ชาติกำเนิดของพระโพธิสัตว์ จะไม่มีคำว่าต่ำต้อยเลย หากเกิดเป็นมนุษย์ จะได้เกิดในตะกูลสูงร่ำรวย หรือใน วรรณะกษัตริย์
ขอประทานโทษ ข้อนี้ผมขอท้วงครับ ไม่อยากให้ท่านเข้าใจผิด
พระโพธิสัตว์ก็เป็นปุถุชน ยังผิดพลาดได้ บางคราวก็ตกนรกได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากๆ เช่น พยาธิ เป็นต้น 555
เคยฟังนิทานชาดกไหมครับ ครั้งนั้นพระโพธิ์สัตว์ เสวยชาติเป็นลิง หมา ช้าง ฯลฯ ต่อเมื่อบารมีแก่กล้าขึ้นมันผิดพลาดน้อยลง ก็มักจะเกิดดี ๆ ไม่ค่อยตกต่ำแล้ว เพราะฉลาดขึ้น แต่ขนาดทศชาติก่อนตรัสรู้ยังพลาดนะ ภูริทัตชาดก เสวยพระชาติเป็นนาค เป็นเทวดาพวกหนึ่งก็จริงแต่ก็เป็นเดรัจฉาน เห็นไหมครับ
การเสวย 550 พระชาติของพระพุทธเจ้าก่อนจะสำเร็จพระโพธิญาณ
พระชาติต่างๆของพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระพุทธเจ้าท่องเที่ยวในภพภูมิต่างๆนับแสนโกฏิชาติ เป็นคนบ้าง เทพบ้าง สัตว์บ้าง เท่าที่พบในชาดกเรื่องต่างๆ ๕๔๗ เรื่อง ปรากฏว่า พระองค์ได้เสวยพระชาติต่างๆ ดังนี้
* เป็นพรหม ๑ ครั้ง *เป็นพระอินทร์ ๑๗ ครั้ง *เป็นเทวดา ๔๔ ครั้ง คือ รุกขเทวดา ๓๐ ครั้ง เทวดาทั่วไป ๗ ครั้ง เทพบุตร ๓ ครั้ง สมุทรเทวดา ๓ ครั้ง อากาศเทวดา ๑ ครั้ง.
* เป็นมนุษย์ชั้นสูง ๑๘๔ ครั้ง คือ จักรพรรดิราชาและพระราชา ๔๔ ครั้ง พระโอรสของพระราชา ๒๓ ครั้ง พราหมณ์ พราหมณ์มหาศาล ๓๘ ครั้ง อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ๑๘ ครั้ง ปุโรหิต ๑๕ ครั้ง อำมาตย์ มหาอำมาตย์ ๑๕ ครั้ง บัณฑิต ๑๒ ครั้ง ราชสกุล ๑๐ ครั้ง พระยา ๕ ครั้ง ราชครู ๒ ครั้ง พนักงาน ๑ ครั้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ๑ ครั้ง.
*เป็นมนุษย์ทั่วไป ๘๐ ครั้ง คือ เศรษฐี บุตรเศรษฐี กฎุมพี ๓๐ครั้ง พ่อค้า ๑๖ ครั้ง กุมาร ๖ ครั้ง คนจนเข็ญใจ ๔ ครั้ง ชาวนา ๓ ครั้ง มาณพ ๓ ครั้ง จัณฑาล ๓ ครั้ง โจรและนายโจร ๓ ครั้ง คนสอนช้าง ๒ ครั้ง หมองู ๑ ครั้ง ช่างทอง ๑ ครั้ง ช่างหม้อ ๑ ครั้ง ช่างตัดผม ๑ ครั้ง นายขมังธนู ๑ ครั้ง คนตีกลอง ๑ ครั้ง นักเลงสุรา ๑ ครั้ง นักกระโดด ๑ ครั้ง คนงาน ๑ ครั้ง ประชาชนทั่วไป ๑ ครั้ง อาจารย์ดีดพิณ ๑ ครั้ง.
*เป็นนักบวช ๖๖ ครั้ง คือ พระดาบส ๔๐ ครั้ง ฤษี ๒๕ ครั้ง ปริพาชก ๑ ครั้ง.
