ว่าจะทำกะ amazon อะค่ะ
แล้วมันทำไม่ได้หรอคะ ชัก สับสน

ตอนนี้Adwordsไม่ได้ง่ายสำหรับAffiliateนะครับหนูมายอง
- เมื่อปลายปีที่ผ่านมาadwordsประกาศสงครามกับaffiliateทั้งหลาย affiliateห้ามทำadwords ทางsupportบอกว่า คนที่ทำต้องเป็นเจ้าของสินค้าเอง
- Amazonก็เป็นaffiliate คนจึงโดนแบนกันทั่วหน้า คะแนนคุณภาพ(QS)จึงต่ำมากๆ
- พอคะแนนต่ำมาก ไม่แก้ไข ก็จะโดนแบนตามมา
- google adwordsไม่ง้อคนขายAmazon ไม่ง้อAffiliateครับ ถึงแม้คนขายAmazonจะเอาเงินมาให้ กรูไม่สน กรูจะแบน กฎเป็นอย่างนี้ กรูไม่ชอบ ก็กรูเป็นของกรูอย่างนี้
- ถ้าจะทำamazonจะต้องหลีกเลี่ยงเอาครับ โดยปรับรูปแบบLPให้แตกต่างและต้องปรับไปเรื่อยๆ ไม่ให้googleจับได้ ไม่งั้นคะแนนคุณภาพจะต่ำ และอาจโดนแบนในที่สุด
- ถ้าเริ่มทำให้เตรียมเงินไว้ซัก30,000 - 50,000 บาทนะครับ เพื่อเป็นทุนในการหว่านKeywords ช่วงแรกๆจะขาดทุนประมาณนี้ หลังจากนั้นถ้าจับจุดได้ ได้Keywordsทำเงิน กำไรก็จะตามมาเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้ายังจับจุดทำเงินไม่ได้ ก็ยาวหน่อยครับ..
ถ้าอยากหาความรู้เพิ่มเติม เบื้องต้นก็นี้ครับ 5กลยุทธ Adwords
กลยุทธ์ที่ 1 :
โดยส่วนตัวแล้วใช้มาหมดทั้ง Adwords, YS!M, Adcenter ทั้ง 3 อันก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป
แต่โดยรวมแล้ว ผมชอบ Adwords มากที่สุด เพราะว่า ไม่ต้องรอให้ ads active นานเหมือน YS!M
แค่ทำ adgroup ใหม่ แค่ 5 นาที ก็ active แล้ว เวลาสำคัญมากสำหรับผม รอนานไม่ได้ ไม่งั้นสินค้าดีๆ โดนคนอื่นๆ เอาไปหมด
และก็ Google มีเครื่องมือต่างๆ ให้ใช้เยอะมากๆ ถ้าเรารู้ว่าจะต้องใช้มันยังไง และที่สำคัญ Adwords สามารถ
tracking ได้ละเอียดมากเป็นรายชั่วโมง ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับผม และที่สำคัญที่สุด Adwords
ถ้าเราทำ CTR สูงๆ ได้ต่อเนื่อง จะทำให้ราคา bid เราลดลงเร็วมากซึ่งตรงนี้จะดีกว่า YS!M, Adcenter มากเลย
ดังนั้นใช้ Adwords เถอะ ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ บางคนอาจจะบอกว่ามันใช้ยาก ต้อง
bid สูงๆ ads ถึงจะขึ้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ยากมากหรอกครับ เราต้องพยายามทำความเข้าใจมัน
เหมือนที่ผมพยายาม ตอนแรกๆ ผมโคตร เกลียดมันเลย มันเรื่องมาก แต่หลังจากที่หันกลับมา
ทำความเข้าใจกับมันมากๆ มันก็ไม่ค่อยดื้อแล้ว ตอนนี้ adwords ก็เลยเป็นตัวหลักที่ทำเงินให้กับผม
ช่วงนี้ก็เลยรู้สึกรักมันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
เครื่องมือของ Google อันไหนบ้างที่ผมใช้ ก็ทุกอันที่อยู่ใน
https://adwords.google.com/select/Tools 
แล้วก็ตัวบริหารจัดการ account ก็ต้องใช้ Goolge Adwords Editer (สำคัญมาก ต้องใช้ให้เก่งๆ)
กลยุทธ์ที่ 2 : Tracking ให้ละเอียดที่สุด
ตลอดเวลาที่ผมทำงานมาจะคิดอยู่เสมอว่า "คนที่มีข้อมูลมากที่สุด จะได้เปรียบ"
เหมือนภาษิตที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" ยังใช้ได้อยู่เสมอ
ดังนั้นการทำ Affiliate ถ้าใครไม่ track และเก็บข้อมูลการขายไว้ ไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่นอน confirm!
