ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.com< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน)สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe)❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤
หน้า: [1] 2 3 ... 39   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ Live Update! ข่าวสารวงการไอที คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ❤  (อ่าน 170423 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 31 ตุลาคม 2010, 15:51:02 »

Google เบียดสมุดหน้าเหลือง จุดพลุบริการ Google Place Search


ลักษณะหน้าผลการค้นหา Place Search มองผาดๆคล้ายสมุดหน้าเหลือง

Googleจุดพลุบริการค้นหาสถานที่ท้องถิ่นนาม Google Place Search รุกคืบบริการสมุดหน้าเหลือง Yellow Pages เต็มที่ด้วยการแนบข้อมูล แผนที่ และรีวิวเสียงตอบรับคุณภาพร้านค้าไปกับผลการสืบค้นในวิธีใหม่ มีแผนตั้งเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้Googleสามารถค้นหา ภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ เท่ากับเจ้าของกิจการทั่วโลกจะมีทางเลือกในการแสดงตำแหน่งร้านของตัวเองให้ ขึ้นหน้าแรกGoogleได้โดยไม่ต้องลุ้นกับบริการ Google Maps อย่างที่เป็นในปัจจุบัน
      
       Jackie Bavaro ผู้จัดการโครงการ Place Search บรรยายไว้ในบล็อกGoogleว่า Place Search คือบริการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่นชนิดใหม่ที่จะจัดการข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ ทั่วโลกให้ใช้ง่ายและเป็นระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของชาวเน็ตว่าจะเดินทางไปที่แห่งใด โดยผลสืบค้น Place Search จะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อGoogleวิเคราะห์และคาดว่าชาวเน็ตกำลังค้นหา ข้อมูลในท้องถิ่นใด
      
       "หากไม่ปรากฏข้อมูล Place Search อัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อชมหน้าผลการเสิร์ชได้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบของGoogleเข้าใจตำแหน่งที่ตั้ง ร้านค้าในท้องถิ่นได้ดีขึ้น เราเชื่อมเว็บไซต์หลายล้านแห่งเข้ากับพื้นที่จริงในโลกมากกว่า 50 ล้านจุด จนทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์อย่างอัตโนมัติว่าเว็บไซต์ใดกำลังถูกพูดถึง แม้การเสิร์ชในขณะนั้นจะไม่ได้ระบุข้อมูลที่เพียงพอก็ตาม”
      

Place Search จะเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้Googleสามารถค้นหาภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ

       ข้อมูลใน Place Search จะประกอบด้วยข้อมูลเว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ และข้อมูลอื่นๆของร้านค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงร้านซักแห้ง เพื่อให้ผู้ใช้Googleได้รับข้อมูลสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น โดยจะเปิดทางให้ผู้ใช้Googleเข้ามาให้คะแนนคุณภาพร้านค้า และการแสดงลิงก์สู่บริการ Google Maps เพื่อเติมเต็มข้อมูลการเดินทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น
      
       รายงานระบุเพียงว่า คุณสมบัติการค้นหาสถานที่จะเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานในหลายพื้นที่ทั่วโลกใน ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นคือการรองรับท้องถิ่นมากกว่า 50 ล้านจุดผ่าน 40 ภาษา ยังไม่มีรายละเอียดว่ามีภาษาไทยรวมอยู่ด้วยหรือไม่

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กุมภาพันธ์ 2011, 21:06:10 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2010, 16:59:37 »

ผู้ก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นจีน "Baidu" ขึ้นแท่นรวยอันดับ 2 ในจีน


Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นสัญชาติจีนอย่าง"ไป่ตู้ (Baidu.com)"

อีกบทพิสูจน์ความล่ำซำจากธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้น ล่าสุดนิตยสาร Forbes China เปิดทำเนียบเศรษฐีมังกรโดยชู Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นสัญชาติจีนอย่าง"ไป่ตู้ (Baidu.com)"เป็นหนึ่งในสองของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ โดย Li ครองตำแหน่งอันดับ 2 รองจาก Zong Qinghou เจ้าพ่อน้ำอัดลมแบรนด์ Wahaha ขวัญใจลูกเด็กเล็กแดงแดนมังกร
      
       Li เป็นนักธุรกิจวัย 44 ปีที่ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินมากกว่า 7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปีที่ผ่านมา โดยสามารถแซงหน้าเศรษฐีรายอื่นจากเดิมที่เคยอยูในอันดับ 14 มาเป็นอันดับที่ 2 เพราะอานิสงส์จากมูลค่าหุ้นของไป่ตู้ที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจาก ยักษ์ใหญ่Google (Google) ประกาศปิดบริการเสิร์ชเอนจิ้นในพื้นที่ประเทศจีน เนื่องจากไม่สามารถกระทำตามกฏหมายคัดกรองเนื้อหาเว็บไซต์หรือกระบวนการ เซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีนได้
      
