ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: 49 วัน หลังความตาย ใครไม่เคยอ่านซะ!  (อ่าน 27804 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #100 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:10:09 »

และแล้ว ก็กลายพันธ์อีกกระทู้จนได้  Tongue

วันนี้ไปทานหมุกะทะมา อาร้อย อร่อย  wanwan002

ป้าโอ๋นี่น่ารักจังมาได้ทุกกระทู้เลย   wanwan003
บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
knight15
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 391



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #101 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:21:21 »

อ้างถึง
คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้  คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า  ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม

อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า  "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว  เมื่อพิจารณา

ให้ดี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก  เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา  เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย  แต่นั่นเป็น

ประสบการณ์ แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น  เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง  สิ่งที่ต่างคือ

ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์  ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม  สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์

มา ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า  ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว  แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น  เราทั้งหลายต้องรู้

อยู่ แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี  ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่  อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี  

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ  จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด


ท่านบอกว่าคนเราไปจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม เช่นเดียวกัน คนเราไม่จำเป็นต้องบอกในทุกเรื่อง ถ้าสิ่งที่บอกไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง และไม่มีประโยชน์ จะบอกมาทำไม จะทำให้บางท่านเข้าใจธรรมะผิดไปได้

ท่านยกพระพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยุ่แล้ว แต่ก็มีหลายคนที่หลงผิดธรรมนองครองธรรม ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หลายคนก็ยังเชื่อในสิ่งที่ผิดๆอยู่

ขนาดมีตถาคตขึ้นมา ยังมีหลายคนที่ทำผิดทำนองครองธรรม

ดังนั้น จะโยนให้เ็ป็นหน้าที่ของผู้ปกครองคอยสอนอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงความจริงนั้นด้วย ก็เป็นการสอนที่ผิดต่อๆกันไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีธรรมะสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

และสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำไม่เพียงแต่ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตน แต่ยังทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยธรรมะของพระองค์









บันทึกการเข้า
JicKaro
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 238
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,421



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #102 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:23:33 »

ต้องหมั่นทำบุญเยอะๆ ครับ

Smiley
บันทึกการเข้า

It's difficult not impossible.
ก็แค่ยาก แต่..ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
## Code: JUST1CENTHOSTGATOR คูปองเช่าโฮสเกเตอร์ $0.01 เดือนแรก ##
tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #103 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:47:38 »

อ้างถึง
คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้  คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า  ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม

อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า  "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว  เมื่อพิจารณา

ให้ดี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก  เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา  เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย  แต่นั่นเป็น

ประสบการณ์ แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น  เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง  สิ่งที่ต่างคือ

ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์  ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม  สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์

มา ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า  ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว  แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น  เราทั้งหลายต้องรู้

อยู่ แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี  ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่  อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี  

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ  จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด


ท่านบอกว่าคนเราไปจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม เช่นเดียวกัน คนเราไม่จำเป็นต้องบอกในทุกเรื่อง ถ้าสิ่งที่บอกไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง และไม่มีประโยชน์ จะบอกมาทำไม จะทำให้บางท่านเข้าใจธรรมะผิดไปได้

ท่านยกพระพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยุ่แล้ว แต่ก็มีหลายคนที่หลงผิดธรรมนองครองธรรม ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หลายคนก็ยังเชื่อในสิ่งที่ผิดๆอยู่

ขนาดมีตถาคตขึ้นมา ยังมีหลายคนที่ทำผิดทำนองครองธรรม

ดังนั้น จะโยนให้เ็ป็นหน้าที่ของผู้ปกครองคอยสอนอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงความจริงนั้นด้วย ก็เป็นการสอนที่ผิดต่อๆกันไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีธรรมะสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

และสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำไม่เพียงแต่ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตน แต่ยังทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยธรรมะของพระองค์











คนเรามีภูมิปัญญาและที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ต่างกันย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่ย่อมต่างกันไปด้วย  คนมีปัญญาหรือมีประสบการณ์น้อยจะเห็นเรื่องบางเรื่อง

