คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้ คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม
อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดี หรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณา
ให้ดี สิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย แต่นั่นเป็น
ประสบการณ์ แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง สิ่งที่ต่างคือ
ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์ ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์
มา ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น เราทั้งหลายต้องรู้
อยู่ แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่ อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด
ท่านบอกว่าคนเราไปจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในจักรวาล ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม เช่นเดียวกัน คนเราไม่จำเป็นต้องบอกในทุกเรื่อง ถ้าสิ่งที่บอกไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง และไม่มีประโยชน์ จะบอกมาทำไม จะทำให้บางท่านเข้าใจธรรมะผิดไปได้
ท่านยกพระพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยุ่แล้ว แต่ก็มีหลายคนที่หลงผิดธรรมนองครองธรรม ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หลายคนก็ยังเชื่อในสิ่งที่ผิดๆอยู่
ขนาดมีตถาคตขึ้นมา ยังมีหลายคนที่ทำผิดทำนองครองธรรม
ดังนั้น จะโยนให้เ็ป็นหน้าที่ของผู้ปกครองคอยสอนอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงความจริงนั้นด้วย ก็เป็นการสอนที่ผิดต่อๆกันไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีธรรมะสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
และสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำไม่เพียงแต่ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตน แต่ยังทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยธรรมะของพระองค์
คนเรามีภูมิปัญญาและที่สำคัญคือประสบการณ์ที่ต่างกันย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่ย่อมต่างกันไปด้วย คนมีปัญญาหรือมีประสบการณ์น้อยจะเห็นเรื่องบางเรื่อง
ที่มีประโยชน์เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ได้ อีกอย่างหนึ่งด้วยพุทธวิสัยจำเป็นต้องรู้อยู่แล้วว่าคนในสมัยปัจจุบันต่างจากคนในสมัยพุทธกาลอย่างไร เรื่องตามประสบการณ์ที่เล่า
ก็เปลี่ยนไปตามสภาวะสังคมของคนในยุคปัจจุบันด้วย
ส่วนสาเหตุที่มีตถาคตขึ้นมาแล้วยังเสื่อมได้ ก็เพราะการเรียนรู้คำสอนแล้วถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นอนิจจัง เช่นการไม่เข้าใจหลักปัจจัตตังนั้นเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรม
การเรียนรู้ธรรมที่ถูกต้องคือประสบการณ์หรือปฏิบัตินำแล้วตำรามาทีหลัง การเสื่อมของคำสอนก็เพราะเอาตำรานำแต่ประสบการณ์ไม่ตามมา หมายถึงประสบการณ์ของตัวผุ้สอน
ผุ้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเองย่อมไม่เข้าใจและประจักษ์แจ้งในหลักธรรม ตอนหลังพอเหลือแต่ตำราโดยไม่มีผลจากการปฏิบัตินั้นประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ก็เป็นเหตุเบื้องต้น
ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วพอนานวันเข้าผ่านกาลเวลามานานนับปีความถูกต้องของคำสอนจึงคอยเลือนหายไป เหลือแต่คาดเดากันว่าอันนี้น่าจะถูก
อันนี้น่าจะผิด ท้ายสุดคำสอนจึงเหลือเพียงคำสันนิษฐานของคนรุ่นหลังว่าน่าจะถูกหรือผิด พอหยิบคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติตามผลที่ได้มันก็ฟ้องออกมาด้วยตัวผลจากการ
ปฏิบัตินั้นเอง
ยกตัวอย่างคำสอนหนึ่ง อิทะิบาท 4 นี่แหล่ะ ไปเปิดดูได้เลยใน Google ก็ได้ มีปรากฏในอิทธิบาทข้อ 1 ว่า ฉันทะ แล้วไปเปิดดูในเรื่องอคติ 4 ข้อ 1 มีฉันทะ
เหมือนกัน อ้าวแล้วอิทธิบาทกับอคติมันขัดแย้งกันนิ เมื่อขัดแย้งกันนั้นนำไปฏิบัติในอิทธิบาทซิ ผลออกมาคคือพระต้องมานั่งสอนว่าฉันทะต้องเลือกด้วยว่าใช้กับอะไร
ทั้ง ๆ ที่คำสอนแห่งพระพุทธองค์ซึ่งเขียนไว้ดีแล้วต้องเป็นคำสอนที่ตายตัวมันพลิ้วไปตามการตีความไม่ได้ หันมาดูอคติ 4 ข้อแรกความพอใจซิ ถามว่าความพอใจนั้นก่อให้
เกิดอคติหรือไม่ เพราะอคติเป็นมูลเหตุให้เกิดความเสื่อม ฉะนั้นความพอใจหรือฉันทะนั้นต่างคนต่างมีไม่เหมือนกัน ตามเหตุตามผลแต่ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง ย้อนกลับไปที่
กาลามสูตร 10 อีก มีข้อหนึ่งบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อแม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่ใคร่ครวญดีแล้ว เพราะเหตุผลของแต่ละคนเกิดจากความพอใจใช่หรือไม่
สรุปแล้วสิ่งที่ขัดแย้งกันตามหลักความจริงต้องมีผิด 1 ที่ถูก 1 ที่เสมอ อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าคำสอนที่ถูกต้องของอิทธิบาทคือ 1. ฉันทะวิริยะ คือความพอใจในการ
ประกอบความเพียร ทีนี้แหล่ะดิ้นไม่หลุดแล้วเพราะต้องไปดุว่าคำว่าเพียรคืออะไรแล้วจำกัดความพอใจไว้กับความเพียรนั้น
ทีนี้มาดูกวันว่าผิดถูกเป็นอย่างไรกันแน่ นี่ผมยกตัวอย่างให้เห็นเรื่องเดียวนะครับ สิ่งที่ผมย้ำนักย้ำหนาก็ยังย้ำอยู่เหมือนเดิม หลายอย่างก็อธิบายไว้ในกระทุ้อื่นแล้วอธิบาท
ผลที่ได้ออกมาแบบนี้แหล่ะ คือผิดแล้วได้อะไร ขอสั้น ๆ ก่อน