ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ของบอร์ดเพื่อช่วยรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนได้ไปร่วมบริจาคโลหิตกันนะครับ
เนื่องจากเมื่อคืนได้ดูทีวีและได้รับทราบมาว่าตอนนี้ทางสภากาชาดไทยยังมีความต้องการโลหิตเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่มีโลหิตอยู่ในสำรองเลย
มีแค่ใช้ไปในแต่ละวันซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาเช่นฝนตกติดต่อกันหลายวันจนไม่มีผู้บริจาคโลหิตก็จะไม่สามารถมีโลหิตให้กับผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุต่างๆ
หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เลือดในการรักษา (ลองคิดดูว่าถ้าคนเหล่านั้นเป็นญาิติ, เพื่อน หรือคนที่เรารู้จัก)
ตัวผมเองได้มีโอกาสบริจาคโหลิตครั้งแรกเมื่อสมัยเรียนม.ปลาย หลังจากนั้นถ้ามีจังหวะได้เจอรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ก็ไม่พลาดที่เข้าไปร่วมบริจาคโลหิตเกือบทุกครั้ง
แต่ก็นานครั้งๆที่จะได้จังหวะพอดีที่ได้ไปเจอ ตอนนี้ผมจึงได้ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะต้องบริจาคโลหิตให้ได้ 100 ครั้ง โดยตั้งใจจะไปบริจาคที่สภากาชาดไทยตรง ถ.อังรีดุนังด้วยตัวเอง
ผมเชื่อว่าตอนนี้เพื่อนๆในบอร์ดหลายๆคนก็คงไ้ด้มีโอกาสบริจากโลหิตกันมาบ้างแล้ว และก็อาจจะมีอีกหลายๆคนที่ยังกล้าๆกลัว ว่าจะบริจาคดีหรือไม่ สำหรับบางคนที่กลัวเข็มผมอยากให้เพื่อนๆลองคิดดูว่า เราแค่กลัวเจ็บจากเข็ม
แต่ในขณะเดียวกันยังมีคนอีกหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บกว่าเราหลายเท่าตัวและอยู่ในช่วงวินาทีของความเป็นและความตายซึ่งได้รับความเจ็บปวดมากกว่าเราหลายเท ยังคงต้องการโลหิตเพื่อต่อชีวิตออกไป
เกริ่นมาซ่ะยาวสรุปว่าอยากจะชวนเพื่อนๆทุกคนที่มีความพร้อมทางด้านร่างกายไปร่วมกันบริจากโลหิตกันนะครับ
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต1. อายุระหว่าง 17-60 ปีบริบูรณ์
2. น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี
3. ไม่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบหรือดีซ่าน ตัวเหลือง หลังอายุ 10 ปี ไม่เป็นไข้มาลาเรียในระยะ 3 ปี และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่างๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดต่างๆ โรคหอบ หืด โรคภูมิแพ้ ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์
4. น้ำหนักต้องไม่ลดมากในระยะเวลาสั้น โดยไม่ทราบสาเหตุ
5. ท่านหรือคู่ของท่านไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติยาเสพติด
6. งดบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัด, คลอดบุตรหรือแท้งบุตรในระยะ 6 เดือน
7. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์
8. หลังหยุดยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์
9. นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
10. ควรรับประทานอาหารก่อนมาบริจาคโลหิต
สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก 2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ
* ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
* กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น
* ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย
* ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจนจนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32
สามารถบริจาดเลือดได้ที่ไหนบ้างศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
วันจันทร์-ศุกร์ (ไม่พักกลางวัน) เวลา 08.00-16.30 น.
วันพฤหัสบดี (ไม่พักกลางวัน) เวลา 07.30-19.30 น.
วันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-12.00 น.
วันอาทิตย์ เวลา 12.00-16.00 น.
......หน่วยเคลื่อนที่ประจำ.......
**สวนจตุจักร ทุกวันเสาร์ เวลา10.00-15.00 น. (รถจอดริมถนนพหลโยธิน)
**สนามหลวง ทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.00-14.00 น. (รถจอดบริเวณหน้ากรมศิลปากร)
**มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก ทุกวันจันทร์และอังคาร เวลา 10.00-15.00 น. (รถจอดบริเวณข้างหอสมุดด้านคณะนิติศาสตร์)
**สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) ข้างฟิวเจอร์ปาร์คบางแค ทุกวันจันทร์และพฤหัสบดี เวลา 09.00-15.00 น. (รับบริจาคภายในอาคาร)
**ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเวลา 12.00-16.00 น. (รับบริจาคภายในอาคารหน้าร้านS.Bเฟอร์นิเจอร์ ชั้น 2 )
**ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ทุกวันศุกร์และเสาร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เวลา 12.00-16.00 น. (บริเวณลานโยโย่ ชั้น3)
**ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาบางพลี ทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเวลา 12.00-16.00 (บริเวณหน้าห้าง)
**ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ทุกวันเสาร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน เวลา 12.00-16.00 น. (บริเวณชั้น 2 หน้าซุปเปอร์ Big C)
**ตลาดนัดธนบุรี (สนามหลวง2) ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน เวลา 10.00-15.00 น. (รถจอดหน้าสำนักงาน)
หรือสอบถามหน่วยเคลื่อนที่อื่นๆ หรือจะติดต่อขอทีมงานออกรับบริจาคโลหิตในหน่วยงานของท่านได้ที่
0-2252-6116 , 0-2252-1637 , 0-2252-4106-9 ต่อ 113,157
www.redcross.or.th E-mail :
blood@redcross.or.th***รถเมล์ที่ผ่านศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ : สาย ปอ.21 ปอ.16 ปอ.141 ปอ.177 ปอ.50 ปอ.4 :รถธรรมดา 162 , 163 , 46, 47
แผนที่สภากาชาดไทย
การให้ที่ยิ่งใหญ่่
คือการให้ชีวิต