ผมอ่านมาทันความเห็นที่ 399 ครับทำให้ได้แง่คิดทางธรรมอย่างชัดเจนครับ เหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการดราม่าขึ้นคือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นคุยกับคนไร้
ประสบการณ์ในเรื่องเดียวกันหรคือมีประสบการณ์แต่น้อยกว่า แน่นอนครับคนมีประสบการณ์กับคนไร้ประสบการณ์ย่อมคุยกันไม่รู้เรื่องและไม่จบสิ้น ทาง
ออกของปัญหานี้คือให้เริ่มต้นใช้หลักปฏิจจสมุปบาทพิจารณาสิ่งที่กำลังทำอยู่ คือให้วิเคราะห์ว่าทำไปแล้วได้อะไร จากนั้นทำไปแล้วได้อะไรเป็นเรื่องที่ 2
จนกระทั่งระยะกลางตลอดจนระยะยาวได้อะไรมาในเบื้องปลาย ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าปฏิจจสมุปบาทสายเกิด ถ้าไม่ใช้หลักปฏิจจสมุปบาทจึงเท่า
กับผู้นั้นไม่มีความรู้ ดั่งปรากฏในคำสอนว่าด้วยเรื่องสัญโยชน์ 10 ว่า "ผู้ไม่มีปฏิจจสมุปบาทคือผู้มีอวิชชา" ปฏิจจสมุปบาทจะช่วยผู้ใดก็ตามที่มี
โดยเฉพาะปฏิจจสมุปบาทสายเกิดคือวิเคราะห์ความเป็นไปได้สืบต่อกันไปเป็นสาย ๆ ด้วยการทำให้เหตุปัจจัยค่อย ๆ เกิดขึ้นจึงเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
สายเกิด จะรู้ด้วยปัญญาว่าสิ่งนั้นควรทำหรือไม่ หากไม่วิเคราะห์แล้วสิ่งที่ว่าตนเองมีประสบการณ์แล้วเห็นว่าดีในเบื้องต้นตามที่คุณ piyapaes ว่ามา
อาจเป็นเพียงภาพลวงตาก็ได้ เพราะหากยังไม่ทันวิเคราะห์ในผลซึ่งจะเกิดตามมา อาจเป็นได้ว่าระยะต้นถึงต้นตอนกลางอาจจะดีแล้วไปสรุปแล้วบอก
คนอื่นว่าดีเพราะตนได้ผลดีนั้นมา แต่พอถึงระยะกลางจนถึงระยะยาวอาจจะไม่ดีก็ได้ ท้ายสุดจบลงตรงที่ไม่ได้อะไรจากการกระทำนั้นเลยซึ่งนั่นเท่ากับ
เสียเวลาเปล่า
หากไม่ใช้หลักธรรมข้อนี้มาพิจารณาแล้วพิจารณาผลได้อย่างถ่องแท้ กระทู้นี้อาจจะเป็นกระทู้ที่ยาวยืดไม่รู้จบเหมือนกระทุ้ธรรมะหรือเรื่องลี้ลับที่ผมไปโพสต์
ไปโพสต์ก็ได้ ที่จริงแล้วทุกฝ่ายที่เกิดขัดแย้งกันต้องใช้หลักปฏิจจสมุปบาทในการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะได้มาในระยะกลางถึงระยะปลายเสมอ ผมใช้คนอื่นไม่ใช้
ก็ไม่จบ เนื่องจากสิ่งที่ได้จากการฝึกการใช้หลักปฏิจจสมุปบาทคือฝึกให้เราฝึกคิดแล้วตัดสินใจว่าจะทำะไรหรือไม่ ยิ่งฝึกยิ่งชำนาญยิ่งชำนาญยิ่งรู้ด้วยปัญญามาก
ขึ้นว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ควรหรือไม่ควรเพราะอะไร ทำไม่ทำแล้วได้อะไรเป็นผล ถ้ามีทางเลฃือกทำมากกว่า 1 วิธีวิะีไหนทำแล้วมีผลดีมากกว่าผลเสีย