ที่มีประโยชน์เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ได้  อีกอย่างหนึ่งด้วยพุทธวิสัยจำเป็นต้องรู้อยู่แล้วว่าคนในสมัยปัจจุบันต่างจากคนในสมัยพุทธกาลอย่างไร  เรื่องตามประสบการณ์ที่เล่า

ก็เปลี่ยนไปตามสภาวะสังคมของคนในยุคปัจจุบันด้วย

ส่วนสาเหตุที่มีตถาคตขึ้นมาแล้วยังเสื่อมได้  ก็เพราะการเรียนรู้คำสอนแล้วถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นอนิจจัง  เช่นการไม่เข้าใจหลักปัจจัตตังนั้นเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรม

การเรียนรู้ธรรมที่ถูกต้องคือประสบการณ์หรือปฏิบัตินำแล้วตำรามาทีหลัง  การเสื่อมของคำสอนก็เพราะเอาตำรานำแต่ประสบการณ์ไม่ตามมา  หมายถึงประสบการณ์ของตัวผุ้สอน

ผุ้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเองย่อมไม่เข้าใจและประจักษ์แจ้งในหลักธรรม  ตอนหลังพอเหลือแต่ตำราโดยไม่มีผลจากการปฏิบัตินั้นประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง  ก็เป็นเหตุเบื้องต้น

ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่  แล้วพอนานวันเข้าผ่านกาลเวลามานานนับปีความถูกต้องของคำสอนจึงคอยเลือนหายไป  เหลือแต่คาดเดากันว่าอันนี้น่าจะถูก

อันนี้น่าจะผิด  ท้ายสุดคำสอนจึงเหลือเพียงคำสันนิษฐานของคนรุ่นหลังว่าน่าจะถูกหรือผิด  พอหยิบคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติตามผลที่ได้มันก็ฟ้องออกมาด้วยตัวผลจากการ

ปฏิบัตินั้นเอง

ยกตัวอย่างคำสอนหนึ่ง  อิทะิบาท 4  นี่แหล่ะ  ไปเปิดดูได้เลยใน  Google  ก็ได้  มีปรากฏในอิทธิบาทข้อ 1  ว่า  ฉันทะ  แล้วไปเปิดดูในเรื่องอคติ 4  ข้อ 1  มีฉันทะ

เหมือนกัน  อ้าวแล้วอิทธิบาทกับอคติมันขัดแย้งกันนิ  เมื่อขัดแย้งกันนั้นนำไปฏิบัติในอิทธิบาทซิ  ผลออกมาคคือพระต้องมานั่งสอนว่าฉันทะต้องเลือกด้วยว่าใช้กับอะไร  

ทั้ง ๆ  ที่คำสอนแห่งพระพุทธองค์ซึ่งเขียนไว้ดีแล้วต้องเป็นคำสอนที่ตายตัวมันพลิ้วไปตามการตีความไม่ได้  หันมาดูอคติ 4  ข้อแรกความพอใจซิ  ถามว่าความพอใจนั้นก่อให้

เกิดอคติหรือไม่  เพราะอคติเป็นมูลเหตุให้เกิดความเสื่อม  ฉะนั้นความพอใจหรือฉันทะนั้นต่างคนต่างมีไม่เหมือนกัน  ตามเหตุตามผลแต่ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง  ย้อนกลับไปที่

กาลามสูตร 10  อีก  มีข้อหนึ่งบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อแม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่ใคร่ครวญดีแล้ว  เพราะเหตุผลของแต่ละคนเกิดจากความพอใจใช่หรือไม่

สรุปแล้วสิ่งที่ขัดแย้งกันตามหลักความจริงต้องมีผิด 1  ที่ถูก  1  ที่เสมอ  อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าคำสอนที่ถูกต้องของอิทธิบาทคือ  1.  ฉันทะวิริยะ  คือความพอใจในการ

ประกอบความเพียร  ทีนี้แหล่ะดิ้นไม่หลุดแล้วเพราะต้องไปดุว่าคำว่าเพียรคืออะไรแล้วจำกัดความพอใจไว้กับความเพียรนั้น

