ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.com< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน)สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe)เป็นคนบุคลิกเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดมาก จะทำธุรกิจค้าขายมันจะไปได้รอดไหม
หน้า: 1 2 [3] 4   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เป็นคนบุคลิกเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดมาก จะทำธุรกิจค้าขายมันจะไปได้รอดไหม  (อ่าน 9026 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
zocutez
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 48



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 01:48:37 »

เป็นเหมือนกันเลยค่ะ  เเต่รับรองขายได้ค่ะ 
ขายของในเนตไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง 
แต่เราแค่รู้จักสินค้าเราเองก็พอ ไม่ใช่สินค้ามาก .. จะขายอย่างเดียว
บันทึกการเข้า

ไดไดหัว อาหารเสริมผิวขาว Ivory caps
domino432
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 34
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 309



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 03:08:39 »

ไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง แค่จิงใจกับลูกค้า และเอาใส่กับงานให้มากๆ ค๊าฟ
บันทึกการเข้า

ยาเพิ่มน้ำหนัก ยาเพิ่มน้ำหนัก
บ้าน ที่ดิน ประกาศ เช่าห้องพัก หอพัก คอนโด
เพิ่มน้ำหนัก
Uinvest Uinvest
Best Clothes Best Clothes
talon
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 38
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 244



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 03:23:35 »

การทำ "ธุรกิจ"  ให้รอดนั้น อาศัยปัจจัยเป็นพัน ๆ อย่าง
"การพูดเก่ง" ก็แค่ปัจจัยหนึ่งในนั้นเท่านั้นเองครับ
ต่อให้คุณ "พูดเก่ง" น้ำไหลไฟดับ พูดคนเดียวได้สี่ห้าชั่วโมงรวด
มันก็ไม่ได้การันตีว่า คุณจะประสบความสำเร็จในธุรกิจของคุณ


คนเราแต่ละคน มีทั้ง "จุดอ่อน" และ "จุดแข็ง" ไม่มีใครเก่งไปซะทุกเรื่องทุกราว
อยากจะไปให้รอด ก็หาสินค้าที่ไปกันได้กับ "จุดแข็ง" ของเราครับ

หรือ พยายามทุกทางที่จะพัฒนาตนเอง หรือ หาคนที่มีความสามารถมาทำงาน
เพื่อเปลี่ยนจุดอ่อนของเราทั้งหมด ให้เป็นจุดแข็งพอที่จะแข่งขันในตลาดได้

-----------------------------------------------------

อยากบอกว่า การทำธุรกิจเป็นเรื่องของคนหัวใจแข็งแกร่งเท่านั้นครับ
มีคนเพียงไม่กี่ % เท่านั้นที่มีหัวใจแข็งแกร่งพอที่จะกล้าก้าวข้าว comfort zone ออกมา

และน่าเสียดายที่แค่ "หัวใจแข็งแกร่ง" มันก็ยังไม่พอสำหรับคำว่า "ประสบความสำเร็จ"
เพราะค่าเฉลี่ยของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คือ 5%
ซึ่งในความหมายอีกด้านคือ ธุรกิจที่ "อยู่ไม่ได้ไปไม่รอด" มีถึง 95%

ส่วนใหญ่ คนใน 95 % ที่ว่านั้น จะเข็ด และกลับเข้าไปอยู่ใน comfort zone ตามเดิม
ในขณะที่ผู้ประสบความสำเร็จนั้น จะเก็บข้อผิดพลาดมาพัฒนา แล้วลุกขึ้นก้าวต่อไป

ค่าเฉลี่ยของผู้ที่ประสบความสำเร็จคือ เจ๊งมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้งครับ
เกือบทั้งหมดของผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะเคยผ่านคำว่า "เจ๊ง" มาแล้วทั้งนั้น

และในเรื่องราวของความสำเร็จ ตอนที่เล่าได้มันส์ที่สุด ไม่ใช่ตอนที่ประสบความสำเร็จครับ
"ในช่วงเวลาแห่งความฉิบหายวายป่วง เงินไม่เหลือจะพอยาไส้
กรูผ่านมันมาได้อย่างไร" อันนี้แหละครับ เล่าได้มันส์สะใจผู้เล่าสุด ๆ แล้ว

คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ "กล้าก้าวไปข้างหน้า" ครับ
แต่หมายถึงคนที่ "กล้าลุก ในทุก ๆ ครั้งที่ล้ม" และ "ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมากขึ้น"


เป็นกำลังใจให้นะครับ และหวังว่าในอนาคต จขกท. จะเป็นอีกคน ที่เล่าประสบการณ์มันส์ ๆ ให้คนรุ่นหลังฟังอย่างภาคภูมิใจ

บันทึกการเข้า

ริคาร์โด้กาก้า
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 92
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,322



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 03:24:37 »

 wanwan019
บันทึกการเข้า

ET
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 555
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,411



ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 03:32:26 »

ถ้าทำธุรกิจค้าขาย ต้องทำลาย EGO ของตัวเอง ออกไปให้หมดครับ


และท่องไว้ในใจว่า  "ลูกค้าคือพระเจ้า"

ถ้าทำได้  ก็ขายของได้ครับ  


แต่ถ้าเป็นพวกมือไม้แข็ง  ยกมือไหว้ใครไม่ได้  ก็อย่าหวังจะไปขายของให้ใครครับ


พูดเก่ง หรือ ไม่เก่ง  ไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ

ผมเคยอ่านวิจัย  พวกเด็กโบกรถ ตามที่จอดรถ   

1. ถ้าคุณโบกอย่างเดียว  ส่งไฟอย่างเดียว  ปิดประตูรถอย่างเดียว  โอกาศได้ tip น้อยมาก  10-20 คัน ได้ที

2. ถ้าคุณ ยิ้มแป้น วิ่งมา ยกมือสวัสดี   และโบกรถ ปิดประตู  และสวัสดีอีกรอบ  โอกาศที่คุณจะได้  tip คือ  มากกว่า ข้อ 1. ถึง 70% 

นั้นคือ นิสัยคนไทย   

ขายของคือการเอา EGO เราออกไป  และ น้อบน้อม   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มกราคม 2012, 03:41:42 โดย ET » บันทึกการเข้า
ginky
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 23
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 337



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 05:17:32 »

ขายในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจครับ เพราะว่าเราได้สนใจและเรียนรู้มันอย่างลึกซึ้งกว่าคนอื่น เวลาคนอื่นถามเราก็จะมั่นใจเพราะเรารู้จักมันดี และรักที่จะเผยแพร่
ไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นคนเงียบๆหรอกครับ เราเป็นสัตว์สังคม เราอยากคุยกับคนอื่นทั้งนั้นแหละ ยิ่งเรื่องที่ตัวเองชอบล่ะก็ คนที่เคยเงียบๆนี่แหละ คุยได้เป็นวัน
ถ้าไม่อยากเปลี่ยนตัวเองมาก ก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบก่อนครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าอยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆ ก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว ไหนๆก็ต้องลำบากแล้ว ขอลำบากเพื่องานที่ชอบดีกว่า
*~เก้าคุง~*
สายตรวจเสียวบอร์ด
Moderator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 136
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,097



ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 05:27:34 »



ลองดูบุคลิกของคนนี้ดิครับ พูดน้อยๆ แต่ว่าธุรกิจเค้าร้อยล้านเลยนะครับ
บันทึกการเข้า
nichamp
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 40
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 484



ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 06:44:22 »

จ้างคนที่พูดเก่งสิครับ
ธุรกิจจะประสบความสำเร็จ เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง
เพียงแต่วางแผนให้ดี จ้างคนให้เป็น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ
บันทึกการเข้า
goddy008
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 112
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,565



ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 08:47:22 »

http://www.youtube.com/watch?v=Ny-UugUHak0

ลองดูบุคลิกของคนนี้ดิครับ พูดน้อยๆ แต่ว่าธุรกิจเค้าร้อยล้านเลยนะครับ


โหยมีรายการอย่างนี้ด้วย...พอดีที่บ้านไม่มีทีวีอ่ะครับ ขอบคุณครับที่โพสต์มาให้ จะได้ติดตามดู

ปล. มีเงินนะ แต่ไม่ซื้อทีวี ไม่ชอบเสพทีวี แต่พลาดรายการดีๆ แบบนี้ สงสัยต้องคิดใหม่ทำใหม่ซะแล้ว
บันทึกการเข้า