เมื่อหักล้างกันไปแล้วมากที่สุด ปฏฏิจจสมุปบาทอาจจะเป็นเรื่องยากหากไม่ได้รับการฝึก แต่ถ้าฝึกจนชำนาญแล้วจะกลายเป็นเรื่องง่้ายกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ปัญหาที่เกิดชึ้นจึงน่ามาจากเราทั้งหลายไม่ได้ใช้หลักปฏิจจสมุปบาทนำมาปฏิบัติ ผมขออธิบายแค่ปฏิจจสมุปบาทสายเกิดก่อนเดี๋ยวจะยาว เมื่อไม่น้อมนำมาปฏิบัติ
จึงเป็นการเชื้อเชิญความงมงายไร้วิชามาสู่ตนดังคำสอนที่ผมยกมาจากสัญโยชน์ 10 เพราะผู้ไม่มีปฏิจจสมุปบาทคือผู้ที่ไม่พิจารณาอะไรเลย ไม่พิจารณาคำสอน
ไม่พิจารณาสิ่งที่รู้มา รวมทั้งไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ถึงธุระกิจ club-asteria ด้วย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกะทุ้นี้รวมทั้งกระทู้ที่มีดรามากับผมย่อมมีสาเหตุมา
จากการไม่รู้จักใช้หลักปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
สาธุ ,,,,
อื้ม ผม พอจะเข้าใจแล้วละครับ ขอโทษละกันนะครับ
แต่ผมว่าถ้าเรา บางครั้งมนุษย์เราจะยึดถือปฏิบัติตามทุกอย่าง เป๊ะๆ เลย มันคงเป็นไปได้ยากอะครับ
สำหรับผม คนนึงนะครับ ที่ เข้าใจ แต่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตจริงๆได้ บางอย่างมันก็มีข้อยกเว้นอะครับ
อย่างเช่นผมรู้นะครับ ทานเนื้อสัตว์มันมีสารก่อมะเร็ง แล้วผมก็รู้นะครับ ว่า ถ้าสะสมไปนานๆแล้วมันก็จะเป็นมะเร็งได้
แต่ถามว่าทุกวันนี้ผมยังต้องทานเนื้อสัตว์อยู่ไหม ผมตอบได้เลยครับว่าผมก็ยังต้องทานอยู่ครับ
ทั้งๆที่รู้ว่าในอนาคตสารก่อมะเร็งจะเพิ่มมากขึ้นจนอาจเป็นมะเร็งได้ แต่ ผมก็ยังต้องทานเพื่ออะไรละครับ
ก็เพราะสิ่งที่ดี สารอาหารที่ดีมีประโยชน์ที่จำเป็นต่อร่างกายมันมีไงครับ นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ผมก็วิเคราะระยะกลางระยะยาวแล้วนะครับว่ากินมากๆ อาจเป็นมะเร็งได้
ขอยกตัวอย่างอีกสักอย่างนะครับ
ทุกวันนี้ ทุกคนใช้เงินในการดำรงชีวิต ไหมครับ ถ้าถามผม ผมตอบได้เลย ว่า ผมใช้เงินในการดำรงชีวิตครับ
แล้วเรามาวิเคราะห์ระยะกลางระยะยาวกันนะครับ
วันนึงผม ป่วย ผมก็ต้องนำเงินมารักษาตัว
วันนึงผมตาย ผมก็เอาเงินไปไม่ได้
แล้ว .........ทำไมทุกวันนี้ผมถึงยังต้องใช้เงินอยู่ละครับในเมื่อระยะยาว เงินมันก็ไม่อยู่กับผมนิ ก็เหมือนกับธุรกิจทุกอย่างแหละครับ ตัวClub นี่ก็เหมือนกันครับ ถึงตัวธุรกิจไม่ตาย ยังไง ตัวผมก็ต้องตายอยู่ดีครับ
นี่แหละครับคือเหตุผลที่บางครั้ง มนุษย์เราเข้าใจหลักธรรมคำสอน แต่ก็ยังไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ทุกข้อทุกอย่าง