ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comอื่นๆCafeรวมธรรมมะที่น่าสนใจ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 141   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รวมธรรมมะที่น่าสนใจ  (อ่าน 333839 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
natterwoods
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 47
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,397



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2010, 00:03:13 »

ขออ่านทีละคำสอน เป็นเรื่องๆ ไปนะครับ

เยอะมาก ค่อยๆ เคลียร์
 wanwan017 wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า

darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2010, 01:03:56 »

ท่าน darkknightza สึกหรือยังคะ
ขอแสดงความเสียใจเรื่องคุณย่าด้วยนะคะ
พอดีเราเพิ่งย้อนกลับไปดูกระทู้นั้นแล้วเพิ่งทราบค่ะ

ขอบคุณที่นำธรรมะมาฝากค่ะ
ยังเลยโยม เอ่อ หลังจากลอยอังคารย่าพ่อก็เสียตามไปเลย แต่ไม่เป็นไร เพราะมันเรื่องธรรมดา
คนเ้ราตายได้ทุกลมหายใจ
ขอฝากธรรมะที่สำคัญมากๆ
เรามีความแก่เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

เรามีความตายเป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย

เรามีกรรมเป็นของๆตน  เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

เรามีกรรมเป็นแดนเกิด  เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  เราทำกรรมอันใดไว้

เป็นกรรมดีก็ตาม  เป็นกรรมชั่วก็ตาม

เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ตุลาคม 2010, 01:07:54 โดย darkknightza » บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
ball772
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 7
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114



ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2010, 01:08:56 »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #43 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2010, 10:36:10 »

สติปัฏฐาน 4 และความเบิกบาน 4 แง่มุม

เพื่อให้เข้าใจง่ายและ เห็นภาพของจิตที่เข้าถึงแก่นของพระศาสนา เราลองตั้งมุมมองแบบรวบรัดกันทีเดียว คือคิดว่าจิตของพระอรหันต์ก็คือสภาวะหนึ่ง ถ้าบรรยายให้พออนุมานได้ ควรจะมีคุณสมบัติหรือภาพลักษณ์ประการใด

ก่อนจะอนุมานก็ต้องมีเกณฑ์ใน การอนุมาน เช่นสภาวะอันเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งสภาวะเหล่านี้พอจะทำความเข้าใจจากประสบการณ์แบบหยาบได้ในปุถุชนทั่วไป

แต่ หากจะทำความเข้าใจความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของพระอรหันต์ ก็ควรมีหลักเกณฑ์มาซ้อน มาซอยให้ละเอียดลออยิ่งขึ้นไป เกณฑ์นั้นน่าจะได้แก่ผลอันเกิดจากทางดำเนินเข้ามรรคเข้าผลเป็นข้อๆ คือทาน ศีล สมาธิ และปัญญา

ถ้าหากตกลงกันว่าจะอนุมานสภาพจิตอันสมบูรณ์แบบของพระอรหันต์ตามแนวนี้ ก็ควรกล่าวดังนี้

แง่ มุมแรก จิตนั้นควรมีความเปิดกว้าง ไม่ปิดแคบ ไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องด้วยพิษความเห็นแก่ตัว นอกจากเปิดกว้างแล้วควรมีคุณสมบัติคู่ขนานกัน คือความเยือกเย็นไม่รุ่มร้อนจากการผูกเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาทจองเวร อันนี้เข้าข่ายของความมีกระแสจิตไหลไปทางเดียวกับกระแสของทาน เรียกว่าทรัพยทานบ้าง อภัยทานบ้าง ธรรมทานบ้าง เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นทานจิตอยู่โดยปกติ แง่มุมที่สอง จิตนั้นควรมีความสะอาดผ่องใส ไม่สกปรกรุงรังด้วยความคิดอันเป็นอกุศลประการต่างๆ ไม่มีความอยากทำร้ายใคร อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากฆ่า ไม่มีความโลภอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสมบัติ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักขโมย ไม่มีความอยากในกามหลงเหลือ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากลักลอบเป็นชู้ ไม่มีความอยากพูดอย่างไร้ประโยชน์ อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากโป้ปดมดเท็จ ไม่มีความอยากบริโภคเกินจำเป็น อย่าต้องให้ถึงขั้นอยากกินเหล้าเมายา เห็นออกมาจากภายในว่าจิตตนเป็นศีลจิตอยู่โดยปกติ

แง่มุมที่สาม จิตนั้นควรมีความตั้งมั่น นิ่มนวล ไม่ซัดส่าย ไม่แข็งกระด้าง เพราะจิตขาดจากเหตุแห่งความเคลื่อน อันได้แก่กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดเสียแล้ว จิตจึงจับอยู่เฉพาะสภาวะที่รู้ได้ในปัจจุบัน หรือแม้จะต้องคิด ก็ไม่ติด ไม่หลงเตลิดไปเอาเงาในอดีตหรือภาพลวงในอนาคตมารบกวนคุณภาพจิตได้อีก

