ปกติเค้าจะให้เลี่ยง พวกที่กินแล้วมีผล ทำให้เกิดอาการอักเสบอ่ะครับ
พวก ไก่ ไข่ อะไรพวกนี้ แต่จิงๆๆก็พอทานได้นะ แต่อย่ามากเกินไป
แล้วก็ ถ้าเป็นคนแพ้ง่าย รึกลัวจะอักเสบ ก็กินยาแก้อักเสบไปเลยครับ
ครั้งละ 1 เม้ด วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมง บอกเค้าว่า แก้อักเสบแผล นะครับ
จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น จะโดนน้ำบ้างก็ไม่เป็นไรครับ แต่ขยับหมุนๆๆ มันบ้าง มันจะได้ไม่ติดกับหูอ่ะครับ
ประมาณ อาทิตย์นึง ถ้าไม่รุ้สึกเจ็บแล้ว ก็ถอดออก แล้วใส้ก้านพลาสติกแทนครับ รึใส่ตุ้มหู จิล ที่มันไม่ใช่โรเดียมอ่ะ แผลจะหายไวขึ้น
แล้วค่อยๆๆขยับขนาดจิลใส่ก้ได้ครับ ให้รูมันใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย แต่อย่ารีบร้อนขยายนะครับ มันจะอักเสบเอา ค่อยๆๆจากเจาะใหม่ ไป 0.5 >1.6 >2 >3 ก้ได้ครับ
ผมเคยอัดมากสุดที่ 3 มิล แต่พอถอดออกสักสองปี มันก็หดลงมาเหมือนเจาะใหม่น่ะครับ
ตอนนี้ก็ใส่ 1.6 ธรรมดา ใส่รูใหญ่มากไม่ไหว มันเหมือนจะมี น้ำเหลือง ออกมาตลอดๆ จะเป็นคราบๆอ่ะ
เวลาทำความสะอาด ก้ ล้างหูธรรมดานี่แหละ ล้างพร้อมกับตอนล้างหน้าก็ได้ เอาโฟมที่เราใช้แหละ ไปล้างใบหูด้วย
ถ้าไม่ใส่ไว้ตลอด เวลาล้าง ถอดออกบ้างก็ดีครับ จะได้ รู้สึกสะอาดๆๆ
ปกติเค้าจะให้เลี่ยง พวกที่กินแล้วมีผล ทำให้เกิดอาการอักเสบอ่ะครับ
พวก ไก่ ไข่ อะไรพวกนี้ แต่จิงๆๆก็พอทานได้นะ แต่อย่ามากเกินไปตามหลักทางการแพทย์อาหาร จำพวก ไก่ ไข่ มี สารอาหารประเภทโปรตีนเยอะ ช่วยส่งเสริมในการหายของแผลคะ
ไม่ได้ทำให้มีผลให้แผลอักเสบแต่อย่างใด การอักเสบของแผลเกิดจากการที่แผลได้รับเชื้อโรค นั่นก้อคือแผลไม่สะอาดนั่นเองอะคะ
ดังนั้นถ้าไม่อยากให้แผลติดเชื้อมีหนอง ก้อต้องหมั่นดูแลรักษาแผลให้สะอาด
แล้วก็ ถ้าเป็นคนแพ้ง่าย รึกลัวจะอักเสบ ก็กินยาแก้อักเสบไปเลยครับ
ครั้งละ 1 เม้ด วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมง บอกเค้าว่า แก้อักเสบแผล นะครับ
จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น จะโดนน้ำบ้างก็ไม่เป็นไรครับ แต่ขยับหมุนๆๆ มันบ้าง มันจะได้ไม่ติดกับหูอ่ะครับการกินยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ ไม่ได้เกี่ยวกับอาการแพ้หรือไม่แพ้หรือการกลัวการอักเสบ
ดังนั้นเป็นข้อแนะนำที่ผิดมากคะ....การให้ยาปฏิชีวนะหรือ Antibiotic (ABO)นั้น มีข้อเจาะจงในการใช้
เช่น ในกรณี ของ จขกท. ที่เจาะหูมา ถ้าดูแลรักษาบริเวณที่เจาะหูดีไม่มีการอักเสบบวมแดงร้อน
ก้อไม่จำเป็นต้องได้รับยา ABO คะ และยา ABO นั้นมีหลายชนิด หลายกลุ่มการที่เราจะหาซื้อยามาทานเองนั้น
ไม่สมควรอย่างยิ่ง ด้วยผุ้ที่ไม่ได้เรียนทางด้าน การแพทย์ พยาบาลมา ยิ่งไม่ควรคะ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพ้ยา มีอันตรายถึงชีวิตได้ และที่ท่านบอกมา ว่า ให้
ครั้งละ 1 เม้ด วันละ 3 ครั้งก่อนอาหารมิทราบว่าคือยาอะไร ตัวไหน......ในฐานะที่ตัวฉันเอง ทำงานด้านนี้มานาน
ยังไม่กล้าที่จะแนะนำเลยว่าควรใช้ยาตัวไหน เพราะการให้ยา ทุกตัว ต้องดูอาการคนไข้ ประวัติการได้รับยา ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
ประวัติการแพ้ยา และที่สำคัญ การตรวจร่างกาย และอาการเจ็บป่วยปัจจุบัน อย่างเช่น ถ้ามีแผล แผลลักษณะอย่างไร บวมมากแค่ไหน
ถ้ามีหนอง หนองสีอะไร ปริมาณมากแค่ไหน ถึงจะวินิจฉัยและ ให้การรักษาได้คะ.....ดังนั้นการแนะนำบางครั้งเราก้อต้องดูด้วยนะคะว่าสิ่งที่
แนะนำไปนั้นถ้าเราไม่มีความรู้ด้านนั้นจริง คนที่เราแนะนำ เค้าเกิดเอาไปปฏิบัติหรือซื้อยามากินเอง เกิดแพ้ยาขึ้นมา....ก้ออันตรายถึงชีวิตได้
นะคะ