ลัลลลล้า
weerap
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 08:54:25 »

ไม่รู้สิ เพื่อนผมพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ขายของดียังก่ะเททิ้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มกราคม 2012, 08:54:50 โดย weerap » บันทึกการเข้า
manow
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 160



ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 09:16:19 »

อโทษนะครับ ในความคิดส่วนตัวบางครั้งลูกค้าก็ไม่ใช่พระเจ้านะครับ

การทำงานหรือให้บริการ รวมทั้งการชื้อขายมันมีขอบเขตการให้บริการอยู่แล้วครับ

เพราะลูกค้าบางคนคิดว่า เขาคือพระเจ้า เขาต้องได้ทุกอย่าง ไม่รู้จักพอนะครับ

ปล. ผมเคยเจอลูกค้ามาชื้อของแล้วบอกเราว่าแม่ค้าพ่อค้าอย่างไรต้องเอาใจเขาหรือ (ว่าไม่ได้) เพราะว่าเราเหมือนไปขอเงินเขาให้มาชื้อของเรา

(อีกที่... ในความคิดผมตอนนั้นมันหมายถึงเหมือนขอทานนะครับ)  ผมก็เลยบอกไปว่า ไว้โอกาสหน้าหน่อยมาชื้อนะครับ

ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง และก็ปากห... อีกต่างหาก

ทุกวันนี้ อยู่ได้ด้วยว่า

ความจริงใจให้ลูกค้าครับ ทำได้ก็บอกว่าได้ ทำไม่ได้ก็บอกว่าไม่ได้  และ ราคาก็ไม่ได้ขูดเลือดขูดเนื้อใคร  ผมอยู่ได้ลูกค้า ok ก็พอครับ

ปล.. แต่ผมก็มีคนที่พูดเก่งหรือพูดดี เป็นทับหน้าหรือหลังให้ตลอดนะครับ ในบ้างครั้งที่เรา ปากห.. ใส่ลูกค้านะครับ

ทำไก่ทอด หมูปิ้ง(หมูปิงก็ใช้หมูเกรดเอทำ .. พี่สาวที่อยู่เขียงหมูบอกว่าทำไมไม่ใช่เกรดบีทำละ ถูกว่า เราก็บอกว่าเห็นแล้วอย่างไหนมันหน้ากินและสะอาดกว่ากันละ คำตอบก็อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วครับ คือ เกรด เอ)  ก็ใส่ทุกอย่างไม่อั้น ปล.. ตอนนี้หยุดขาย แล้่วเพราะว่าเครื่องปรุงแพงนะครับ แต่ขายเพงก็ไม่ได้ เพราะแม่ค้าใหม่มาขายตัดราคา

แค่มาเล่าให้ฟังเฉลย ๆ ๆ
บันทึกการเข้า

บริการ Text Link Network PR2-4 ต่าง IP
Class A 40 IP  Class C 20IP จำนวน 60 เว็บ ราคาพิเศษเพียง เดือนละ 3000 จำกัดเพียง 10 ที่ต่อเว็บ
Contents ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับกีฬา ติดที่ Side bar
สนใจสอบถามได้นะครับ
invest
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 38
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 854



ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 09:23:05 »

ผมคิดว่าถ้าคุณเข้าใจสินค้าตัวนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
และนำเสนอต่อลูกค้าแบบจริงใจ โดยไม่ต้องพูดอะไรเยอะแยะเป็นต่อยหอยแค่นี้ก็น่าจะได้นะครับ
เพราะลูกค้าต้องการข้อมูลที่จริง จะปิดการขายได้สูง และอาจจะได้ลูกค้าประจำ ( เพราะเค้าไว้ใจร้านคุณแล้ว )

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มกราคม 2012, 09:44:33 โดย invest » บันทึกการเข้า
guitarnote
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 9
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 51



ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 10:07:28 »

พูดมากกับพูดเป็น มันไม่เหมือนกันครับ

พูดเป็น : พูดแล้วอธิบายให้เข้าใจได้ในทันที
พูดมาก : อู้ไปเรื่อย อะหยังก่อบะฮู้
บันทึกการเข้า
iLmare_Infornation
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 146