แง่ มุมสุดท้าย จิตนั้นควรมีสติสมบูรณ์ เบิกบาน เป็นอิสระเต็มที่ เพราะรู้เองโดยไม่ต้องพิจารณา รู้เองโดยไม่ต้องระวังจะหลงไปว่ามีสภาวะใดสภาวะหนึ่งเป็นตัวเป็นตน เป็นที่น่าคาดหวัง เป็นที่น่าพิศวาส แม้กระทั่งความหมายรู้หมายจำ ความรู้สึกนึกคิดและตัวของจิตเอง ยังแจ่มแจ้งแทงตลอดว่าเป็นอนัตตา จะยังมีภาวะใดให้ยึดมั่นถือมั่นได้อีก

ลองอนุมานตามมีตามเกิด ว่าถ้ารวมเอาทุกแง่มุมที่กล่าวมาข้างต้น มารวมไว้ในจิตของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งไม่เคลื่อนจากความเป็นเช่นนั้นเลย จะน่าปรารถนาและคู่ควรแก่การเพียรทำให้ถึงพร้อมหรือไม่

ขณะเดียวกัน เราก็สามารถใช้ความเบิกบานอันเป็นคุณสมบัติของจิตพระอรหันต์ในแต่ละข้อมา ตรวจสอบตนเองได้ด้วย ว่าเราเองใกล้ความจริงเข้าไปหรือยัง ทั้งในส่วนของความสามารถที่จะตั้งเจตนางดเว้นสิ่งที่เป็นโทษ และในส่วนของความสามารถที่จะตั้งสติรู้สิ่งที่เป็นอนัตตา

สรุป

ถ้า หากจะเริ่มต้นปฏิบัติธรรมกันด้วยการ ตั้งมุมมอง เราก็ควรมองให้เห็นว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน การปฏิบัติธรรมก็คล้ายการออกเดินทาง ถ้าเริ่มผิดทิศ ก็จะเสียแรง เสียเวลาเปล่า แต่ถ้าเริ่มถูกทิศ แม้ช้าเหมือนเต่าคลาน ก็ได้ชื่อว่าเขยิบเข้าใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปทุกที

ในการเดินทาง นั้น เราเห็นด้วยตาเปล่าว่าภูมิประเทศใกล้เคียงกับจุดหมายหรือยัง แต่ในการปฏิบัติธรรมเราต้องเห็นด้วยจิตซื่อว่ากิเลสคือโลภะ โทสะ และโมหะนั้น ลดลงบ้างหรือยัง
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
nay-banana
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 304



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #44 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2010, 11:39:23 »

ขออนุโมธนา สาธุ ด้วยครับ

ไม่ค่อยได้เห็นกระทู้ธรรมะใน TSB เท่าไร

ที่จริงหากจะเปิดห้อง ธรรมะ ด้วยก็น่าจะดีนะครับ
เผื่อจะได้สอนรุ่นหลัง ๆ ให้มีความมานะ พยายาม อดทน ฯลฯ

 Cry Cry Cry
บันทึกการเข้า

darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #45 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2010, 00:19:32 »

กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง


.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #46 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2010, 18:44:01 »

ธรรมสำหรับการครองเรือนในชีวิตของบุคคลทั่วไปได้แก่
๑.พูดจริงทำจริงและซื่อตรง (สัจจะ)
๒.ฝึกหัดแก้ไขปรับปรุง (ทมะ)
๓.อดทนตั้งใจและขยัน (ขันติ)
๔.เสียสละ (จาคะ)
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2010, 12:31:44 »

ทุกคนก็คงเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่า..
ความดี..คือ...ความอ่อนน้อมทางกาย...
ความดี..คือ...ความอ่อนหวานทาง...
ความดี..คือ...ความอ่อนโยนทางใจ...
ความดี..คือ...ความงดงามทั้งกาย วาจา และจิตใจ...
ความดี..คือ..คุณธรรมที่น้อมนำให้เราเป็นคนดี..(ความดีคู่กับคุณธรรม)..
ความดี..คือ..สภาพของความรู้สึกแสดงความปลาบปลื้มเป็นสุขให้กับผู้กระทำ..

ถ้าจะถามว่า..
ระหว่างความดีกับความชั่วอะไรจะทำได้ง่ายกว่ากัน Huh?

หลายต่อหลายเหตุผล...แล้วแต่เราจะตอบ..
แต่มีพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ว่า..
>>>…ความดี.....คนดี.......ทำได้ง่าย
>>>…ความดี.....คนชั่ว.....ทำได้ยาก
>>>…ความชั่ว...คนดี.......ทำได้ยาก
>>>…ความชั่ว...คนชั่ว.....ทำได้ง่าย
ดังนั้นเราก็พอจะวัดคุณภาพความดีของเราได้ว่า...
เราจัดอยู่ในความดีประเภทใด..

เพราะฉะนั้นเครื่องวัดคุณธรรม คือ ความดีของเรา..
สามารถวัดได้จาก....เกรดแห่งคุณธรรม ๔ ระดับ คือ....
>>>…เกรด D เป็นการทำความดีเพื่อตนเอง..
+ + + ……....ไม่สนใจผู้อื่นว่าจะเป็นอย่างไร..
+ + + ……....คิดเห็นแต่ประโยชน์ตนเป็นหลัก..
>>>….................เป็นความดีระดับเบื้องต้น..คือ...(ดี)....ธรรมดา..

