื่อป้องกันธุรกิจของเรา และลดช่วงเวลาแนะนำตัวผู้ประกอบการรายใหม่ในตลาด ที่จะมีเจ้าใหญ่เข้ามาทำความรู้จักเป็นจำนวนมาก (อันนี้เอาฮาครับ มันเป็นเรื่องจริง และมีอยู่จริงครับ แต่ผ่านช่วงนี้ไปได้จะสนุกครับ) โดยส่วนตัวผมจะมองหลายๆมิติ เช่น การมองกลยุทธ์ว่าเป็นแนวนอน แนวลึก บางคนมีแนว z ด้วย, การมองระดับชั้นของกลยุทธ์ เช่น คิดกี่ชั้น 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น, การมองว่าเป็นเกมส์ คือกลยุทธ์หลายๆอัน จับใส่ cubic เป็นหลายๆชั้นหลายๆมิติ แล้ววางเป็นแถวๆ เป็นขั้นๆ เพื่อผลลัพธ์สุดท้ายที่เจ้าของตลาด หรือเจ้าใหญ่ในตลาดเค้าวางเอาไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะไม่บอก และเก็บไว้ในใจครับ

6.ปัญหาและอุปสรรค ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในตลาดนั้นๆ เช่นเดียวกับที่ศึกษากลยุทธ์ จะเป็นการซึมซับประสบการณ์และทำให้เราเรียนรู้ในธรรมชาติของธุรกิจและตลาดนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนคนหนุ่มอายุ 22 ปี (กำลังจบ) ซึ่งมีกำลังเยอะ และกำลังร้อนวิชา และมักมีข้อเสียเป็น ความประมาท เมื่อทำอะไรสำเร็จเข้าหน่อย ก็จะถูกทดสอบด้วยคนแก่อายุ 60 ซึ่งเขี้ยวลากดิน ขยับปีกพญามังกรนิดเดียว คนหนุ่มอย่างเราๆ (ผมเลยหนุ่มไปแล้ว อิอิ) ก็เป็นอันหงายเก๋ง ล้มหมดสติ และตื่นมาด้วยความงุนงง ว่ากูโดนอะไรไปว่ะเนี่ย โดนบัวขาวซัดเข้าให้แล้วหรือนี่เรา

แต่ถ้าเราเป็นคนหนุ่มที่กำลังเยอะ และรู้ข้อเสียของตนเอง ซึ่งขอบอกว่าเป็นทุกคนครับ แล้วยอมรับข้อเสียนั้นๆ ศึกษาประสบการณ์ต่างๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น มองเห็นกลยุทธ์ที่คนใช้กัน มองเห็นโครงสร้างและตัวแปรในธุรกิจ, สินค้า, และตลาด อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งถ้าได้คุยกับคนแก่ หรือผู้อาวุโสในวงการเยอะๆ ดูดเอาประสบการณ์ของคนอายุ 60 ที่เชี่ยวกรากที่เค้าเมตตาเรา เอาประสบการณ์และความรู้เหล่านั้น มาไว้ในคนหนุ่มอายุ 22 อย่างเรา คนหนุ่มอย่างเรา ก็จะมีประสบการณ์และกึ๋น ไม่แพ้คนอายุ 60 ที่เป็นผู้นำในตลาดหรือเจ้าสัวต่างๆ เหมือนกันครับ

7. ตลาด และตัวเราเอง การมองตัวเราเองเป็นส่วนหนึ่งที่ผมมักจะัเห็นหลายๆคนลืมมองไป ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญสุดเลยก็ว่าได้ เปรียบเสมือนการมองอาวุธและศักยภาพของตัวเรา ว่าเหมาะสมหรือควรเข้าไปในตลาดนั้นๆ ไหม เพราะบางทีการมองตัวเราเองไม่ออก ก็ทำให้เราประเมินสถานการณ์ผิด เดินสุ่มสี่สุ่มห้าถือมีดเข้าไปในตลาด ที่เขากำลังรบกันด้วยปืนเลเซอร์ ก็เรียบร้อยครับ กลับบ้านแน่นอน หลายๆกระทู้ผมจึงมักเน้นให้ผู้อ่านหันมามองตัวเองกันก่อน ผมไม่ได้หมายถึงมองว่าเราสู้เข้าได้ไหม ถ้าเราอาวุธน้อย แต่ผมหมายถึงอาวุธน้อยก็สู้ได้ ถ้าใช้วิธีถูก แต่เรารู้ตัวเราเองหรือเปล่า ว่าอาวุธเราน่ะน้อยแค่ไหน เอาแบบจริงๆ ไม่ลำเอียง แบบมีสติ จะได้เลือกวิธีเข้าตลาดแบบฉลาดเข้า เช่นอาวุธน้อย ตลาดใหญ่ mass เข้าลำบาก ก็จะได้เข้าตลาดนั้นเฉพาะ segment ย่อยๆ หรือใช้วิธีขายพ่วง คือแนบไปกับสินค้าเจ้าใหญ่ๆเขา เช่น แนบเพลงแต่งเองไปกับค่ายมือถือหรือแอป ดีกว่าตั้งค่ายเพลงเอง, ขายขนมของเราแนบไปกับเครื่องดื่ม, ฯลฯ