       ไม่เพียงมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ไป่ตู้ดอทคอมเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กำไรของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2553 นั้นเพิ่มขึ้นถึง 112% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จกำไรอยู่ที่ 156.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 45 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 41 เซนต์
      
       ในส่วนของรายได้ ไป่ตู้ประกาศว่ารายรับในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 76.4% จากปีที่แล้ว แตะ 337.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าไตรมาส 4 จะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกจนแตะระดับ 354.2 - 364.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
       ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพของเสิร์ชเอนจินจีนที่ร้อน แรงอย่างยิ่งในขณะนี้ โดยปัจจุบัน ไป่ตู้ครองส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเอ็นจินในจีนมากถึง 70% และกำลังวางแผนกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอีคอมเมิร์ซและวิดีโอออนไลน์ใน อนาคต
      
       สำหรับ Zong แชมป์รวยอันดับ 1 ของจีนนั้นเป็นชายวัย 65 ปี มีทรัพย์สินราว 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยับอันดับจากเบอร์ 3 ในปีก่อนหน้า โดยชายที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของจีนคือ Liang Wengen วัย 53 ปีผู้ก่อต้งบริษัทผลิตเครื่องมือหนักนาม Sany Group มูลค่าทรัพย์สิน 5,900 ล้านเหรียญ
      
       เหนืออื่นใด การจัดอันดับทำเนียบเศรษฐีจีนครั้งล่าสุดยังสะท้อนให้เห็นภาวะการขยายตัวของ เศรษฐกิจแดนมังกรอย่างก้าวกระโดด โดยจำนวนเศรษฐีแดนมังกรที่ติดทำเนียบเศรษฐีระดับโลกของนิตยสาร Forbes นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 128 รายจาก 79 รายในปีที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐฯที่ยังเป็นพื้นที่ที่มีเศรษฐีมากที่สุดในโลก
      
       ..ข่าวนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย ลุกขึ้นมาทำเสิร์ชเอนจินเองก็ได้ เพื่อให้คนไทยไม่ต้องพึ่งพาGoogleเพียงอย่างเดียว..

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:55:16 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2010, 22:06:40 »

ญี่ปุ่นไอเดียกระฉูด "พรินเตอร์กลิ่น"



Edited - นักวิจัยญี่ปุ่นหยิบระบบเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมาต่อยอด ปูทางผู้ใช้พิมพ์ภาพพร้อมกลิ่นได้จากเครื่องพิมพ์เครื่องเดียว หวังใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างกลิ่นให้ทีวี-คอมพิวเตอร์ เพื่อให้แฟนรายการอาหารในอนาคตได้รับรู้กลิ่นหอมของอาหารระหว่างชม รวมถึงผู้ชมภาพพิมพ์ที่จะได้รับกลิ่นตามภาพที่ชมอย่างเต็มอรรถรส
      
       ผลงานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากบุคลากรมหาวิทยาลัย Keio University ในโตเกียว ซึ่งระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาทางนำระบบการทำงานลักษณะเดียว กับระบบในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท มาประยุกต์เป็นเครื่องส่งกลิ่นตามข้อมูลภาพที่ปรากฏทั้งที่เป็นภาพนิ่งและ ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้ฝันเรื่องการสร้าง"ภาพยนตร์มีกลิ่น"ที่ถูกริเริ่มในโลกตั้งแต่ ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มีแนวโน้มเป็นความจริงยิ่งขึ้น
      
       บริษัทที่ริเริ่มการสร้างภาพยนตร์มีกลิ่นในโลกคือ AromaRama ครั้งนั้น AromaRama ใช้วิธีปล่อยกลิ่นออกมาทางเครื่องปรับอากาศในโรงภาพยนตร์ ขณะที่บริษัทคู่แข่งนามว่า Smell-O-Vision ใช้ วิธีสร้างระบบปล่อยกลิ่นผ่านท่อของตัวเองขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โครงการนั้นล้มเหลวเพราะเสียงรบกวนจากเครื่องจักรและความอบอวลของกลิ่นเดิม ไปรบกวนกลิ่นใหม่ทำให้กลิ่นในขณะนั้นไม่สัมพันธ์กับภาพ กระทั่ง iSmell USB อุปกรณ์ส่งกลิ่นจากบริษัท Digiscents ถูกส่งมากระตุ้นตลาดอีกครั้งในปี 2000 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปัญหาลักษณะเดียวกัน
      