กลยุทธ์นี้ ผมใช้ tracking ละเอียดเป็นรายชั่วโมง, แยกรัฐ ดังนั้นผมจะมีข้อมูลหมดว่า
คนอเมริกัน ชอบซื้อของตอนกี่โมง รัฐไหนชอบซื้ออะไร และก็ตอนนี้ใครกำลังเข้ามาแข่ง
ขายของตัวเดียวกับผมบ้าง ผมจะเก็บเป็นข้อมูลไว้ทั้งหมด
แล้วมันมีประโยชน์อะไร ก็อย่างเช่น สมมุติ ว่าคุณจะมาขายของชิ้นนึงแข่งกับผม
และผมรู้ว่าไอ้ของชิ้นนี้เนี่ย คนอเมริกามักจะซื้อกันตอน ช่วง ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม ผมก็ทุ่ม
bid เฉพาะช่วงนี้ แต่คุณไม่รู้ คุณ bid ทั้งวันเลย แต่คุณโดนผมแย่ง ช่วงที่ขายดีที่สุดไป
คุณจะใช้ต้นทุนมากกว่าผม แล้วคุณคิดว่า จะแข่งกับผมได้นานหรือเปล่าละ?
ทุกๆ สินค้าที่ขาย ต้อง ทำ excel แยก sheet ไว้ และก็ทำเป็นกราฟ แยกเป็น ทั้งเดือน
ใส่ข้อมูลลงไปทุกวัน เราจะรู้ได้ว่าสินค้าเราขายดีวันไหนของสัปดาห์ ช่วงไหนของเดือน
และก็เวลาไหนขายดีที่สุด อันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย ตอนแรกๆ แต่ในระยะยาวแล้วมีประโยชน์มาก
กลยุทธ์ที่ 3 : พยายามทำ 1 Keywords / 1 Adgroup / 2 Ads Text
คือทำยังไงก็ได้ ให้คำที่เรา bid มีความสัมพันธ์มากที่สุด ทั้งการตั้งชื่อ adgroup
ads text, keywords เพราะว่ามันจะทำให้เรามี CTR ที่สูง และ minimum bid
ของเราจะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการลดต้นทุนของเรา
และทำให้เรามีกำไรเพิ่มมากขึ้น (รายละเอียดตรงนี้หาอ่านเอาในบอร์ดได้ มีคนโพสไว้เยอะ)
และที่สำคัญมันเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเราให้สูงกว่าคู่แข่ง พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะสู้กันจริง เราจะสายป่านยาวกว่า
เพราะต้นทุนเราถูกกว่า
กลยุทธ์ที่ 4 : Keywords ที่หามาได้ต้องแยกกลุ่มก่อน
ถ้าใครจำได้ เมื่อสมัยก่อนทุกๆ คนจะสอนกันมาว่า ต้องหา keywords ให้ได้เยอะที่สุด
เพื่อว่าจะได้มีคน click เข้าดูสินค้าได้เยอะ และเผื่อว่าจะมีคนซื้อ
ซึ่งจริงๆ แล้วผมคิดว่ามันก็ใช้ได้นะ ไม่ผิด แต่ว่ามันจะมี CTR และ Conversion ที่ต่ำมาก (adwords ไม่ชอบ ctr ต่ำๆ = โอกาสขาดทุนสูง)
และดูเหมือนพึ่งโชคชะตาในการขายของมากไปหน่อย ไม่ค่อยได้ใช้ฝีมือเลย
จริงๆ แล้ว keywords ทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆ มันไม่ได้หมายความว่า ถ้ามีคนค้นหา
แล้ว click เข้ามาที่สินค้าแล้ว จะซื้อทุกคน มันมีความสัมพันธ์ บางอย่าง ไม่รู้จะพูดยังไงดี