>>>…เกรด C เป็นการทำความดีเพื่อผู้อื่น
+ + + ……...โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ตนเองเลยสักนิด..
+ + + ……....แต่สนใจและคำนึงถึงการทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา..
>>>…................เป็นความดีระดับปานกลาง..คือ...(ดีมาก).....

>>>…เกรด B เป็นการทำความดีเพื่อตนเองและผู้อื่น
+ + + ……...ประเภทนี้ก็ถือว่า..ยกระดับความดีควบคู่กัน คือ..
+ + + ……...ทำดีเพื่อตนแล้ว ยังทำเพื่อคนอื่น รวมถึงสังคมด้วย..
>>>…................เป็นความดีระดับสูง..คือ...(ดีที่สุด).....

>>>…เกรด A เป็นการทำความดีที่ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น..
+ + + ……....เมื่อมีโอกาสก็ทำทันที ไม่ต้องเดี๋ยว ไม่ต้องรอ
+ + + ……....ถ้าเป็นเรื่องดี....คิดแล้วทันที...
+ + + ……....ถ้าเป็นเรื่องไม่ดี...ต้องคิดแล้วคิดอีก..คิดเป็นร้อยครั้ง...พันครั้ง..
+ + + ……....จนลืมไปเลยว่า..เราคิดเรื่องไม่ดี...(ลืมความชั่ว..ทำแต่ดี..มีคุณจริง)...
>>>…................เป็นความดีระดับดีที่สูงกว่าที่สุด...จนหาประมาณมิได้..
>>>…................(ดีแท้แน่นอน..ประเสริฐสุด..สุดยอด)...และไม่หยุดทำความดี..ทำดีตลอดเวลา..

เพราะฉะนั้น...
การที่เราวัดใครเป็นคนดี...มีคุณธรรม..
ก็วัดได้จาก ๔ เกรดดังที่กล่าวแล้ว...
เกรด ( ( A ) )…ดีที่สุดกว่าที่สุด...จนหาประมาณมิได้...ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
เกรด ( ( B ) )…ดีที่สุด...ทำเพื่อประโยชน์ของตน ของผู้อื่น และสังคม..
เกรด ( ( C ) )…ดีปานกลาง....ทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเป็นหลัก..
เกรด ( ( D ) )…ดีธรรมดา...เพราะทำเพื่อประโยชน์ตนโดยส่วนเดียว...

ดังบทกลอนที่ว่า...
อยากได้ดี ไม่ทำดี นั่นมีมาก
ดีแต่อยาก ไม่ยอมทำ น่าขำหนอ
อยากได้ดี ไม่ทำดี มีแต่รอ
ดีแต่ขอ รอแต่ดี เดี๋ยวค่อยทำ
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
TakeAction
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 67
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 688



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #48 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2010, 13:40:59 »

โยนิโสมนะสิการ
 wanwan007
บันทึกการเข้า
koblee
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 41
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 223



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2010, 14:28:01 »

มีประโยชน์มากครับ  wanwan017
บันทึกการเข้า

darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 01:02:41 »

อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา
อย่าเสาวนาคนชั่ว อย่ามั่วอบายมุข
อย่าสุกก่อนห่าม อย่าพล่ามก่อนทำ
อย่ารำก่อนเพลง อย่าข่มเหงผู้น้อย
อย่าคอยแต่ประจบ อย่าคบแต่เศรษฐี
อย่าดีแต่ตัว อย่าชั่วแต่คนอื่น
อย่าฝืนกฏระเบียบ อย่าเอาเปรียบสังคม
อย่าชื่นชมคนผิด อย่าคิดเอาแต่ได้
อย่าใส่ร้ายคนดี อย่ากล่าววจีมุสา
อย่านินทาพระเจ้า อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์
อย่าสุขจนลืมตัว อย่าเกรงกลัวงานหนัก
อย่าพิทักษ์พาลชน อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #51 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 10:10:12 »

รู้จักสงบนิ่งบ้าง....
แล้วจะเห็น..ความเคลื่อนไหว...ภายในใจ

อย่าใส่ใจ...กับคำพูด...ที่ไร้สาระ
ของคนที่พูดอะไรโดยไม่คิด..แบบโง่ ๆ..

มีปากเอาไว้กินข้าว..
ดีกว่าพูด..กล่าวร้าย..นินทาผู้อื่น..
ทำให้เราเจ็บปวดหัวใจ...
สู้ยอมทำตนเป็นใบ้...ดีกว่า..ทำร้ายจิตใจผู้อื่น...

คนโง่..ก็พูดโง่ ๆ ไร้สาระ..ไม่เกิดประโยชน์...
คนฉลาด..เขาจะรู้จักเงียบ..คิดทบทวน..ก่อนพูด..

กวีบทเดียว...สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเราได้ทั้งชีวิต
แต่คำพูด คำเดียว..สามารถทำให้คนเป็นอาชญากรทำผิดได้..ชั่วชีวิต

ไม่มีอะไรที่จะบั่นทอน..ความตั้งใจ...ได้ดี
เท่ากับ..คำพูดของคนโง่...
บัณฑิตอย่าพึงใส่ใจ..ของคำพูดชั่ว ๆ ของคนพาล

ไม่รู้หรือว่า...
เขาเดือนร้อน..เพราะตัวเรา..(อย่าทำเป็นอันขาด)

จงคิดเสมอว่า...
คนที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน...ขออย่าเป็นเรา..