ทีนี้มาดูกวันว่าผิดถูกเป็นอย่างไรกันแน่  นี่ผมยกตัวอย่างให้เห็นเรื่องเดียวนะครับ  สิ่งที่ผมย้ำนักย้ำหนาก็ยังย้ำอยู่เหมือนเดิม  หลายอย่างก็อธิบายไว้ในกระทุ้อื่นแล้วอธิบาท

ผลที่ได้ออกมาแบบนี้แหล่ะ  คือผิดแล้วได้อะไร  ขอสั้น ๆ  ก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:50:45 โดย tanawat30 » บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
wareerant
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,026



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #104 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:53:46 »

เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นเรื่องของความเชื่อครับ เป็นเรื่องที่มนุษย์ชอบคิดไปเรื่อย สัตว์และพืชมันไม่คิดอย่างนี้หรอกครับ

เรอเน่ เดคาร์ต นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเคยพูดว่า "เพราะฉันคิด จึงมีฉัน"

ถ้าปลดเปลื้องเรื่องพวกนี้ออกได้ (เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า กฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ นิพพาน ศาสนา)ท่านจะสบายใจ (เหมือนผม)แต่บอกเลยว่า ยาก จิตของคนส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในคุก ที่เรียกว่า อุปาทาน (คิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
บันทึกการเข้า

knight15
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 391



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #105 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 00:57:46 »

ท่านอธิบายในหลักธรรม อย่างนี้ดีครับ มีประโยชน์ พิสูจน์ได้ เข้าใจได้

แต่ พระศิวะเตะท่านขึ้นสวรรค์ หรือ ท่านเผาร่างกายตัวเอง แล้วเสกมาใหม่ ไม่เกี่ยวกันนะครับ
บันทึกการเข้า
tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #106 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:02:41 »

เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นเรื่องของความเชื่อครับ เป็นเรื่องที่มนุษย์ชอบคิดไปเรื่อย สัตว์และพืชมันไม่คิดอย่างนี้หรอกครับ

เรอเน่ เดคาร์ต นักปราชญ์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเคยพูดว่า "เพราะฉันคิด จึงมีฉัน"

ถ้าปลดเปลื้องเรื่องพวกนี้ออกได้ (เรื่องของบุญกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า กฏแห่งกรรม นรก สวรรค์ นิพพาน ศาสนา)ท่านจะสบายใจ (เหมือนผม)แต่บอกเลยว่า ยาก จิตของคนส่วนใหญ่ถูกขังอยู่ในคุก ที่เรียกว่า อุปาทาน (คิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)


อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่  เลียนแบบมาจาก  "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา"  แต่เอามาครึ่งเดียว  แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย  เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน  

ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา  คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา  ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ  ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป  เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน  จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น

ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ  ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง
บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
adsene5438
Global Moderator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 3852
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,763



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #107 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:06:30 »

อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555
บันทึกการเข้า
wareerant
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,026



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #108 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:10:05 »

อ้างถึง
อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่  เลียนแบบมาจาก  "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา"  แต่เอามาครึ่งเดียว  แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย  เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน  

ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา  คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา  ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ  ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป  เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน  จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น

ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ  ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง

คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ

ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น
บันทึกการเข้า

Nongkhai_tong
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 236
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,542



ดูรายละเอียด
« ตอบ #109 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:13:30 »

อ่านกระทู้นี้แล้วผมหันไปนับถือ คริตส์ ดีกว่า สบายใจดี 5555555555555

ไปด้วย
บันทึกการเข้า

wareerant
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,026



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #110 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:16:51 »

คนล้มละลาย ศาลยังคุ้มครองให้แค่ยึดทรัพย์หมดตัว ไม่ต้องใช้หนี้เจ้าหนี้อีกต่อไป ไม่งั้นคนเป็นหนี้ 100 ล้าน ไม่จ่ายหนี้กันตายหรือครั้บ

คนอย่างฮิตเลอร์ ถึงจะเลวแค่ไหน ตายแล้วก็หมดกัน ถ้าต้องใช้กรรมกันเป็นล้านชาติ มั้นไม่โหดไปหน่อยหรือครับ เรื่องบาปบุญมันพิสูจน์ทางกายภาพไม่ได้ก็จริง แต่มันพิสูจน์ได้โดยหลักความน่าจะเป็น ที่สามารถทำความเข้าใจโดยเหตุผลแบบมนุษย์