เอาเป็นผมเรียกว่า "กลิ่นไอของการซื้อ" ละกัน คือ บาง keywords ที่คนใช้ค้นเข้ามานะ
ถ้าคำไหนมันมี "กลิ่นไอของการซื้อ" มันจะขายได้ บางทีคุณอาจจะนึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไง
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ อย่างเช่นผมจะขาย Garmin nuvi 760 อันดับแรกผมก็ต้องไปหา
keywords ใน Google keywords tool ก็จะได้ keywords มากลุ่มนึง ถ้าเราสังเกตให้ดี
จะพบว่า keywords ที่เราหามาได้นั้นมันจะแบ่งเป็นหลักประมาณ 4 กลุ่ม ตามลักษณะ
"กลิ่นไอของการซื้อ" ตามรูปข้างล่าง คือ ง่ายๆ อย่างคำว่า garmin nuvi 760 กับ garmin nuvi 760 review
คุณคิดว่าอันไหนมันมีกลิ่นไอการซื้อมากกว่ากัน ถ้าคุณแยกถูกก็นั้นแหละคุณพอจะเข้าใจแล้ว
คือโดยปกติเวลาผมจะแยก keywords ออกเป็นกลุ่มๆ ผมจะใช้ความรู้สึกของตัวเองว่า
ถ้าผมจะซื้อไอ้ตัวนี้ผมจะต้องทำอะไรบ้าง คิดให้เหมือนลูกค้าคิดนะ เช่นถ้าผมจะซื้อ garmin nuvi 760
สมมติว่าผมยังไม่คิดว่าจะซื่อยี่ห้ออะไรนะ คิดประมาณว่า จะซื้อ Gps ซักเครื่อง ผมก็คงจะเริ่มจาก
1) หากว้างๆ ก่อน เช่น best gps, gps review, top gps เสร็จแล้วผมก็เข้าๆ ไปอ่านๆ ดู (แปลว่าคำพวกนี้ มันไม่ค่อยมีกลิ่นไอของการซื้อเลย ไม่น่าใช้)
2) พอได้ยี่ห้อที่เจาะจงแล้ว ก็ใช้คำเช่น best garmin, garmin review, garmin gps, (ตอนนี้ยังไม่ซื้อหรอก หาๆ ดูก่อน)
3) เริ่มจะได้รุ่นหละ ก็ใช้คำเช่น garmin nuvi 760 review, garmin nuvi 760 specs, (เกือบๆ ซื้อละขอหาเพิ่มอีกนิดนึง)
4) ได้ละ จะซื้อตัวนี้แน่ๆ ก็ใช้คำเช่น buy garmin nuvi 760, garmin nuvi 760 best price (ซื้อแน่ๆ ถ้าเจอถูกๆ กว่า web อื่นๆ เวลาเปรียบเทียบราคากัน)
ช่วงที่เปรียบเทียบราคาอาจจะใช้เวลาซัก 2-3 วัน แต่ช่วงที่หาวันแรกๆ อาจยังไม่ซื้อเพราะเงินเดือนยังไม่ออก
บัตรเครดิตเงินเต็มต้องรอก่อน, ..... แต่ตั้งใจซื้อกับ web amazon แน่ๆ เพราะถูกกว่าที่อื่นๆ
5) พอเงินออก ต้นเดือนได้เวลาซื้อซะที่ รู้แล้วนี่ว่าจะซื้อที่ไหน เข้า google เลย และใช้คำ เช่น garmin nuvi 760, garmin 760, nuvi 760
ถ้าเห็น ads ที่เป็น web amazon ก็ click เข้าไปแล้วก็ซื้อเลย (มิน่า คำพวกนี้ bid โคตรแพงเลย)
ข้างบนนั่น ใช้สำหรับผมนะครับ คนอื่นๆ อาจจะต่างออกไปนิดหน่อย หลังจากที่ผมลองทำตัวเป็น