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #53 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 10:12:27 »

เรื่อง "พ่อของฉัน...คนขายเต้าหู้ผู้เป็นใบ้" .... (ที่มาของโฆษณาหนึ่งทางโทรทัศน์)




เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่
เรื่องราวคนขายเต้าหู้
~ คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้ ~


ตอน เหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว –

“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ
เต้าหู้อร่อยจ้า – เสียงนี่เป็นของฉัน
คนขายคือพ่อฉัน
พ่อฉันเป็นใบ้”

ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ
แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี

อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด
ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก
เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน

พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา
ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก
ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก
ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด
ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย
ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้
มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน
เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง
เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม)
ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้
ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง
ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า
ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว
ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน

น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน
เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง
เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ ในที่สุด

ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก
ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน

ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น

ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร
ไม่รู่ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม
ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน
รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง

ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เสื้อ ม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือ ฉันอย่างพิถีพิถัน
ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง

ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก
เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ
เมื่อ ฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้

หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ
บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน
ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู

พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน
นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้

พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ
เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก

พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม.
เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม

ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง.........

มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู
ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก
พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่

พ่อ ใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล


พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น และเปรยกับพี่ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า
เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า

ชุด สวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย
น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่

หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

ทันใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ

นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ
ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน

หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ
พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่

เห็น หมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด

พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก

พี่ ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆเห็นแล้วต้องร้องไห้
หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร

พ่อ ตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว

ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน

ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู
พ่อไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง

พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ
จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้

ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ
ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา

พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉัน
กล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน
เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆรอลูกอยู่”

เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม

แม้ โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่

ระหว่าง นั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย

ชาวบ้าน ต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอทว่าชัดเจนดังนี้ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน......

ในที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย
ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา

ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น
ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี

หัว โกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้ พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ
พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ

มี อยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ
ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆกับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้

ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง
เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน
โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ
ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้

เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน
ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี

ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง
เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน
ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ.


credit : เว็บพลังจิต

 :'(


ปล.ที่ยกบทความมาให้อ่านเพราะจะบอกว่า ... ถ้าลุงใบ้คนนี้ขายเต้าหู้ได้ ... คุณจะขายอะไรในโลกนี้ก็ได้ครับ !!

 wanwan007


ขอบคุณสำหรับบทความครับ เล่นเอาน้ำตาซึมเลย  wanwan009
บันทึกการเข้า

ห้ามใส่ลายเซนต์การพนัน
nutt2998
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 100
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,856



ดูรายละเอียด
« ตอบ #54 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 10:35:56 »

ร้องไห้ไปสามรอบ  Cry
บันทึกการเข้า
cartoon7
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 74
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,153



ดูรายละเอียด
« ตอบ #55 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 10:41:20 »

มาทำงานกับอิชั้น เดือนเดียวพูดคล่องแหง  wanwan004 ตอนนี้ลูกน้องที่ทำงานอยู่ด้วย พูดเก่งแซงหน้าอิชั้นแล้ว ขนาดตอนมาเงียบมากจนนึกว่าน้องเค้าพูดไม่เป็น ตอนนี้..เวลาจะพูดแต่ละที ต้องยกมือ "ขอชั้นพูดก๊อนนน.." ทุกครั้งเลย  Cry

........

ก่อนจะนึกถึงเรื่องพูดไม่เก่งแล้วจะขายได้มั้ย ต้องนึกให้ออกก่อนค่ะ ว่าจะ "ขายอะไร" เพราะสินค้าแต่ละอย่าง ก็ใช้ความคล่องในการพูดไม่เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
katai
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #56 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 11:11:43 »

ขายได้ค่ะ ถ้าคุณขายสิ่งที่ไม่ตะโกนเรียกลูกค้า แบที่เห็นตามตลาดนัด
ที่ตลาดแถวบ้านเรา มีสองผัวเมียขายน้ำปั่นค่ะ เค้าเป็นใบ้หูหนวก
เวลาเราซื้อก็พูดปกติ เค้าเข้าใจอะ (ชานมเย็นไม่ปั่นค่ะ)
เห็นเวลาสองผัวเมียเค้าทะเลาะกัน ใช้ภาษามือใส่อารมกันไปมา สุดๆเลยค่ะ   wanwan014
บันทึกการเข้า
OAT13
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 7
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 70