บันทึกการเข้า

tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #111 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:18:01 »

ท่านอธิบายในหลักธรรม อย่างนี้ดีครับ มีประโยชน์ พิสูจน์ได้ เข้าใจได้

แต่ พระศิวะเตะท่านขึ้นสวรรค์ หรือ ท่านเผาร่างกายตัวเอง แล้วเสกมาใหม่ ไม่เกี่ยวกันนะครับ

ผมรู้สาเหตุที่แน่ชัดแล้วที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม  ที่สำคัญเลยคนเราพยายามแยกเรื่องประสบการณ์ของผุ้รู้ออกจากหลักธรรมที่เขารู้  จะเน้นเอาแต่สาระข้อ

ธรรมอย่างเดียว  ด้วยความคิดว่าประสบการณ์ของผู้อื่นตนเองพิสูจน์ไม่ได้  ทำให้เรื่องตามประสบการณ์กลายเป็นเรื่องไร้สาระ  เพ้อเจอ  ฯลฯ  ทำให้ตอน

หลังไม่มีใครกล้าเล่าผลที่เกิดขึ้นกับตนให้คนอื่นได้รู้หรือเล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตนในวันวานกว่าจะมีตนในวันนี้  เมื่อเหลือแต่เนื้อคำสอนอย่างเดียว

ผลจึงเกิดตามที่ผมอธิบายมา  ที่ผมปฏิบัติได้มาถึงทุกวันนี้ก็เพราะผมให้ความสำคัญในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ  อะไรหยิบมาเป็นบทเรียนได้ก็หยิบมา

ในกระทู้นี้ได้พูดถึงเรื่องการตาย  ผมก็นำประสบการณ์ความตายมาเล่า

เหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติธรรม  เพราะตนเองไม่เคยมีบทเรียน  แล้วบทเรียนจะได้มาจากประสบการณ์อีกที    เมื่อ

ไม่มีบทเรียนจึงไม่มีผลของการปฏิบัติด้วย  ผู้จะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมได้  ต้องศึกษาด้วยประสบการณ์ถ้าหาที่ตนไม่ได้ต้องไปเอาจาก

คนอื่นที่เขามีประสบการณ์นั้นมาเรียนรู้  จากนั้นจึงไปดูซิว่าถ้ามีประสบการณ์แย่ ๆ  เกิดขึ้นจะไปหยิบอะไรมาปฏิบัติจึงจะพ้นจากสิ่งนั้น  ถ้าเกิดกับตน

ได้ดีครับ  ถ้าเกิดกับตนไม่ได้ไปๆฟังจากคนอื่น  แล้วดูว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างไร  ผมก็มีอธิบายของผมอยู่แล้วทุกอย่างที่ว่ามา  โอ้พิมพ์

rep  นี้ได้เรื่องสำคัญไปเชียนอีกเรื่องเลยนะนี่
บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
kongpair
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 333
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,721



ดูรายละเอียด
« ตอบ #112 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:20:17 »

พระพุทธศาสนาเสื่อมก็เพราะพี่นั่นล่ะครับ


อวดอุตริปาฏิหารย์


เพ้อเจ้อไปสามซอย ยังไม่พอ ยังจะมาอธิบายอะไรโง่ ๆ งง ๆ กะว่า จะตีขลุมไป


เอามั่วเข้าว่า...


ตามนั้น
บันทึกการเข้า
adsene5438
Global Moderator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 3852
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,763



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #113 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:21:51 »

ผมว่านะอย่าพึ่งเอาธรรมชั้นสูงๆมาพูดกันดีกว่าไหม น่าจะไปพูดกันบอร์ดธรรมะ อะไรพวกนี้นะ เดี๋ยวเด็กๆหรือคนแก่ๆแบบผม ที่ไม่รู้เรื่องในแก่นแท้ของหลักธรรมจะงง กันมากมายไปกันใหญ่ ยิ่งมึนๆมากแล้ว มาเจอกระทู้นี้มึนไปใหญ่ เดี๋ยวแต่ละท่านที่เขาเรียกว่าอะไรนะ ประสาทการรับรู้ หรือจิตแห่งการรับรู้ไม่เท่ากันด้วย จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เหมือนกันตอนเรียน ป.4 ปิติตื่นขึ้นมาตอนที่พระท่านเทศน์ ว่า "การนอนตืนสายก็ดี"เลยทำให้ปิตินอนตืนสายอะ แบบนี้เขาเรียกอะไรไม่รู้นะ ผมเรียนมาน้อย