       ทั้งหมดนี้ Kenichi Okada นักวิจัยผู้เตรียมนำเสนองานวิจัยนี้ในงานประชุมซึ่งสมาคม Association for Computing Machinery มีกำหนดจัดขึ้นที่อิตาลีช่วงสัปดาห์ปลายเดือนตุลาคม 53 แสดงความเชื่อมั่นว่าความสามารถของระบบปล่อยหมึกของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทจะ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปล่อยกลิ่น ซึ่งทำให้ระบบส่งกลิ่นสามารถทำงานได้เงียบ ควบคุมได้ โดยเฉพาะการทำให้กลิ่งจางลงในชั่ววินาที


เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ท แคนนอน
   
วารสาร New Scientist รายงานว่านักวิจัยญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ร่วมชาติอย่างแคน นอน (Canon) ดัดแปลงเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตรุ่นเก่าของแคนนอนโดยใช้ชื่อว่า olfactory display คุณสมบัติเด่นคือความสามารถในการปล่อยกลิ่นสลับกัน 4 กลิ่นได้อย่างแม่นยำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทีมวิจัยพบว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตนั้นสามารถพ่นหัวน้ำ หอมในความเร็ว 1 พิโคลิตร (picolitr) ต่อ 0.7 มิลลิวินาที ซึ่งความเร็วดังกล่าวยังน้อยเกินกว่าขีดจำกัดที่มนุษย์จะได้กลิ่น นักวิจัยจึงเกิดแนวคิดเพิ่มเวลาให้เป็น 100 มิลลิวินาที ซึ่งทำให้เครื่องพิมพ์สามารถให้กลิ่นทั้งมะนาว ลาเวนเดอร์ แอปเปิล ซินนามอน (อบเชย) องุ่น และมิ้นต์ได้ในที่สุด
      
       รายงานระบุว่า กลิ่นที่ได้จะจางหายไปหลังจากสูดดมสองครั้ง ทำให้เครื่องสามารถส่งกลิ่นอื่นตามมาในทันที กลิ่นที่ได้จากระบบจึงไม่ผิดเพื้ยน
      
       Okada ระบุว่าการพัฒนาขั้นต่อไปคือการสร้างกลิ่นที่ตรงกับภาพโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากการศึกษาประสบความสำเร็จ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในอนาคตก็จะสามารถทำงานเป็นทั้งเครื่องพิมพ์และ เครื่องปล่อยกลิ่นได้ในเครื่องเดียว
      
       ที่ผ่านมา เทคโนโลยีกลิ่นพร้อมภาพนั้นไม่ได้ถูกคาดหวังเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว โดยผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้งานด้านสุขภาพได้ เช่น การใช้กลิ่นช่วยเตือนความจำผู้ป่วยสมองเสื่อมให้รับประทานอาหารหรือยาอย่าง ตรงเวลา ซึ่งคาดว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์อื่นๆจากกลิ่นได้ในอนาคต
      
       อีกความท้าทายของระบบปล่อยกลิ่นคือการสร้างกลิ่นสำหรับจุดประสงค์ทั่วไป เนื่องจากนักสังเคราะห์กลิ่นยังไม่ทราบถึงวิธีการสังเคราะห์กลิ่นทั้งหมดที่อุตสาหกรรมต้องการ การ สร้างกลิ่นลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลิ่นไม่ได้เกิดจากการสังเคราะห์สีแดงสีเขียวหรือสีฟ้า ขณะเดียวกัน ส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการสังเคราะห์กลิ่นก็ยังมีมากมายหลายพัน ชนิดขึ่นอยู่กับกลิ่นที่ต้องการ เช่น กลิ่นราสเบอร์รี่ที่ไม่สามารถสังเคราะห์ได้จากช็อคโกแลต เป็นต้น

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:55:31 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

Keiku
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 114
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,782



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2010, 22:12:22 »

 wanwan017
บันทึกการเข้า

ต้องการงานบทความดีมีคุณภาพ
ต้องการงานบทความแบบเร่งด่วน
ต้องการบริการทุกระดับประทับใจ
ตอบโจทย์ทุกข้อขอแค่ PM หาเรา!!!
Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 00:01:35 »

อเมซอนเปิดแอปฯ Windowshop ลุย iPad



อเมซอน (Amazon) เปิดตัว Windowshop แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดเอาใจผู้ใช้ iPad คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตของแอปเปิล นำ Amazon.com มาจัดเรียงใหม่เพื่อเปิดทางให้ชาว iPad สามารถซื้อสินค้าจากอเมซอนได้เหมือนช่องทางปกติ
      
