ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ศึกษาให้ดีแล้วสิ่งที่ผมพิมพ์มาไม่สามารถทำให้คนอื่นหลงผิดได้เลย เนื่องจากมีหลักกาลามสูตร 10 ค้ำคออยู่
สิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่ง ที่ผมบรรยายมาจึงอยู่ที่ว่านำสิ่งทีว่าสิ่งที่รู้มานั้นถูกต้องหรือไม่ แล้วคำถามนี้ควรถามมาก่อนที่ผมจะเกิดมาในโลกใบนี้เสียอีก ถูกหรือไม่
ดูที่ผล แล้วผลของการปฏิบัติผิดเป็นมุลมันมีมาตั้งแต่ผมจะเกิดขึ้นเสียอีก แต่ปัจจุบันผลนั้นเด่นชัดกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง
ถูกครับที่ว่า ผู้ศึกษาธรรมะจะต้องศึกษาธรรมด้วยปัญญา ตามหลักกาลามสูตร 10 ซึ่งเป็นธรรมะข้อสำคัญที่ควรนำมาใช้
แต่คนทุกคนก็ไม่ได้มีปัญญาไปหมดทุกเรื่อง ยกตัวอย่างท่านในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีปัญญาทราบความเป็นไปในโลกทุกอย่าง หรือท่านจะบอกว่าท่านทราบ (เพราะถ้าท่านปฏิบัติธรรมจนถึงระดับสูงอย่างที่ท่านว่า บางทีท่านอาจจะทราบ ทุกเรื่องในจักรวาลแล้ว)
และเนื่องจากทุกคนไม่ได้มีปัญญาไปหมด คนที่ตั้งใจศึกษาธรรมะ ถ้ามาเจอเรื่องของพระศิวะเตะขึ้นสวรรค์ หรือ สลายร่าง และสร้างมาใหม่
ก็อาจจะหลงผิดกับความจริงของท่านเพียงคนเดียวไปได้ จนลืมธรรมมะที่แท้จริง
คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่มีอยู่ในจักรวาลก็ได้ คำถามที่ทุกคนต้องถามตนเองคือรู้มาทำไมรู้มาเพื่ออะไรมากกว่า ถ้าไม่มีประโยชน์จะรู้ไปทำไม
อีกอย่างคนเราทุกคนควรรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีด้วยตนเองอยู่แล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า "แม้ตถาคตไม่เกิดทำนองครองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณา
ให้ดีสิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงค์โปรดพุทะมารดา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเล่าไม่ต่างกันเลย แต่นั่นเป็น
ประสบการณ์แห่งพระพุทธองค์ก็เป็นความจริงของพระพุทธองค์เท่านั้น เรื่องของผมก็เป็นความจริงในตัวผมเท่านั้นตามหลักปัจจัตตัง สิ่งที่ต่างคือ
ประสบการณ์ของผมไม่ใช่ของพระพุทธองค์ ส่วนความจริงของพระพุทธองค์ก็ไม่ใช่ของผม สิ่งที่เหมือนกันคือการถ่ายทอดประสบการณ์
มาถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ตถาคตไม่เกิดธรรมนองครองะรรมก็มีอยุ่แล้ว แปลว่าถึงแม้ว่าพระพุทธองค์ไม่อุบัติขึ้น เราทั้งหลายต้องรู้
อยู่แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ถ้าไม่รู้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผุ้ปกครองต้องคอยเอาใจใส่ อบรมเพื่อให้รู้เยี่ยงวิญญูชนว่าอะไรดีหรือไม่ดี
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำก็คือ จะทำให้ทุกข์ซึ่งเกิดจากความไม่ดีของตนนั้นพ้นไปจากตนอย่างไรด้วยวิธีการใด