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 11:44:01 »

พูดไม่เก่ง มันก็ต้องมีอย่างอื่น ชดเชยให้เก่ง

ไม่ใช่ พูดก็ไม่เก่ง
อย่างอื่นก็ไม่เก่ง

ขายของก็คงไม่ได้นะครับ

อย่าผม พูดไม่เก่ง ก็จริง แต่ก็อาศัย นำเสนอ เก่งๆ โพสรูปเยอะๆ พิมพ์บทความเยอะๆ

อธิบายเป็นตัวอักษร เก่ง คือ อธิบายแล้ว คนอ่านเก๊ท น่ะ ไม่ใช่ มีแต่ บทความ แต่อ่านไม่รู้เรื่อง อ่ะคับ
บันทึกการเข้า
nutopza
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 37
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 638



ดูรายละเอียด
« ตอบ #58 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 11:50:19 »

พูดมาก กับ พูดเก่ง คนละเรื่องกันเลย

บางคนพูดน้อย แต่ตรงประเด็น โดนใจ  ใครๆก็ชอบ

เห็นด้วยอย่างยิ่ง บางทีบูกค้าไม่ซื้อของเพราะคนขายพูดมากเนี่ยแหละ  Sad
บันทึกการเข้า

ศักยะ
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 123
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,790



ดูรายละเอียด
« ตอบ #59 เมื่อ: 26 มกราคม 2012, 11:57:01 »

เรื่อง "พ่อของฉัน...คนขายเต้าหู้ผู้เป็นใบ้" .... (ที่มาของโฆษณาหนึ่งทางโทรทัศน์)




เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่
เรื่องราวคนขายเต้าหู้
~ คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้ ~


ตอน เหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว –

“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ
เต้าหู้อร่อยจ้า – เสียงนี่เป็นของฉัน
คนขายคือพ่อฉัน
พ่อฉันเป็นใบ้”

ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ
แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี

อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด
ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก
เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน

พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา
ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก
ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก
ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด
ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย
ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้
มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน
เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง
เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม)
ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้
ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง
ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า
ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว
ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน

น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน
เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง
เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ ในที่สุด

ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก
ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน

ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น

ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร
ไม่รู่ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม
ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน
รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง

ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เสื้อ ม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือ ฉันอย่างพิถีพิถัน
ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง

ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก
เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ
เมื่อ ฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้

หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ
บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน
ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู

พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน
นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้

พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ
เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก

พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม.
เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม

ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง.........

มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู
ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก
พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่

พ่อ ใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล


พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น และเปรยกับพี่ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า
เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า

ชุด สวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย
น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่

หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

ทันใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ

นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ
ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน

หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ
พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่

เห็น หมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด

พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก

พี่ ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆเห็นแล้วต้องร้องไห้
หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร

พ่อ ตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว

ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน

ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู
พ่อไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง

พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ
จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้

ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ
ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา

พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉัน
กล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน
เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆรอลูกอยู่”

เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม

แม้ โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่

ระหว่าง นั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย

ชาวบ้าน ต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอทว่าชัดเจนดังนี้ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน......

ในที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย
ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา

ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น
ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี

หัว โกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้ พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ
พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ

มี อยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ
ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆกับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้

ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง
เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน
โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ
ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้

เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน
ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี

ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง
เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน
ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ.


credit : เว็บพลังจิต

 :'(


ปล.ที่ยกบทความมาให้อ่านเพราะจะบอกว่า ... ถ้าลุงใบ้คนนี้ขายเต้าหู้ได้ ... คุณจะขายอะไรในโลกนี้ก็ได้ครับ !!

 wanwan007


น้ำตาไหลพรากๆเลยผม มันเกินจะบรรยายจริงๆ :'(
บันทึกการเข้า

รับจ้างปั่นยอดคนดูไลฟ์สด!!
หน้า: 1 2 [3] 4   ขึ้นบน
พิมพ์