       Jeff Bezos ซีอีโออเมซอนระบุว่า Windowshop ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเอนหลังและใช้งานบนแท็บเล็ตได้อย่างสะดวก สบายกว่าหน้าเว็บไซต์ดั้งเดิม ลูกค้าอเมซอนสามารถเข้าถึงสินค้ามากกว่า 40 ประเภทได้ตามปกติ สามารถขยายภาพผลิตภัณฑ์ และเพิ่มสินค้าลงในตระกร้าได้เพียงสัมผัสหน้าจอครั้งเดียว ถือเป็นการรุกคืบกลุ่มตลาด iPad ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผลิตภัณฑ์เครื่องอ่านหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ของอเมซอนอย่าง Kindle
      
       มีการตั้งข้อสังเกกตว่า Windowshop มีกระบวนการซื้อ e-book หรือไฟล์หนังสืออิเล็กทรอนิกส์บน iPad ที่ยากกว่าการซื้อหนังสือในแอปพลิเคชันอย่าง Kindle เนื่องจากลูกค้าจะต้องลงชื่อใช้งานที่เว็บไซต์ Amazon.com อีกครั้งจึงจะสามารถอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ซื้อมาได้ ต่างจากบน Kindle ที่สามารถอ่านหนังสือได้ทันทีหลังจากซื้อ

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:55:46 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

Fuji
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 01:57:12 »

ติดตามอ่านครับ  wanwan017
บันทึกการเข้า

kl548380
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 50
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 487



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 02:10:17 »

 Tongue Tongue Tongue

แจ๋ว ค่ะ

แต่ ปริ๊นท์เตอร์ มันจะ มีสารพิษไหมอ่ะ
บันทึกการเข้า
Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 13:36:40 »

ไมโครซอฟท์แผ่ว แอปเปิลแซงในรอบ 15 ปี


สตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอไมโครซอฟท์

ดูเหมือนจะเป็นปีที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพราะปี 2010 คือปีแรกที่คู่แข่งตลอดกาลของไมโครซอฟท์อย่างแอปเปิล (Apple) สามารถแซงหน้าทั้งในแง่มูลค่าหุ้นและรายรับรวม
      
       โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ไมโครซอฟท์เพิ่งประกาศออกมาช่วงปลายเดือนตุลาคม กลับมีมูลค่าน้อยกว่าตัวเลขที่แอปเปิลทำได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ถือ เป็นไตรมาสแรกในรอบ 15 ปีที่แอปเปิลสามารถท้าทายไมโครซอฟท์ได้อย่างเป็นรูปธรรมเช่นนี้ หลังจากที่แอปเปิลถูกยกให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (คำนวณจากมูลค่าหุ้น) เหนือกว่าไมโครซอฟท์ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
      
       ไมโครซอฟท์ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2010 (กรกฎาคม-กันยายน) ว่าสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 51% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน คิดเป็นกำไรสุทธิ 5,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่เหนือกว่าคำพยากรณ์ของบริษัทเงินทุนในวอลล์สตรีท เนื่องจากตลาดค้าซอฟต์แวร์วินโดวส์ (Windows) และซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสารออฟฟิศ (Office) เติบโตเหนือความคาดหมาย ทั้งหมดนี้ไมโครซอฟท์ระบุว่าสามารถทำ รายได้รวม 16,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.86 แสนล้านบาท) ซึ่งด้อยกว่าแอปเปิลที่ทำรายรับรวม 20,340 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.10 แสนล้านบาท)
      
       นี่เองที่ทำให้สื่อมวลชนอเมริกันรายงานว่า ไตรมาสที่ผ่านมาคือไตรมาสแรกในรอบ 15 ปีที่แอปเปิลสามารถทำยอดขายได้มากกว่าไมโครซอฟท์ โดยนักลงทุนนั้นตื่นตัวกับศักยภาพไมโครซอฟท์ที่ดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าคู่ แข่ง ทำให้มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์ลดลงถึง 14% ทั้งที่ไมโครซอฟท์สามารถทำยอดจำหน่ายและกำไรได้มากกว่าช่วง 8 ปีก่อนกว่าเท่าตัว
      
       ** ไมโครซอฟท์ยังแกร่ง **
      
       ต้องยอมรับว่าไมโครซอฟท์สามารถทำได้ดีในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากยังสามารถรักษาการเติบโตของบริษัทไว้ได้แม้องค์กรธุรกิจจำนวนมากจะ ยึดนโยบายใช้จ่ายน้อยลง และแนวโน้มที่ชี้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคพีซีขาลง ซึ่งไม่เพียงความกังวลทั้งหมดจะไม่มีผลต่อรายได้ แต่ ไมโครซอฟท์ยังโชว์ตัวเลขว่าผลิตภัณฑ์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์และซอฟต์แวร์ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศสามารถสร้างยอดขายให้ไมโครซอฟท์ถึง 60% ของยอดจำหน่ายรวม โดยคิดเป็น 80% ของกำไรทั้งหมด
      