ข้อคิดสุนทรภู่..
อันอ้อยตาลหวานลิ้น..แล้วสิ้นซาก..
แต่ลมปาก...หวานหู..ไม่รู้หาย..(ช๊อบ..ชอบ)
เพราะฉะนั้น..ขอให้ทำดี พูดดี คิดดี ทุกที่ทุกเวลา..
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
pongsak01
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 291
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,544



ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 10:16:01 »

อ่านแล้วกินใจครับ
บันทึกการเข้า

vemede
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 93
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 694



ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 10:40:52 »

สำนึกถึงวันเกิด

   “งานวันเกิด”       ยิ่งใหญ่         ใครคนนั้น
ฉลองกัน         ในกลุ่ม         ผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศ         สรรเสริญ         เพลินทะนง
วันเกิดส่ง         ชีพสั้น         เร่งวันตาย
   อีกมุมหนึ่ง   ซึ่งเหงา         น่าเศร้าแท้
หญิงแก่แก่         นั่งหงอย         และคอยหาย
โอ้วันนั้น         เป็นวัน         อันตราย
แม่คลอดสาย      โลหิต            แทบปลิดชนม์
   วันเกิดลูก              เกือบคล้าย         วันตายแม่
เจ็บท้องแท้         เท่าไหร่         มิได้บ่น
กว่าอุ้มท้อง         กว่าจะคลอด      รอดเป็นคน
เติบโตจน         บัดนี้            นี่เพราะใคร
   แม่เจ็บเจียน      ขาดใจ         ในวันนั้น
กลับเป็นวัน         ลูกฉลอง         กันผ่องใส
ได้ชีวิต         แล้วก็หลง         ระเริงใจ
ลืมผู้ให้         ชีวิต            อนิจจา
   ไฉนจึง         เรียกกัน         ว่า “วันเกิด”
วันผู้ให้         กำเนิด         จะถูกกว่า
คำอวยพร         ที่เขียน         ควรเปลี่ยนมา
ให้มารดา         คุณเป็นสุข         จึงถูกแท้
   เลิกจัดงาน      วันเกิด         กันเถิดนะ
ควรที่จะ          คุกเข่า         กราบเท้าแม่
ระลึกถึง         พระคุณ         อบอุ่นแด
อย่ามัวแต่         จัดงาน         ประจานตัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ตุลาคม 2010, 11:03:49 โดย vemede » บันทึกการเข้า

darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #54 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 21:06:57 »

สำหรับคนทั่วไปไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความตาย
เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น
หากยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด
ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป
ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคน
รองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ
แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือเราทุกคนต้องตาย
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
thammaonline
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #55 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 21:11:16 »

พระองคุลีมาล  (มาลัยแห่งนิ้วมือ)

ตัวเอยตัวเรา   ก่อนเก่าชื่อจริงอหิงสกะ
ผู้ไม่เบียดเบียนใครแต่ไม่ละ  การเข่นฆ่าปานะเพราะใจพาล
จึงไม่สมกับนามตามที่ตั้ง  แต่บัดนี้สมดังนามขนาน
เพราะเราเว้นเข่นฆ่าสัตว์สาธาร  ไม่เบียดพลาญใคร ๆ ทั่วไปเอย

ตัวเอยตัวเราก่อนเก่านั้นเคยเป็นโจรป่า   
องคุลีมาลย์สมัญญา  มีนิ้วมือชาวประชาเป็นมาลัย
ถูกห้วงน้ำห้วงใหญ่พัดไปอยู่  คือพรั่งพรูด้วยกิเลสอนุสัย
ได้พระพุทธองค์ทรงชัย   เป็นฉัตรใหญ่ร่มเกล้าของเราเอย

มือเอยมือฉัน เคยกระสันศาสตราเที่ยวฆ่าเข่น
หลั่งเลือดเหม็นคาวทุกเช้าเย็น  ด้วยเห็นวิปริตผิดไป
บัดนี้มือคาวเราล้างแล้ว  ผ่องแผ้วเพราะได้อาศัย
คุณพระพุทธองค์ทรงชัย  ถอนตัณหาเสียได้หมดสิ้นเอย

ผลเอยผลกรรมที่เราได้ทำไว้หนักหนา 
มาสนองปัจจุบันเห็นทันตา  ต้องถูกขว้างป้าแทบบรรลัย 
เจ็บปวดรวดเร็วทุกขุมขน  จำทนอดกลั้นไม่หวั่นไหว 
บัดนี้หมดหนี้ได้เป็นไทย  บริโภคอย่างไม่เป็นทาสเอย

คนเอยคนเขลา มัวเมาประมาทมิมีสร่าง
บัณฑิตบรรเทามัวเมาจาง  ดำเนินทางอัปมาทไม่ขาดตอน
รักษาไว้ให้เหมือนทรัพย์ประเสริฐ  ไม่ละเมิดสัทธรรมคำสั่งสอน
จงนำตนดลสุขสถาพร  ดั่งบัณฑิตผู้รอนประมาทเอย