แต่ผมถามหน่อย ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ระหว่าง การปฏิบัติกรรมฐาน กับการ ศึกษาพระไตรปิฎก นะ อะไรดีกว่ากันครับ หรือเขาเรียกอะไรนะ สายวัดป่า กับสายวัดเมือง อะไรนี้แหละ อะไรดีกว่ากัน ครับ อยากรู้
บันทึกการเข้า
tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #114 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:24:30 »

อ้างถึง
อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่  เลียนแบบมาจาก  "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา"  แต่เอามาครึ่งเดียว  แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย  เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน  

ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา  คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา  ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ  ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป  เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน  จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น

ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ  ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง

คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ

ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น

ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ  ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด  แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง  ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน
บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
tanawat30
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 384
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,656



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #115 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:28:07 »

พระพุทธศาสนาเสื่อมก็เพราะพี่นั่นล่ะครับ


อวดอุตริปาฏิหารย์


เพ้อเจ้อไปสามซอย ยังไม่พอ ยังจะมาอธิบายอะไรโง่ ๆ งง ๆ กะว่า จะตีขลุมไป


เอามั่วเข้าว่า...


ตามนั้น

ผมไม่ได้อวดปาฏิหารย์นะครับ  สิ่งที่ผมเล่ามี 2  ส่วนคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม  กับสิ่งที่ผมนำหลักธรรมไปทำให้เกิดผลเท่านั้น

ส่วนเรื่องศาสนาเสื่อมมันก็เสื่อมมาตั้งนานแล้ว  สงครามโลกทั้ง 2  ครั้งก็เกิดจากพุทธศาสนาเสื่อม  แล้วสมครามโลก

ก็เกิดมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก
บันทึกการเข้า

บรรยายวิธีทำสมาธิล้วน ๆ  จ้า ทำสมาธิกันโลด
wareerant
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,026



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #116 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:28:24 »

ผมเองก็ไม่ทราบนะครับว่า สายไหน เป็นอย่างไร แต่ที่ผมทราบ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เขียนคัมภีร์เอง มีพระอาวุโสหลายท่านทำการสังคายนาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผมอยากบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ หนึ่งในนั้นคือ

อย่าเชื่อเพราะเป็นเนื้อความในหนังสือ

คัมภีร์ไตรปิฎกก็เป็นหนังสือเหมือนกันครับ
บันทึกการเข้า

adsene5438
Global Moderator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*****

พลังน้ำใจ: 3852
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,763



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #117 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:30:47 »

แล้วแบบนี้มันคืออะไรครับ ผมนั่ง่สมาธิ นั่งกรรมฐาน ผมเห็นดวงไฟดวงใหญ่ วูปหนึ่งแล้วก็เห็นประตูบานใหญ่มากๆๆ แต่ไม่ได้เข้าไป กลัว เลยไม่กล้าเข้าไป แบบนี้อะไรอะ ไม่รู้เหมือนกันอะ
บันทึกการเข้า
bubbleball
Administrator
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 444
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,695



ดูรายละเอียด
« ตอบ #118 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:34:11 »

อ้างถึง
อันนี้เลียนแบบมาจากคำสอนในพุทธศาสนาเลยนะนี่  เลียนแบบมาจาก  "กรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา"  แต่เอามาครึ่งเดียว  แต่ขอดัดแปลงอีกหน่อย  เพราะฉันคิดมันจึงเกิขึ้นกับฉัน  

ฉันคิดดีผลบุญเกิดทันตา  คิดชั่วผลบาปเกิดทันตา  ลองคิดดูซิถ้าคิดแล้วเป็นสุขคือบุญ  ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์คือบาป  เกิดขึ้นทันทีเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นในใจตน  จับเรื่องบุญลาปมาให้เห็น

ส่วนนรกสวรรค์ก็เกิดจากการสร้างตามเจตนานั่นแหล่ะ  ไม่ต้องเชื่อผมแต่ให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง

