สถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศถูกจุดชนวนในเดือนก.ย.ปีที่ แล้ว เมื่อรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ตัดสินใจประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้ายางรถยนต์จาก จีนในอัตรา 35% คิดเป็นมูลค่าปีละประมาณ 1.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีหรือที่จีนจะยอม โดยจีนได้ยื่นร้องเรียนไปยังองค์การการค้าโลกเพื่อคัดค้านการเก็บภาษีของ สหรัฐทันควัน เรื่องต่อมาที่จีนกับสหรัฐกาลังขัดแย้งกัน คือ เรื่องธิเบต โดยรัฐบาล Obama ได้ประกาศว่า Obama จะพบปะกับ ดาไล ลามะ ที่ทำเนียบขาวในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยสหรัฐได้บอกว่า ตั้งแต่ปี 1990 ประธานาธิบดีของสหรัฐทุกคนได้พบปะกับ ดาไล ลามะ จึงถือเป็นเรื่องปกติ และ ดาไล ลามะก็เป็นผู้นาจิตวิญญาณชาวธิเบตที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จีนได้ตอบโต้ว่า การพบปะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้ประกาศคัดค้านการพบปะและขอให้สหรัฐเข้าใจว่า ปัญหาธิเบตมีความละเอียดอ่อนมาก และขอให้สหรัฐยอมรับว่าธิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ทั้งหมดนี้เป็นภาพของการเติบโตแบบก้าวกระโดดของจีนจนกลายมาเป็นอันดับสองทาง ด้านเศรษฐกิจของโลกไปแล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นกลับมีหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล จุดนี้เองที่อาจจะเป็นตัวชี้ชัดว่าจีนจะก้าวมามีบทบาทสาคัญจนเราทุกคนต้อง หันมามองจีนมากกว่าในอดีต เนื่องจากในอนาคตผมเชื่อแน่ว่าจีนจะกลายเป็นตลาดผู้ซื้อรายใหญ่และจะกลายมา เป็นผู้ลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นตามญี่ปุ่นติดๆเลยทีเดียว
ทำไมไทยเราไปอยู่ทั้งสองฝั่งเลย
ไทยเราปรับตัวเก่ง เป็นกลางกับทุกชาติ