หนักแผ่นดิน
ชี้ป่าต้นน้ำถูกแปรเป็นสวนยาง มหันตภัยสู่ชุมชนรอบทะเลสาบ
จากป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์ถูกบุกรุกใน 10 ปีมานี้ กลายเป็นสวนยางพารา ก่ออุทกภัย และภัยแล้งสู่ชุมชน 1.6 ล้านคนรายรอบทะเลสาบสงขลา เกิดการเผชิญหน้ารุนแรง ระหว่างนายทุน และชาวบ้านผู้แผ้วถางป่าปลูกยางพารา กับกลุ่มอนุรักษ์ เผยชุมชนคนหาดใหญ่ยังเพิกเฉยต่อปัญหา เร่งแสวหาทางออกที่เกื้อกูลกันได้โดยชุมชนมีส่วนร่วม
คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เฝ้าติดตามสถานการณ์เพื่อถ่ายทอดความรู้สู่การสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรร่วมกัน โดยจัดการระดมความเห็นเพื่อประสานการทำงานระหว่างผู้เกี่ยวข้อง
ป่าต้นน้ำ คือหัวใจของทะเลสาบ เป็นแหล่งผลิตน้ำไหลลงสู่ลำคลองนับร้อยสาย ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลสาบ เมื่อป่าต้นน้ำถูกทำลาย เกิดการชะล้างหน้าดินพัดพาตะกอนสู่ลำคลองเกิดการตื้นเขิน ความเสื่อมโทรมของลุ่มน้ำทะเลสาบ ส่งผลให้เกิดมลพิษแก่ทรัพยากรประมง คุณภาพของดินต่ำลง แหล่งน้ำขาดแคลน และเกิดอุทกภัยเพราะไม่มีป่าเป็นแหล่งซับน้ำ ส่งผลต่อประชาชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามากกว่า 1.6 ล้านคนในจังหวัดพัทลุง สงขลาและนครศรีธรรมราช
โดยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2550 มีการบุกจับการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำครั้งใหญ่ ในเขตป่าเขาวังพา หมู่ที่ 5 ต.คลองหลา อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ซึ่งเป็นภูเขาสูงและหุบเขา พบไม้พร้อมที่จะแปรรูป จำนวนมาก รวมทั้งต้นยางขนาดใหญ่ถูกโค่นล้มจำนวนมาก
พื้นที่ป่าในเขต อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ประกอบด้วยผืนป่า จำนวน 3 แห่ง คือ 1. ป่าเขาวังชิง 2. เทือกเขาวังพาซึ่งกั้นเขตระหว่างอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา กับจังหวัดสตูล มีน้ำตกสวยงามชื่อดัง คือ น้ำตกโตนงาช้าง และ 3. ป่าผาดำ ป่าต้นน้ำทั้ง 3 แห่งนี้ได้ปล่อยให้ถูกบุกรุกและทำลาย จนโล่งเตียนไม่มีต้นไม้ใหญ่ และสัตว์ป่าหลงเหลืออยู่ เมื่อป่าต้นน้ำเหล่านี้ถูกทำลายไปกว่า50%แล้ว ทำให้อ่างเก็บน้ำคลองหลาและคลองจำไหร อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา แห้งขอด ประชาชนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานได้อีกต่อไป
สาเหตุแห่งวิกฤติเนื่องจากป่าผาดำเทือกเขาวังพา ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำบริสุทธิ์ เป็นสมรภูมิรบ เมื่อพ.ศ.2524 กลุ่มสหาย 14 ตุลา ลงจากป่าสู่เมือง รัฐมีแผนการจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้ให้สัมปทานป่าแก่นายทุนและอนุญาตให้ตัดไม้ จึงมีการตัดไม้เถื่อนในป่า และมีประชาชนบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อทำสวนยางพารา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กลุ่มสหาย 14 ตุลาซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เกรงว่าป่าที่หวงแหนจะถูกทำลาย จึงร่วมกันจัดตั้ง “ประชาคมรักษ์ป่าผาดำ” เพื่อดูแลรักษาป่า ต่อมาได้พัฒนาเป็น“วิสาหกิจชุมชนบริการท่องเที่ยว เกษตรและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ขณะนี้มีสมาชิกกว่า 300 คน เพื่อทำโครงการ ” ปลูก 1 ล้านต้น คืนสู่ป่าต้นน้ำ” รวมทั้งประสานงานกับประชาชนใน 4 ตำบลในเขตคลองหอยโข่ง มาช่วยกันอนุรักษ์ป่า
หนึ่งในแกนนำเปิดเผยว่าปัจจุบันป่าต้นน้ำยังคงถูกบุกรุกทำลายอย่างต่อเนื่อง “จุดที่ถูกบุกรุกทำลาย มี 3 โซน จุดแรกเป็นโซนทับช้าง กลางป่าใหญ่ ที่ปลูกยางพาราจนได้ผลผลิตแล้ว โซนที่ 2 เป็นโซนที่อยู่หลังอ่างคลองหรา อยู่ใกล้ๆ กับ อบต.คลองหอยโข่ง บุกรุกโดยการขึ้นไปบนยอดเขา ปลูกยาง อายุ 3 ปี 5 ปี บ้าง และโซนที่ 3 คือ โซนใต้น้ำตกผาดำ”
“เราต้องหาจุดที่ลงตัวให้ได้ หากพื้นที่ตรงไหนที่บุกรุกชัดเจน ก็ต้องขอร้องว่า พื้นที่ตรงนี้ต้องคืนให้ป่าต้นน้ำ ตรงไหนควรจะรักษาร่วมกัน ถ้าเป็นนายทุนก็ไล่ออกไปเลย ถ้าเป็นชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ เราก็อะลุ่มอล่วยกันให้อยู่กับป่า แต่ต้องแสดงให้ชัดเจนว่าต้องร่วมอนุรักษ์ “
และเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 นายสนธิ เตชานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีคำสั่งถึงกรมป่าไม้ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๖ กรมอุทยานแห่งชาติ นายอำเภอคลองหอยโข่ง นายอำเภอสะเดา ให้มาร่วมหารือถึงสถานการณ์การบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะป่าต้นน้ำเขาวังพา-ผาดำ อำเภอคลองหอยโข่ง จ.สงขลา โดยที่ประชุมฯ จะนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 มิถุนายน 2541 มาเป็นกรอบในการดำเนินงานในพื้นที่ กล่าวคือ สำหรับผู้บุกรุกรายเก่าที่เข้ามาอยู่ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ให้ชะลอการจับกุมไว้ก่อน ส่วนผู้บุกรุกรายใหม่ที่เข้ามาอยู่หลัง วันที่ 30 มิถุนายน 2541 นั้นให้จับกุมอย่างเด็ดขาด และมีความเห็นร่วมกันว่าควรเริ่มต้นดำเนินการอย่างจริงจังในเขตพื้นที่ล่อแหลม 3 จุด โดยเร่งด่วน ได้แก่ 1. พื้นที่บริเวณบ้านทับช้าง 2. พื้นที่บริเวณหลังอ่างคลองหลา 3. พื้นที่ใต้น้ำตกผาดำ
นายอลงกรณ์ ณ พัทลุง นายอำเภอคลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ให้ความเห็นว่า สถานการณ์การบุกรุกป่า ดำเนินมาถึงจุดวิกฤตแล้ว ประเด็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงก็คือ การใช้มาตรา 25 เพื่อตรวจยึดและรื้อถอนพืชพันธุ์และสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนนั้น มีขั้นตอนในการดำเนินงานยุ่งยากซับซ้อนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานมาก ส่งผลให้การแก้ปัญหาการบุกรุกป่าในพื้นที่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
นายพิทยา รัฐกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 18 (สงขลา) ซึ่งมารับตำแหน่งเมื่อมกราคม 2551 เปิดเผยว่า “จะยึดมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 มาใช้เป็นหลัก กล่าวคือ สำหรับผู้บุกรุกรายเก่าที่เข้ามาอยู่ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2541 นั้น ให้ชะลอการจับกุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้บุกรุกรายใหม่ที่เข้ามาอยู่หลัง วันที่ 30มิถุนายน 2541 ต้องจับกุมอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องผืนป่าไว้
ในขณะที่กลุ่มรักษ์ป่าผาดำและชาวบ้านกลุ่มอื่นๆมีจิตสำนึกและทุ่มเทเพื่ออนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แต่คนในเมืองหาดใหญ่กลับไม่อนาทรร้อนใจกับการที่ป่าต้นนํ้าเขาวังพา ซึ่งถือเป็นต้นน้ำของคลองอู่ตะเภา ของอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา กำลังถูกทำลายลงไป เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าการสูญเสียป่าต้นน้ำส่งผลต่อวิถีชีวิตเพียงใด ทั้งที่ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่กับชุมชนแห่งนี้มาหลายครั้ง เพราะป่าต้นน้ำคือโจทย์ท้าทายต่อการอยู่รอดร่วมกันของสังคมไทย ในศตวรรษหน้า
ผศ.ดร.ปราโมทย์ แก้ววงศ์ศรี อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หัวหน้าโครงการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งได้ศึกษาป่าต้นน้ำที่ ต.เขาพระ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และคลองรำเชียง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา พบว่ามีการบุกรุกป่าต้นน้ำเพื่อทำสวนยางพารา ส่งผลต่อคุณภาพน้ำและสัตว์น้ำอย่างยิ่ง รวมทั้งสมุนไพรที่มีคุณค่าของป่าถูกทำลาย และชาวบ้านบอกว่า ปลาดุกรำพัน ปลาพื้นเมืองของท้องถิ่นหาได้ยากมากจนอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากลำคลองที่ป่าต้นน้ำถูกทำลายมีตะกอนดินที่น้ำพัดพามามาก
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีมงานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างฝายหินลดหลั่นเป็นระยะตามเส้นทางการไหลของน้ำเพื่อชะลอการไหลของน้ำ เป็นการกักเก็บน้ำและเพิ่มออกซิเจนในน้ำให้มากขึ้น ส่งผลดีต่อสัตว์น้ำ และได้แนะนำให้ชาวบ้านปลูกพืชชนิดอื่นร่วมกับยางพาราเพื่อให้เกิดความหลากหลายในระบบนิเวศน์ เช่น ปลูกต้นลองกองหรือผักต่างๆแซมต้นยางพารา
“มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเข้าใจ” ผศ.ดร.ปราโมทย์ กล่าว
น้ำตกโตนงาช้าง
โค่นป่าปลูกยาง
โค่นป่า
ป่าถูกทำลาย
http://www.hatyai.psu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=1547&Itemid=0