       ผลประกอบการดีเยี่ยมของไมโครซอฟท์ทำให้นักวิเคราะห์มองคำว่า "ธุรกิจพีซีกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง" เป็นการตื่นตัวที่เกินกว่าเหตุ เนื่องจากในนาทีที่ธุรกิจแท็บเล็ตเติบโตต่อเนื่อง ไมโครซอฟท์ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในตลาดพีซีที่ได้รับผลกระทบก่อน ใคร ก็ยังไม่ถึงกับทรุดตามคำคาดการณ์ของหลายสำนัก
      
       จุดอ่อนใหญ่ที่สุดของไมโครซอฟท์คือกลุ่มบริการออนไลน์ ซึ่งมีส่วนประกอบใหญ่เป็นบริการเสิร์ชเอนจินอย่าง Bing และเว็บท่า MSN กลุ่มธุรกิจนี้ขาดทุนเพิ่มขึ้น 17% แตะระดับตัวแดง 560 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุเป็นเพราะการลงทุนอย่างหนักเพื่อไล่ตามจ่าฝูงอย่างGoogle คาดว่าเบ็ดเสร็จตลอด 5 ปี ไมโครซอฟท์ขาดทุนจากแผนกนี้ราว 6,000 ล้านเหรียญแล้ว
      
       สำหรับตัวเลขยอดรายรับรวม 16,200 ล้านเหรียญ ไมโครซอฟท์ระบุว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 25% ส่งให้มีกำไร 5,400 ล้านเหรียญ หรือ 62 เซ็นต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ทำได้ 3,600 ล้านเหรียญ หรือ 40 เซ็นต์ต่อหุ้น
      
       เฉพาะธุรกิจจำหน่ายซอฟต์แวร์ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ทำกำไรขั้นต้นได้มากที่สุด 3,400 ล้านเหรียญ รองลงมาคือธุรกิจจำหน่ายระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ทำกำไรขั้นต้น 3,300 ล้านเหรียญ นอกนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจเครื่องมือและเครื่องแม่ข่าย ซึ่งรวมเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งด้วย ทำกำไรขั้นต้นได้ 1,600 ล้านเหรียญ ส่วนกลุ่มสินค้าเพื่อความบันเทิงอย่าง Xbox และซอฟต์แวร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ทำกำไรขั้นต้น 382 ล้านเหรียญ
      
       ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ดำเนินนโยบายเลิกจ้างพนักงาน 5,800 คนจนมีจำนวนพนักงานรวมในขณะนี้ 89,000 คน
      
       ** คู่แข่งแกร่งมากกว่า **
      
       แม้แอปเปิลจะมีกำไรสุทธิตลอด 3 เดือนต่ำกว่าไมโครซอฟท์ โดยประกาศที่ 4,310 ล้านเหรียญ แต่กำไรของแอปเปิลที่แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การได้กำไรในไตรมาส ก่อนเพียง 3,350 ล้านเหรียญ (ปี 2009) และ 2,530 ล้านเหรียญ (ปี 2008) รวมถึงรายรับรวมของแอปเปิลที่เพิ่มขึ้นถึง 67% ในไตรมาสเดียวกัน ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในอนาคตของไมโครซอฟท์เท่าใดนัก จนเป็นผลให้มูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ตกต่ำลงในที่สุด
      
       แอปเปิลระบุว่า ไอโฟน (iPhone) ถือเป็นกำลังหลักในการสร้างรายได้ให้แอปเปิลในไตรมาส 3 เนื่องจากยอดจำหน่ายทั้งหมดสูงถึง 14.1 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยไอแพด (iPad) จำหน่ายได้ 4.2 ล้านเครื่อง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.8 ล้านเครื่อง จุดนี้แอปเปิลชี้แจงว่าเป็นเพราะปัญหาในสายการผลิตไอแพด ซึ่งคาดว่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้ในไตรมาสนี้ สำหรับคอมพิวเตอร์แมคอินทอช แอปเปิลระบุว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 28% เบ็ดเสร็จที่ 3.89 ล้านเครื่อง เครื่องเล่นเพลงไอพอด (iPod) มียอดจำหน่ายที่ 9.05 ล้านเครื่อง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการมหาศาลของผู้บริโภคที่ไมโครซอฟท์ไม่ อาจเข้าถึงได้
      