คนซื้อแล้ว ผมก็จะแบ่งกลุ่มออกได้ตามข้างล่าง ดังนั้นผมคิดว่าทุกคนน่าจะพอเข้าใจแล้วว่า
ไอ้คำไหนที่ มันมีกลิ่นไอของการซื้อ ที่คนจะใช้ค้นหากัน จริงแล้วเรื่องการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้
keywords เพื่อการซื้อสินค้านี่ เขียนเป็นหนังสือขายได้เป็นเล่มๆ เลยนะนี่ (ว่างๆ จะเขียนออกมาขายมั่ง จะมีใครซื้อหรือเปล่าเนี่ย)
กลยุทธ์ที่ 5 : อย่าไปกลัวสินค้าที่คนขายกันเยอะๆ
บางคนหาสินค้ามาได้ตัวนึง พอลอง test bid แล้ว ต้องประมาณ $2 ถึงจะขึ้น
ก็ท้อแล้ว อย่าพึ่งเลิกครับ ในวิกฤติ ย่อมมีโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า
มา มา เดี๋ยวผมจะบอกวิธีที่ผมใช้ให้ รับรองขายได้ทุกคน
บอกให้เลยก็ได้ว่าผมขายของเฉพาะ หน้าแรกสินค้า 1-24 เท่านั้น ช่วงราคา $200 - up
ทุกสินค้า ทุกหมวด ผมใช้วิธีนี้ทั้งหมด เรื่องของเรื่อง ขี้เกียจนะ (ไม่ควรเอาอย่างนะ ) และผมคิดว่ายังไงๆ
มันก็ขึ้นมาเป็น 1-24 สินค้าขายดีละ ก็แปลว่ายังไงๆ มันก็ขายได้ละวะ ส่วนจะทำยังไง
ให้ขายได้ ค่อยมาคิดอีกที (อืม ไม่อยากจะบอกเลยว่า ที่สอนๆ กันมาว่าให้
ดูกันตรงที่ What Do Customers Ultimately Buy After Viewing This Item? ถ้ามากกว่า 70% ขึ้นไปแล้วน่าสนใจ
จริงแล้วตัวที่ต่ำๆ น้อยกว่า 40% ถ้าเราหา keywords ที่ทำเงินจริงๆ มันทำกำไรมากกว่าพวกเกิน 70% อีกนะดังนั้นก็คือ
อย่าไปเชื่อคนอื่นๆ มาก เชื่อตัวเองดีที่สุด ทดสอบเอง เก็บสถิติเอง ดีที่สุด ที่ผมบอกไปก็อย่าเชื่อมากละ
ต้องลองทำเอง ผมอาจจะมั่วแล้ว ก็วางยาพวกคุณก็ได้ 5555555555 )
ทุกคน คงรู้จัก Long tail ใช่หรือเปล่าครับ อันนี้ก็ใช้กฏ long tail เหมือนกัน ในสินค้า 1 ตัวที่เรา
เลือกมา keywords ที่คนใช้ค้นหา ก็จะเป็นแบบ long tail ด้วย คือจะมี keywords อยู่
ไม่กี่คำที่คนค้นหาเยอะ มีการ bid ที่สูง และคำอื่นๆ ก็จะลดหลั่นกันลงไปเป็นลักษณะ
กราฟ แบบ long tail และถ้าเราลอง bid ทั้งหมดทุกคำที่มีอยู่เลยนะ (สมมติ อย่าไป bid จริงละ)
มันก็จะเกิดเส้นขึ้นมาอีกเส้นนึงก็คือ เส้น ROI (อันนี้ผมคิดเอง) คือไอ้พวก keywords ท้ายๆ เนี่ยจะให้ค่า ROI ที่ดีกว่าเสมอเพราะว่า
มัน bid ถูก และถ้ามีคนซื้อก็จะได้กำไรมาก
ป.ล. บทความนี้จากคุณR@Yครับ (เคยcopyมาอ่าน แต่จำไม่ได้ว่า กระทู้ไหนแล้ว)
และแนะนำ ต้องอ่านหนังสือAdwordsให้เยอะๆครับ ซัก2-3เล่ม เอาเทคนิค