*เป็น เดรัจฉาน ๑๑๔ ครั้ง แยกเป็น สัตว์ป่า สัตว์บ้าน สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์น้ำ คือ
ก. สัตว์ป่า
วานร วานรเผือก และพระยาวานร ๑๖ ครั้ง ราชสีห์ พระยาราชสีห์ ๙ ครั้ง เนื้อทรายทอง พระยาเนื้อ ๘ ครั้ง ช้าง ช้างแก้ว พระยาช้าง และพระยาช้างเผือก ๗ ครั้ง สุนัขจิ้งจอก ๒ ครั้ง กวาง กวางทอง ๒ ครั้ง พระยาหนู ๒ ครั้ง กระบือ ๑ ครั้ง กระต่าย ๑ ครั้ง กบ ๑ ครั้ง.
ข. สัตว์บ้าน
ม้า พระยาม้า ๔ ครั้ง โค โคอุสภะ ๔ ครั้ง สุกร ๑ ครั้ง สุนัขบ้าน ๑ ครั้ง.
ค. สัตว์ปีก
หงส์ พระยาหงส์ หงส์ทอง พระยาหงส์ทอง ๘ ครั้ง พระยานก ๓ ครั้ง นกกระจาบ ๓ ครั้ง นกยูง นกยูงทอง ๓ ครั้ง พระยากา ๒ ครั้ง นกสุวโปดก ๒ ครั้ง (นกแก้ว หรือ นกแขกเต้า) พระยาครุฑ ๒ ครั้ง พระยาไก่ พระยาไก่ป่า ๒ ครั้ง นกดุเหว่า ๒ ครั้ง นกหัวขวาน ๒ ครั้ง นกกระทา ๒ ครั้ง นกจากพราก ๒ ครั้ง พระยานกออก ๑ ครั้ง นกกาน้ำ ๑ ครั้ง นกขมิ้น ๑ ครั้ง นกมูลโค ๑ ครั้ง.
ฆ. สัตว์เลื้อยคลาน
ตะกวดพระยาตัวเงินตัวทอง ๓ ครั้ง พระยานาค ๓ ครั้ง.
ง. สัตว์น้ำ
ปลา พระยาปลา ๓ ครั้ง.
ที่มา
http://tee.igetweb.com/index.php?mo=3&art=497180
ถ้าตั้งใจมาเกิดเป็นคนนั้นท่านมาสร้างบารมี เช่น จุติมาจากสวรรค์แน่ ๆ แต่บางคราวพลาดไปเกิดในภูมิสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังมีลีลาแห่งพระโพธิ์สัตว์ คือ มีคุณธรรมผิดจากสัตว์ทั่วไป เพราพระโพธฺิสัตว์นั้นจะมีจิตใจมุ่งหมายทำความดีเพื่อขนสัตว์ออกจากวัฎสงสาร แม้จะผิดพลาดก็จะรู้ตัวได้ไม่นาน เช่น พระภูริทัต มีปัญญา รู้ว่าตนเป็นเดรัจฉานท่านจึงรักษาศีล เพื่อจะเกิดในภูมิเทวดา เป็นต้น
ลองไปอ่านพระไตรปิฎกดูครับ
ผมเห็นด้วยกับท่านนี้ครับ
ส่วนเรื่องที่ปลาบู่เป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าอันนี้ผมไม่รู้ แต่ก็ไม่คิดจะดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทใดๆ ทั้งสิ้น
เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้นเป็นเรื่องของ อภิญญาทั้ง 5 คือ
1 อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้ สร้างไฟขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะบันดาลให้ไฟตกจากฟ้า จากอากาศหรือ ฟนตก ฟ้าผ่า หรือทำตนเองให้เป็น 1,000 เป็น 10,000 คน หรือ 100,000 คน ก็ได้ โดยฤทธิที่จะสามารถแสดงได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ได้อิทธิวิธีนี้ ได้สำเร็จกสิณอะไรมาบ้าง และสร้างบารมีมาอย่างไรบ้าง
2 ทิพพโสต มีหูทิพย์
3 เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
4 ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5 ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
6 อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (ข้อนี้เป็นอภิญญาที่พระอริยสงฆ์ท่านได้)
อภิญญา 5 ข้อแรกปุถุชนก็สามารถที่จะมีได้ แม้ยังมีกิเลสอยู่ก็สามารถฝึกให้มีขึ้นมาได้ ถ้ามีความเพียรพยายามถึง
และ...