       ในส่วนคู่แข่งไมโครซอฟท์ด้านธุรกิจออนไลน์ ยักษ์ใหญ่Googleระบุว่ามีรายได้หลังหักส่วนแบ่งกับเว็บไซต์พันธมิตรราว 5,480 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งทำได้ 5,270 ล้านเหรียญ แหล่งรายได้ใหญ่คือธุรกิจลงโฆษณาชนิดจ่ายตามจำนวนคลิก ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น 16% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
      
       ความแข็งแกร่งของคู่แข่งทั้งหมดนี้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจหากไมโครซอฟท์จะถูกแซงหน้าเรื่องการโกยเงินจากผู้บริโภคไป แต่ย่อมเป็นเรื่องไม่ดีแน่ หากไมโครซอฟท์จะไม่ปรับตัวและปล่อยให้รูปการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:56:00 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

two49
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 3
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101



ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 14:58:43 »

ผมจะเปิดตัวอะไรกับเค้าดีเนีย  wanwan044
บันทึกการเข้า

RICHEST
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 354
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,233



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 15:03:58 »

 wanwan020
บันทึกการเข้า

Bes
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,502



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:20:16 »

อ้างถึง
ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ดำเนินนโยบายเลิกจ้างพนักงาน 5,800 คนจนมีจำนวนพนักงานรวมในขณะนี้ 89,000 คน

พนักงานที่ถูกเลิกจ้างคงมาทำ Google Adsense กัน  Shocked
บันทึกการเข้า

onlinenow
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 78
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,548



ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:31:14 »

ความรู้เพียบเลย
บันทึกการเข้า

gabriel
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 185
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,198



ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:32:13 »

ลงชื่ออ่าน ขอบคุณครับ  wanwan017
บันทึกการเข้า
Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:40:46 »

อินเทลดึง 70 บริษัทยักษ์ร่วมมือด้านคลาวด์ฯ



อินเทล ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่เป็นตัวตั้งตัวตีในการดึง 70 บริษัทนานาชาติที่ติดอันดับ Fortune 500 ซึ่งนิตยสารชื่อดังจัดอันดับไว้ เปิดเป็นสมาคม Open Data Center Alliance เพื่อหาแนวทางการจัดระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อสร้างสรรค์เป็นระบบ คลาวด์และศูนย์ข้อมูลที่เปิดกว้างและทำงานร่วมกันได้ โดยบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าการลงทุนด้านไอทีต่อปีรวมกันกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ และเป็นองค์กรที่มีงานวิจัยหรือโครงการเกี่ยวกับระบบคลาวด์อย่างจริงจัง
      
       อินเทลออกแถลงการณ์ว่าคณะกรรมการหลักของกลุ่มจะประกอบด้วยแบรนด์สากล อย่าง BMW, China Life, Deutsche Bank, J.P. Morgan Chase, Lockheed Martin, Marriott International, Inc., National Australia Bank, Shell, Terremark และ UBS โดยอินเทลจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพิเศษของกลุ่มเพื่อให้คำปรึกษาด้าน เทคโนโลยีแก่บริษัทในกลุ่มสมาชิก เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงในปี 2015
      
       สมาคมที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ "Cloud 2015" ของอินเทลในการหาทางให้ระบบคลาวด์คอมพิวติงในองค์กรมีความปลอดภัยและมีความ สามารถในการทำงานร่วมกันมากขึ้นในปี 2015 ซึ่งในเวลานั้น อินเทลเชื่อว่าปริมาณชาวเน็ตเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน 1,000 ล้านคน อุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่า 15,000 ล้านชิ้น และทราฟฟิกออนไลน์มากกว่า 1 เซตาไบต์

ขอบคุณที่มา: Cyber Biz
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:56:15 โดย Uzumaki Naruto » บันทึกการเข้า

tumtac
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 226
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,331



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:52:51 »

จะไม่อ้างอิง สักหน่อยหรอกเหรอครับ ว่าไปเต้าข่าวที่ไหนมาบ้าง wanwan016

เท่าที่เห็นก็มีของ manager.co.th เยอะด้วย เพราะเข้าไปอ่านทุกวันเรื่องข่าวไอที และ ข่าวล่าสุด
บันทึกการเข้า

แก้ไขครั้งสุดท้าย: ชาตินี้ เวลา 25:26:05 โดย tumtac
Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 19:54:23 »

จะไม่อ้างอิง สักหน่อยหรอกเหรอครับ ว่าไปเต้าข่าวที่ไหนมาบ้าง wanwan016

เท่าที่เห็นก็มีของ manager.co.th เยอะด้วย เพราะเข้าไปอ่านทุกวันเรื่องข่าวไอที และ ข่าวล่าสุด

ใส่แต่กระทู้แรกแล้วลืมยาวเลย เดี๋ยวใส่ให้ครับ
ขอบคุณที่เตือนครับ
 Embarrassed
บันทึกการเข้า

thunbon
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 5
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 116