อย่าเอยอย่าประกอบความชอบชื่นใจในประมาท
อย่าคลุกคลีหลงใหลในรสชาติ แห่งกามซึ่งมีทาสความลวง
ผู้ไม่ประมาทเพ่งพินิจ  ย่อมประสพสุขกิจอันใหญ่หลวง
ได้รู้แจ้งเห็นจริงสิ่งทั้งปวง ไม่หลงสิ่งล่อลวงต่อไปเอย

การเอยการมาสู่พระศาสนาของข้าเจ้า
เป็นการมาที่ดีไม่เบา ไม่เปล่าประโยชน์โสตถิคุณ
การตัดสินใจในครั้งนี้   เป็นกุศลราศีประเสริฐศุภ
สิ่งที่ได้ทั้งผองคือกองบุญ   ที่อดุลย์เด่นนั้นนิพพานเอย
บันทึกการเข้า

ratchanon
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 37
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 396



ดูรายละเอียด
« ตอบ #56 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2010, 21:13:02 »

 wanwan017 wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า
darkknightza
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 167
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,245



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2010, 17:41:55 »

เมื่อ เราขึ้นรถหรือลงเรือ และนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เราพลิกมือขึ้นพลิกมือลง เราเคลื่อนมือ เหยียดมือ หรือคลึงนิ้วมือ กะพริบตา หายใจกลืนน้ำลาย และอื่นๆ ให้รู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวเหล่านี้ มันเป็นวิธีที่เรียกความรู้สึกให้กลับมาที่ตัวของเรา เอง เมื่อความคิดเกิดขึ้นให้รู้ถึงความคิดนั้นและปล่อยวา ง

วิธีของการเจริญสติเมื่อเราอยู่บ้าน
เรา อาจจะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งบนเก้าอี้ หรือนั่งเหยียดขา เราอาจจะยืนหรือนอนสร้างจังหวะได้เช่นเดียวกัน เมื่อเราเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมาระยะประมาณ ๘ - ๑๒ ก้าว) เราต้องไม่แกว่งแขน เราอาจกอดอกหรือเอามือประสานไว้ข้างหน้า หรือประสานไว้ข้างหลังก็ได้ วิธีปฏิบัติในท่านั่งมีดังนี้

ภาค ๑ : อารมณ์สมมุติ
ต้อง รู้ รูป-นาม (ร่างกาย-จิตใจ) ต้องรู้ รูปทำ-นามทำ ต้องรู้รูปโรค-นามโรค รูป-โรค-นามโรคมีสองชนิด โรคในทางร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีบาดแผล เราต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โรคทางจิตใจ คือ โทสะ โมหะ โลภะ (ความโกรธ, ความหลง, ความโลภ) ในการแก้ไขเราต้องใช้วิธีของการ

เจริญสตินี้
ต่อ ไปต้องรู้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา (ทนไม่ได้, ไม่เที่ยง, บังคับควบคุมไม่ได้) แล้วต้องรู้ สมมุติ (สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน) ไม่ว่าสมมุติ อะไรในโลกรู้ให้ถึงที่สุด

แล้วต้องรู้ ศาสนา ("คำสอน") ต้องรู้ พุทธศาสนา ("คำสอนของพระพุทธเจ้า") ศาสนาคือคนทุกคนไม่ยกเว้น ศาสนาหมายถึงคำสอนของท่านผู้รู้ รู้พุทธศาสนา พุทธะหมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรมซึ่งได้แก่ สติ สมาธิ ปัญญา (การรู้ตัว, การตั้งใจ, การรู้) ดังนั้นเราจึงเจริญปัญญา

แล้ว ต้องรู้ บาป ("ความชั่ว, ความมัวหมอง") ต้องรู้ บุญ ("ความดี, คุณงามความดี") บาปคือความมืด ความโง่ การไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นอย่างไรบุญคือความฉลาด การรู้ การรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ใครก็ตามที่ไม่รู้เรียกว่าเป็นผู้ยังไม่มีบุญ

จบ ภาคที่ ๑ จะเกิดอุปสรรคขึ้นที่จุดนี้ เพราะว่าเรายึดติดในความรู้ของวิปัสสนุ วิปัสสนุ (เครื่องเศร้าหมองของความรู้ภายใน คือเมื่อเรารู้ออกนอกตัวของเราไม่สิ้นสุด เราจะต้องถอนตัวออกมา เราจะต้องไม่เข้าไปในความคิด