การรู้อดีต (อตีตังสญาณ)
อนาคต (อนาคตังสญาณ)
นั้นก็เป็นเรื่องของ อภิญญา ข้อที่ 5 คือ ทิพพจักขุ เพราะญาณเหล่านี้เป็นญาณบริวารของ ทิพพจักขุ ครับ ถ้ามีการบำเพ็ญเพียรมามากพอก็สามารถที่จะเกิดขึ้นมาในตนได้ แม้ว่าจะเกิดใหม่ขึ้นมาแล้วก็ตาม บุญที่ได้ทำมาที่มีอย่างมหาศาลนั้นก็สามารถที่จะติดตามมาให้ผลได้โดยเร็วเช่นกัน
ทศชาติ ตอนที่พระพุทธโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันในครั้งที่ท่านเสวยพระชาติเป็น พระเตมีย์ ตอนที่ท่านยังเด็กโดยมีพระชนมายุได้ 1 เดือนนั้น พระกุมารท่านได้นั่งอยู่บนตักของพระบิดาท่านที่เป็นพระราชา และเห็นว่าพระบิดาของท่านกำลังสั่งลงโทษนักโทษโดยการทรมารก่อนที่จะประหารนั้น จึงเกิดความสะดุ้งหวาดกลัวขึ้นมาว่า พระบิดาทำกรรมหนักเสียแล้วเพราะเหตุที่ปกครองบ้านเมือง และขณะนั้นพระพี่เลี้ยงได้อุ้มพระกุมารมาบรรทมบนพระแท่นไสยาสน์ พระกุมารได้บรรทมไปได้หน่อยหนึ่ง ก็ทรงตื่นขึ้นแล้วได้ทรงสงบนิ่งพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทรงสามารถระลึกชาติได้...
คือ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ พระองค์ได้เกิดเป็นเทวดาเสวยสุขในทิพย์วิมาน แต่ก่อนหน้านั้นเคยตกนรกมาก่อน โดยเคยตกนรกขุมที่ชื่อว่า อุสสุทนรก ก่อนที่จะไปตกนรกนั้นได้เกิดเป็นพระราชา ครองราชย์อยู่ 20 ปี ได้ตัดสินประหารชีวิตคนมาแล้วมิใช่น้อย เมื่อเสด็จสวรรคตแล้วก็บังเกิดในอุสสุทนรกได้รับทุกข์ทรมานอยู่ถึง 80,000 ปี พ้นจากนรกแล้ว ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วก็ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ในตระกูลกษัตริย์อีกครั้ง.... (โดยในครั้งที่ท่านมาเกิดเป็นพระเตมีย์นี้ท่านมาสร้าง มหาเนกขัมมบารมี ครับ)
ส่วนเรื่องภัยพิบัตินั้น ผมคิดว่ายังไงก็จะเกิดขึ้นมาจริงๆแน่นอน แต่อาจจะคลาดเคลื่อนได้ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ คือ ถ้าไม่บอกคนอื่นก็จะคลาดเคลื่อนน้อย แต่ถ้าเอามาบอกคนอื่นโดยเฉพาะผู้ที่มีกรรมที่จะต้องประสบเหตุเภทภัยนั้น ก็อาจจะคลาดเคลื่อนอย่างมาก (ที่คาดเคลื่อนมากที่สุดก็คือ ระยะเวลาในการเกิดสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นมาในญาณหรือในสมาธิ แล้วเอามาเล่าให้คนอื่นๆฟัง) เพราะผู้ที่ทำนายได้แม่นยำที่สุดคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หากพระองค์ได้ตรัสสิ่งใดออกมาแล้ว สิ่งที่ตรัสนั้นจะต้องเกิดขึ้นมาจริงๆอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้) นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับบารมีญาณของแต่ละองค์ แต่ละท่าน