8. ช่องว่างในตลาดและเกมส์ของเราเอง นำความรู้ความเข้าใจที่ได้มามองหา ช่องว่าง และจุดอ่อนของคู่แข่ง นำตรงนั้นมาสร้างเป็นเกมส์ของเราเอง ใส่เป็นชั้นๆ หลายๆมิติ สร้างเป็นกระบวนทัพ เริ่มจากทัพเล็ก (หากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ และมีเงินทุนน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนทำธุรกิจแรกๆ) หลอมอาวุธ สร้างนวกรรม ข้าวเต็ม เงินเต็ม เสร็จแล้วเดินตามเกมส์ที่วางไว้ครับ นี่เป็นวิธีเดียว ที่รายเล็กๆ จะเติบโตรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาจนเติบโตกลายเป็นเจ้าใหญ่ได้ และไม่จำเป็นต้องมีเงินถุงเงินถัง ถึงจะรวยได้ เงินน้อยๆ ก็รวยได้ อยู่ที่เดินเกมส์ถูกหรือเปล่า ขวนขวายและขยันอดทนแค่ไหน และที่สำคัญเข้าใจตลาดจริงหรือเปล่า

ตลาด ก็เป็นสิ่งมีชีวิต เหมือน หุ้นครับ และหุ้นก็เหมือน คน เพราะเป็นความเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคน ดังนั้นถ้าคุณมีเกมส์ของคุณ เจ้าใหญ่แค่ไหนก็สู้คุณหรือบีบคุณไม่ได้ หนำซ้ำกลับอาจต้องขอเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับคุณ หรือเอาคุณเข้าไปร่วมด้วย และนั่น ก็อยู่ในแผนของคุณอยู่แล้ว

ขอให้โชคดีกับการมอง "ตลาด" ครับ
ขอบคุณมากครับ
บันทึกการเข้า

armworapon
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 393



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 12:49:06 »

มาขอความรู้ครับ
บันทึกการเข้า

rujirot
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 45
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 707



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 13:37:47 »

ต้องพยายามเก็บความรู้ ทุกทางดูคับ wanwan003
บันทึกการเข้า

หมีกระป๋อง
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 826
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,155



ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 13:38:53 »

ลองไปเดินซีเอ็ด โซนธุรกิจ การตลาดดูครับ มีที่น่าสนใจเพียบเลย
บันทึกการเข้า

aoseiei
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 36
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 905



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2013, 14:02:54 »

ลองไปเดินซีเอ็ด โซนธุรกิจ การตลาดดูครับ มีที่น่าสนใจเพียบเลย
ผมเดินผ่านบ่อยครับ แต่อยากได้แบบเนื้อหาที่ไว้เรียน
บันทึกการเข้า

chinnawong
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 41
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 23 มีนาคม 2013, 09:11:09 »

ต้องมีแนวคิดก่อนครับ

คิดว่าจะทำอะไร กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
เสร็จแล้วก็ศึกษา
1.การตลาด ลูกค้าอยู่ที่ไหน มีเท่าไหร่  ขนาดของตลาดใหญ่แค่ไหน ทำยังไงไปเข้าไปแย่งส่วนแบ่งมาได้
2.ด้านการผลิตหรือบริการ มีวิธีการผลิตหรือบริการยังไง
3.การเงิน เช่น เงินทุน เงินหมุนเวียน จะใช้เท่าไหร่ จะหามาจากไหน
4.บุคลากร จะต้องมีคนกี่คน ใครจะทำอะไรบ้าง
5.ด้านกฎหมาย เช่น ตะต้องจดทะเบียนอะไร ยังไง เสียภาษีแบบไหน
แล้วก็อื่นๆ ครับ
ผมว่าลองไปหาซื้อหนังสือมาอ่านก่อนครับ มันจะพอเป็นแนวทางได้ ส่วนจะโอเคหรือเปล่า อยู่ที่การประยุกต์ใช้
บันทึกการเข้า

EazySEO
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 49



ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 23 มีนาคม 2013, 10:00:25 »

อันดับที่ 1 สำคัญที่สุดคือ "ทำเล" ที่ดั้งร้านค้า : ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าจริงหรือร้านค้าออนไลน์
ร้านค้าจริงถ้าอยู่ในทำเลที่ดีมีลูกค้าผ่านไปผ่านมาธุรกิจก็รุ่ง (ร้านเซเว่นฯ เป็นตัวอย่าง)
ร้านค้าออนไลน์ถ้าทำเลอยู่ในหน้า 1 ของ search engine หรือมีลูกค้าแวะเวียนมาตลอดธุรกิจก็รุ่ง
wanwan020
อันดับที่ 2 "กลุ่มเป้าหมาย" : สมมุติว่าถ้าเปิดร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายแต่คนที่ผ่านไปผ่านมามีแต่ผู้หญิงก็ไม่มีใครซื้อ  wanwan044

อันดับที่ 3 "กลยุทธทางการตลาด" :  จุดเด่นของสินค้าที่คู่แข่งไม่มี  โปรโมชั่นลดแหลกแจกแถมที่สามารถดึงดูดลูกค้า จนเอาชนะคู่แข่งได้  wanwan013

อันดับที่ 4 "การบริหารจัดการที่ดี" : ถ้าขายดี  แต่โดนลูกน้องโกงหรือเจ้าของธุรกิจเอาเงินไปใช้ผิดประเภทจนไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ก็จบเห่  wanwan035

บันทึกการเข้า
june_pinkfloyd
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 9
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 116



ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 23 มีนาคม 2013, 10:37:50 »

แต่ละท่านยอดเยี่ยมมากเลยขอบคุณที่แบ่งปั่นครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3   ขึ้นบน
พิมพ์