คนละเรื่องกันเลยครับท่านพี่ ท่านพี่จะพาผมออกทะเลอีกแล้วครับ ท่านพี่ควรศึกษาปรัชญาตะวันตกบ้างนะครับ

ผมกำลังบอกท่านพี่ว่า เรื่องกรรม เป็นเรื่องของความคิด ถ้าหยุดคิดเสีย มันก็สบายใจ ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เราก็ไม่ใช่คนเดิม กลายเป็นคนอื่น ชื่ออื่น ทัศนคติ และทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ไม่ใช่เราคนเดิม แล้วเราจะมานั่งกังวลหาแกรนแคนยอนอะไรล่ะครับ นี่แหละคือหลักความน่าจะเป็น

ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ  ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด  แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง  ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน

เรื่องอดีตชาติและความทรงจำชาติเก่า มีหนังสือข้ามชาติ กับ ข้ามภพ หนังสือแปร แต่งโดย dr. Brian L. Weiss เป็น ดอกเตอร์คนนึงที่สะกดจิตคนไข้ แล้วพบว่าคนไข้เล่าถึงอดีตในชาติก่อน และนำไปพิสูจน์ประวัติต่างๆจนค้นพบว่าบางเรื่องอ้างอิงได้  เล่มแรกเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึงที่ย้อนไปได้หลายชาติ เล่มสองเกี่ยวกับคนป่วยหลายๆคนที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และได้ทำการสะกดจิตระลึกชาติเพื่อหาปมที่มาของอาการเจ็บป่วยเหล่านั้น (กรรมเก่า) จนอาการดีขึ้น  จริงๆมันยี่สิบกว่าปีแล้ว และเอาจริงๆ ฝรั่งในสมัยนั้นยังไม่เชื่อในเรื่องเวียน ว่าย ตาย เกิด มันจึงขัดความเชื่อหลายๆอย่างในศาสนาของเขาครับ

ส่วนเล่มสามแต่งออกมาและนิยมในช่วงเวลาหนึ่ง ในนิยายชื่อ เราจะข้ามเวลามาพบกัน (จะว่านิยายก็ไม่เชิง เหมือน เอาเรื่องคนไข้สองคนมาเล่า ประมาณว่า soul mate)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:39:12 โดย bubbleball » บันทึกการเข้า

กลุ่มซื้อขายบริการเกี่ยวกับ SEO อื่นๆ โดยตรง
SEO MARKET THAILAND

สงสัยติดต่ออะไรไปทักหาที่ Fair Thailand (ไม่ค่อยอ่านกล่องข้อความที่นี่)

Fair Market Thailand   กลุ่มค้าขายรวมอื่นๆ ในภายหลัง


ปลาทอง
ลายเซนต์สูงไม่เกิน 250px
wareerant
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,026



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #119 เมื่อ: 09 พฤศจิกายน 2010, 01:37:42 »

อ้างถึง
ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเราก็พ้นทุกข์กันแล้วซิครับ  ในพุทธศาสนามีอนุสัยในจิตเป็นตัวทำให้คิด  แล้วจะหยุดคิดไม่ได้เลยถ้ามีอนุสัยแล้วอนุสัยก็มาจากการสะสมของความคิดทั้งมวลหมักหมมอยู่ในจิตตนเอง  ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติปัจจุบัน

การได้สนทนาธรรมแชร์ความรู้แจ้งกับท่านพี่เนี่ย เป็นอะไรที่สุดยอดจริง ๆ
คนเราหยุดคิดได้ครับ ผมได้พิสูจน์มาแล้ว (พูดเหมือนท่านพี่เลย)

แค่เราทำความเข้าใจประโยคที่ว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา" แค่นี้เองที่ทำให้คนเป็นพระอรหันต์กันมาหลายท่าน ไม่ต้องไปซื้อหนังสือธรรมมะมาอ่านให้เสียตังค์ ไม่ต้องไปหาหลวงปู่หลวงพี่ที่ไหน  คัมภรีไตรปิฎกโยนทิ้งไปได้เลยครับ อย่าไปอ่านให้เสียเวลา

ว่าแต่ท่านพี่เข้าใจประโยคนี้หรือยังครับ
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์