ภาค ๒ : อารมณ์ปรมัตถ์
ใช้ สติดูความคิด เมื่อความคิดเกิด รู้มัน เห็นมัน เข้าใจมัน สัมผัสมัน ทันทีที่ความคิดเกิด ตัดมันทิ้งไปทันที ทำเหมือนแมวตะครุบหนู หรือเหมือนนักมวยที่ขึ้นเวทีต้องชกทันที เขาไม่จำเป็นต้องไหว้ครู ไม่ว่แพ้หรือชนะนักมวยต้องชก เราไม่ต้องคอยใครหรือเหมือนกับการขุดบ่อน้ำ เมื่อเราค้นพบน้ำ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตักโคลน ตักเลนออก ตักน้ำออกจนหมดน้ำเก่าเอาออกให้หมด บัดนี้น้ำใหม่จากภายในจะไหลออกมา เราจะต้องกวนที่ปากบ่อ ล้างปากบ่อ ล้างโคลน ล้างเลนออกให้หมด ทำมันบ่อยๆ น้ำจะใสสะอาดโดยตัวของมันเอง เมื่อน้ำใสสะอาดมีอะไรตกลงไปในบ่อ เราจะรู้เห็นและเข้าใจทันที การตัดความคิดก็เช่นเดียวกัน ยิ่งเราตัดเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

แล้วให้เราเห็น วัตถุ (สิ่งที่มีอยู่) เห็น ปรมัตถ์ (สิ่งที่กำลังมีอยู่เป็นอยู่ สัมผัสอยู่) เห็น อาการ (การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่กำลังมีอยู่) วัตถุหมายถึงของที่มีอยู่ในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคนและจิตใจของคนและสัตว์ปรมัตถ์ หมายถึงของที่มีอยู่จริง เรากำลังเห็นกำลังมีกำลังเป็นเดี๋ยวนี้ต่อหน้าต่อตาข องเรา สัมผัสกได้ด้วยจิตใจ อาการ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง สมมุติเรามีสีย้อมผ้าอยู่เต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเรานำมาย้อมผ้ามันจะติดเนื้อผ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเรารู้ เราเห็น เราสามารถสัมผัสด้วยจิตใจ สียังเต็มกระป๋องเหมือนเดิม แต่คุณภาพได้เสื่อมไปแล้ว นำมันไปย้อมผ้ามันจะไม่ติดเนื้อผ้า สิ่งที่เราต้องเห็นจริงๆ ต้องรู้จริงๆ แล้วเห็น โทสะ โมหะ โลภะ แล้วให้เราเห็น เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ (การรู้สึก-การจำได้-การปรุงแต่ง-การรับรู้) เห็นมัน รู้มัน และสัมผัสมัน เข้าใจสิ่งนี้จริงๆเราไม่ต้องสงสัย

บัดนี้ จะเกิด ปีติ (ความยินดี) ขึ้นเล็กน้อย แต่ปีติเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติในชั้นสูง เราไม่ต้องสนใจกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิด นี้คือจุดเริ่มต้นของอารมณ์ปรมัตถ์ของการเจริญสติแบบ นี้ของผู้มีปัญญา ดูความคิดต่อไป จะเกิดความรู้หรือ ญาณ หรือ ญาณปัญญา(ความรู้ของการรู้) ขึ้น

เห็น รู้ และเข้าใจ กิเลส (ยางเหนียว) ตัณหา (ติด, หนักอุปาทาน (ไปยึดไปถือ) และ กรรม (การกระทำหรือการเสวยผล) ดังนั้นความยึดมั่นถือมั่นจะจืดลง จะหลุดตัวออก จะจางหายไป เหมือนดังสีที่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว ไม่สามารถจะย้อมติดผ้าได้อีก จะเกิดปีติขึ้นอีก เราต้องไม่สนใจในปีตินั้น ถอนความพอใจและความไม่พอใจออกเสีย ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่ จะเกิดญาณชนิดหนึ่งขึ้นเห็น รู้ และเข้าใจ ศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ หรือ อธิศีลสิกขา(ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัด อบรมในทางความประพฤติอย่างสูงๆ") อธิจิตตสิกขา ("ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมในทางจิตเพื่อให้เกิดสมาธ ิอย่างสูง")อธิปัญญา สิกขา ("ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมในทางจิต เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูงในทางหลุดพ้นหรือถอน ราก") ขันธ์ หมายถึง รองรับหรือต่อสู้สิกขา หมายถึง บดให้ละเอียดหรือถลุงให้หมดไป

ดัง นั้น ศีล (ความเป็นปกติ) เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างหยาบ คือ โทสะ โมหะ โลภะ ตัณหา อุปาทาน กรรม เมื่อสิ่งเหล่านี้จืดลง จางลง และคลายลง ศีลจึงปรากฏ

สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างกลาง คือ ความสงบ เห็น รู้ และเข้าใจ กามาสวะ (อาสวะ คือ "ความใคร่ ความอยาก") ภวาสวะ (อาสวะ คือ "ความเป็น") และ อวิชชาสวะ ("อาสวะคือ การไม่รู้") เพราะกิเลสนี้เป็นกิเลสอย่างกลางซึ่งทำให้จิตใจสงบ

นี้คืออารมณ์ หนึ่งของการเจริญสติวิธีนี้ เมื่อเรารู้และเห็นอย่างนี้ เราจะรู้ ทาน ("การ-ให้") การรักษาศีลและกระทำกรรมฐาน ("การภาวนา")ทุกแง่ทุกมุม แล้ว ญาณปัญญา จะเกิดขึ้นในจิตใจ ฯลฯ

จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธี นี้ มันจะเป็นอย่างมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งมีอยู่ ในจิตใจของคนทุกคนไม่ยก เว้น ถ้าเรายังคงไม่รู้เดี๋ยวนี้ เมื่อใกล้จะหมดลมหายใจ เราต้องรู้อย่างแน่นอนที่สุด ผู้ที่เจริญสติ เจริญปัญญามีญาณจะรู้ ส่วนผู้ที่ไม่เคยเจริญสติ เจริญปัญญา เมื่อใกล้จะหมดลมหายใจมันจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่เขาไม่รู้ เพราะว่าเขาไม่มีญาณรู้อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงการจำหรือการรู้จัก รู้ด้วยญาณปัญญาของการเจริญสติที่แท้ สามารถรับรองตัวเองได้ กล่าวกันว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมเกิดขึ้น ให้ระมัดระวังความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ให้รู้สึกตัวของเธอเองอย่าได้ยึดติดในความสุขหรือสิ่ งใดๆ ที่เกิดขึ้น ความสุขก็ไม่เอา ความทุกข์ก็ไม่เอา เพียงกลับมาทบทวนอารมณ์บ่อยๆ จากรูป-นาม จนจบทีละขั้นๆและรู้ว่าอารมณ์มีขั้นมีตอน
แน่นอนทีเดียว ถ้าเธอเจริญสติอย่างถูกต้อง การปฏิบัติอย่างนานที่สุดไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี และอย่างเร็วที่สุด ๑ วัน ถึง ๙๐วัน เราไม่จำต้องพูดถึงผลของการปฏิบัตินี้ ความทุกข์ไม่มีจริงๆ

มีการ ปฏิบัติกรรมฐานต่างๆ อยู่หลายวิธี ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติวิธีต่างๆมาเป็นอันมาก แต่วิธีเหล่านั้นไม่นำไปสู่ปัญญา บัดนี้วิธีที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นี้คือวิธีที่นำไปส ู่ปัญญาโดยตรง ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ถ้าเขารู้วิธีการอย่างถูกต้อง เมื่อปัญญาเกิดขั้นเขาจะรู้ เห็น และเข้าใจด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นวิธีของการพลิกมือขึ้นและลงนี้ คือวิธีสร้างสติ เจริญปัญญา เมื่อมีการปฏิบัติอย่างทั่วถึงโดยตลอดแล้ว มันก็จะสมบูรณ์และเป็นไปเอง

ทุก คนสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ยกเว้น ไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไร ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาไหน เขาสามารถปฏิบัติได้ทุกคนมีร่างกายและจิตใจ ร่างกายคือวัตถุที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตา เราอาจเรียกมันว่ารูป แต่จิตใจเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา เราไม่สามารถสัมผัสด้วยมือเราอาจเรียกมันว่า นาม ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อเราสร้างสติ เจริญสติ ปัญญาจะเกิดขึ้นและรู้ด้วยตัวของมันเองเพียงแต่ให้สิ ่งที่มีอยู่แล้วได้เติบ โตงอกงามขึ้น สิ่งที่ไม่เป็นจริงเราไม่ต้องทำมันขึ้นมา เมื่อเรารู้รูป-นาม เรารู้ทุกสิ่งและเราสามารถแก้ทุกข์ได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่น เราจะไม่ยึดติดใจสมมุติ เมื่อรู้สิ่งนั้นแล้ว เราปฏิบัติความรู้สึกตัวให้มากขึ้นเคลื่อนไหวมือดังท ี่ข้าพเจ้าแนะนำเธอ บัดนี้ทำให้เร็วขึ้น ความคิดเป็นสิ่งที่เร็วที่สุด มันเร็วยิ่งกว่ากระแสไฟฟ้า

เมื่อสติปัญญาเพิ่มขึ้น มันจะรู้ เห็นและเข้าใจโทสะ โมหะ โลภะเมื่อเรารู้มัน ทุกข์ในจิตใจจะลดลง คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดและคิดว่า โทสะ โลภะและโมหะ เป็นสิ่งปกติ แต่ผู้รู้กล่าวว่า โทสะ โมหะ โลภะ เป็นทุกข์ เป็นของน่าเกลียดสกปรก ดังนั้นเขาจะไม่ให้สิ่งนั้นมาเข้าใกล้นี้เรียกว่า การรู้ชีวิตจิตใจของตนเองซึ่งมีความสะอาด สว่างและสงบ เมื่อเรารู้จุดนี้ มันจะเกิดศักยภาพอันยิ่งใหญ่เหมือนดังลำธารสายเล็กๆ ไหลลงกลายเป็น แม่น้ำใหญ่