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 20:39:54 »

ชอบคุณสำหรับข่าวสารนะครับบบ
บันทึกการเข้า

Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2010, 22:51:31 »

กูเกิลเปิดบริการ Google Place Search



กูเกิลจุดพลุบริการค้นหาสถานที่ท้องถิ่นนาม Google Place Search รุกคืบบริการสมุดหน้าเหลือง Yellow Pages เต็มที่ด้วยการแนบรายการธุรกิจท้องถิ่นไปกับผลการสืบค้น มีแผนตั้งเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้กูเกิลสามารถค้นหา ภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ โดยเจ้าของกิจการจะมีทางเลือกในการแสดงตำแหน่งร้านของตัวเองให้ขึ้นหน้าแรก กูเกิลได้โดยไม่ต้องลุ้นกับบริการ Google Maps อย่างที่เป็นในปัจจุบัน
       
       กูเกิลให้ข้อมูลว่าได้รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ และข้อมูลอื่นๆของร้านค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงร้านซักแห้ง เพื่อให้ผู้ใช้กูเกิลได้รับข้อมูลสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น โดยจะเปิดทางให้ผู้ใช้กูเกิลเข้ามาให้คะแนนคุณภาพร้านค้า และการแสดงลิงก์สู่บริการ Google Maps เพื่อเติมเต็มข้อมูลการเดินทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น
       
       รายงานระบุเพียงว่า คุณสมบัติการค้นหาสถานที่จะเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานในหลายพื้นที่ทั่วโลกใน ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นคือการรองรับท้องถิ่นมากกว่า 50 ล้านจุดใน 40 ภาษา

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz
บันทึกการเข้า

Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2010, 13:48:02 »

3G บุก "เอเวอเรสต์"



นักปีนเขาที่ต้องการท้าทายเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่าง เอเวอเรสต์ (Everest) จะสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย 3G ได้แล้วในขณะนี้ เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อพลพรรคนักไต่เขาที่จะสามารถเช็กสภาพอากาศและรับคำแนะ นำที่เป็นประโยชน์จากกูรูออนไลน์ได้อย่างทันท่วงที ทำให้การท้านรกบนยอดเขาเอเวอเรสต์มีความปลอดภัยมากขึ้นอีกระดับ
       
       บริษัทที่ลงทุนเครือข่าย 3G ในพื้นที่เทือกเขาเอเวอเรสต์คือบริษัทโทรคมนาคมในเนปาลนาม Ncell (บริษัทในเครือ TeliaSonera ของสวีเดน) ให้ข้อมูลว่าได้ ติดตั้งสถานีฐานเครือข่ายข้อมูลไร้สายเทคโนโลยี 3G จำนวน 8 จุดทั่วจุดพักในเทือกเขาเอเวอเรสต์ โดยจุดที่ตั้งสถานีฐานที่สูงที่สุดนั้นมีความสูงถึง 5,200 เมตร หรือประมาณ 17,000 ฟุต
       
       เป้าหมายสำคัญของ Ncell คือการใช้เครือข่ายข้อมูลความเร็วสูงเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายพันคน ที่เดินทางมายังเอเวอเรสต์ในแต่ละปี ซึ่งที่ผ่านมา นักไต่เขาจะมีโอกาสใช้งานเพียงโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม (satellite phone) ซึ่งสามารถส่งผ่านเพียงเสียงเท่านั้น ทำให้นักไต่เขาไม่สามารถใช้การสื่อสารเพื่อเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการเดิน ทางได้เท่าที่ควร
       
       แม้จะยังไม่ได้ดำเนินการทดสอบที่ชัดเจน แต่ Pasi Koistinen ประธาน Ncell ยืนยันว่าสถานีฐานทั้ง 8 จุดจะสามารถให้บริการเครือข่าย 3G ครอบคลุมจุดที่สูงที่สุดในเอเวอเรสต์ โดย นอกจากความปลอดภัย เครือข่าย 3G จะช่วยให้นักไต่เขาสามารถใกล้ชิดครอบครัวและกลุ่มผู้ร่วมเดินทางได้มากยิ่ง ขึ้น เพราะนักปีนเขาจะสามารถโทรศัพท์พร้อมภาพหรือวิดีโอคอลล์ได้อย่างเต็มอรรถรส
       
       3G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 3 ที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการเพียงระบบเสียงและข้อมูล เล็กน้อย มาเป็นยุคแห่งบริการมัลติมีเดียที่สามารถส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วย อัตราความเร็วที่สูงขึ้น เนื่องจาก 3G ได้รับการการันตีว่ามีช่องสัญญาณความถี่และความจุในการรับส่งข้อมูลที่ มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล เสียง และบริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบ ผู้ใช้จึงสามารถรับ-ส่งไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถประชุมทางไกลผ่านสมาร์ทโฟน ดาวน์โหลดเพลง รวมถึงชมภาพยนตร์ได้แบบไม่สะดุด
       
       การขยายบริการ 3G มาสู่เอเวอเรสต์ยังเป็นยุทธศาสตร์ในการกระตุ้นตลาดโทรคมฯเนปาลของ Ncell โดยที่ผ่านมา สถิติการใช้งานโทรศัพท์มือถือของชาวเนปาลมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของประชากรเนปาลเท่านั้น ซึ่งเมื่อคำนวณนักท่องเที่ยวของเอเวอเรสต์ที่มีจำนวนเฉลี่ยมากกว่า 3,000 คนต่อปี ก็ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับ Ncell
       
       สำหรับเอเวอเรสต์ เทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกมีจุดสูงสุดที่ระดับ 8,848 เมตร ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกสำเร็จในโลกคือ Edmund Hillary ในปี 1953 ซึ่งในขณะนั้นการสื่อสารยังทำได้เพียงการส่งข้อความผ่านโทรเลข
       
       นอกจากเอเวอเรสต์ บริษัทแม่ของ Ncell อย่าง TeliaSonera ระบุว่าได้เตรียมงบประมาณมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,000 ล้านบาท) สำหรับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์มือถือในประเทศเนปาลช่วงปี 2011 เพื่อให้บริการแก่ประชาชนในเนปาลอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz
บันทึกการเข้า

Uzumaki Naruto
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 515
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,871



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2010, 14:35:28 »

เว็บไซต์จีนผุดข่าวลือ! ผลทดสอบ AMD Radeon HD 6970



chiphell.com เว็บไซต์สัญชาติจีนผุดผลทดสอบกราฟิกการ์ดค่ายแดง AMD Radeon HD 6970 ที่ยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายออกสู่สายตาสาธารณชน พร้อมคะแนนผลทดสอบที่เหนือชั้น NVIDIA GTX480
       
       หลังจาก AMD ปล่อยกราฟิกการ์ดในตระกูล Radeon HD 6800 Series ลงตลาดไปแล้วล่าสุดเว็บไซต์สัญชาติจีนนามว่า "chiphell.com" ได้ลงรายงานเกี่ยวกับผลทดสอบประสิทธิภาพกราฟิกการ์ดตัวใหม่จากค่ายน้ำแดง AMD อย่างไม่เป็นทางการว่า ตัวการ์ดจะใช้โค้ดเนมว่า Cayman XT และมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ AMD Radeon HD 6970
       
       แต่ทั้งนี้ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยทาง chiphell.com ยังไม่มีการเปิดเผยสเปกอย่างเป็นทางการ แต่จะมีเพียงการเปิดเผยคะแนนทดสอบที่ได้จากการรันโปรแกรม 3DMark Vantage ว่าจะอยู่ที่ 23,499 คะแนนในโหมด Performance และการทดสอบรันชุดคำสั่ง DirectX 11 ผ่านโปรแกรม Unigine Heaven จะทำคะแนนอยู่ที่ 33.6 เฟรมต่อวินาทีบนความละเอียดหน้าจอ 1,920x1,080pixels พร้อมเปิดคุณสมบัติลบรอยหยักที่ 4x และเปิดฟิลเตอร์ Anisotropic อยู่ที่ 16x
       


       ซึ่งถ้านำไปเทียบกับกราฟิกการ์ดคู่แข่งอย่าง NVIDIA GTX480 รุ่นมาตราฐานจะเห็นว่า GTX480 สามารถทำคะแนนในส่วนของ 3DMark Vantage อยู่แค่เพียง 21,106 คะแนน ในขณะที่โปรแกรม Unigine Heaven จะทำคะแนนอยู่ที่ประมาณ 29.5-30.7 เฟรมต่อวินาที โดยถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ การ์ด HD 6970 จะมีความแรงกว่า GTX480 อยู่ที่ประมาณ 10-20%
       
      อีกทั้งในส่วนของการบริโภคพลังงานตามการคาดการณ์ของสื่อต่างประเทศ หลายสำนัก คาดว่าตัวการ์ดจะบริโภคกำลังไฟอยู่ที่ประมาณ 225 วัตต์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าการ์ดรุ่นท็อปของคู่แข่งอย่าง NVIDIA GTX 480 ที่มีอัตราการบริโภคไฟอยู่ที่ 250 วัตต์

ขอบคุณที่มา: MGO Cyber Biz
บันทึกการเข้า

หน้า: [1] 2 3 ... 39   ขึ้นบน
พิมพ์