ดังนั้น วิธีของการปฏิบัติคือ มีความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ รู้อิริยาบถของร่างกาย และการเคลื่อนไหวเล็กๆ เช่น กะพริบตา เหลียวซ้ายแลขวาหายใจเข้าและหายใจออก การเคลื่อนไหวทั้งหมดเหล่านี้สามารถเห็นได้ด้วยตาแต่ เราไม่อาจเห็นความคิด ด้วยตาได้ เราเพียงสามารถรู้และเห็นด้วยสมาธิ สติปัญญา สมาธิที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงอยู่นี้ มิใช่การนั่งหลับตา สมาธิ หมายถึงการตั้งจิตใจเพื่อให้รู้สึกถึงตัวของเราเอง เมื่อเรามีความรู้สึกตัว อย่างต่อเนื่องนี้เรียกว่าสมาธิ หรืออาจเรียกว่าสติ เมื่อจิตใจคิดเราจะรู้ความคิดทันที และความคิดจะสั้นเข้าๆ เหมือนดังบวกกับลบ ถ้าหากจะพูดก็มีเรื่องจะต้องพูดอีกมาก แต่ข้าพเจ้าประสงค์ให้พวกเธอทั้งหมดปฏิบัติการเคลื่อ นไหว ปฏิบัติด้วยตัวของเธอเองโดยวิธีของการเคลื่อนไหว ผลจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง

การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี้ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
บันทึกการเข้า

หาเงินวันละ350บาท มั่นคง จ่ายมาสิบปีแล้ว
หารายได้กับ popup เจ้านี้ เรทแรงคลิ๊ก
Hosting อันดับ 1 คุณภาพสูง ราคาถูก จัดเลย
โดเมนเนมสวยๆ ราคาถูก จดกับเราสิที่นี่
thammaonline
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 24
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2010, 21:15:24 »

ธรรมมีอุปการะมาก

หลักธรรมที่ควบคุมไม่ให้บุคคลทำผิดพลาด ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ควบคุมอารมณ์ไม่ให้วู่วาม รู้จักคิด ไม่ปล่อยความนึกคิดไปตามความรู้สึกที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ คอยเหนี่ยวรั้งใจให้ทำ พูด หรือคิดในสิ่งที่ดี เหมือนบิดามารดาคอยห้ามบุตรธิดาไม่ให้ทำความชั่ว แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เกื้อกูลอุดหนุนในการทำความดีทุกอย่างให้มั่นคงดียิ่งขึ้น

หลักธรรมดังกล่าวมานี้ มี 2 ประการ คือ 1. สติ 2. สัมปชัญญะ

สติ หมายถึง ความระลึกได้ ก่อนจะทำ พูด หรือคิด คืออาการของจิตที่นึกขึ้นได้ว่าจะทำ จะพูดอย่างไรจึงจะถูกต้อง มีหน้าที่กระตุ้นเตือนคนเราให้ทำ พูด หรือคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่หลงลืมตัว โดยใช้ดุลพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจึงปฏิบัติ หรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา

กล่าวคือความไม่ประมาทปล่อยจิตนึกคิดไปตามอารมณ์ที่ปรารถนา

“สติ” เป็นธรรมควบคุมเหนี่ยวรั้งจิตใจให้คิดดี ทำดี หรือพูดดี เพราะธรรมชาติของจิตมีการนึกคิดตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดสติกำกับ เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ อย่างไร้ทิศทาง แต่ถ้ามีสติกำกับแล้วจะทำให้ไม่ประมาทหรือพลั้งเผลอคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่ว เพราะสติจะทำหน้าที่คอยควบคุมรักษาสภาพจิตใจให้อยู่ในภาวะที่ต้องการ โดยการตรวจตราความคิดเลือกรับแต่สิ่งที่ดีงาม กีดกันสิ่งที่ไม่ดีซึ่งตรงกันข้าม ตรึงกระแสความคิดให้เข้าที่ ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย

ในการเรียนหนังสือ ถ้านักเรียนควบคุมจิตใจให้มีสติมั่นคง สนใจในวิชาที่เรียน ขยันทบทวนสิ่งที่ได้เรียนมาแล้ว ไม่ปล่อยจิตฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่นๆ สำรวมจิตให้จรดนิ่งสงบตั้งมั่นในอารมณ์เดียวไปตามลำดับ ไม่วอกแวก จะช่วยจำบทเรียนได้ดีกว่าคนที่ฟุ้งซ่าน

นักเรียนที่มีผลการเรียนดีจึงมีพื้นฐานมาจากการฝึกสตินี้เอง

ในหน้าที่การงาน คนที่มีสติสามารถทำงานได้ผลดียิ่ง มีความผิดพลาดน้อย หรืออาจจะไม่มีข้อผิดพลาด หากขาดสติงานต้องผิดพลาดอยู่ร่ำไป ทำให้งานล่าช้า เสร็จไม่ทันตามกำหนด ไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้

ในการทำความดี ผู้มีสติสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เว้นจากการทำความชั่วทุกอย่าง กระทำแต่ความดี และทำจิตให้ผ่องแผ้วจากกิเลสทั้งปวง สติเป็นหลักธรรมที่มีอุปการะมาก พัฒนาจิตพิจารณารู้เท่าทันสภาพที่แท้จริง ทำให้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข เมื่อเจริญสติให้มากยิ่งขึ้นสามารถบรรลุมรรค ผล และนิพพานได้ในที่สุด

ความรู้ตัวในขณะที่กำลังทำ กำลังพูด หรือกำลังคิดอยู่ เป็นอาการของจิตที่รู้จักแยกแยะสิ่งที่ตนกำลังทำ พูด คิดอยู่นั้นว่าเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ เหมาะกับตนหรือไม่ เป็นความสุขหรือทุกข์ และเป็นความดีหรือชั่วหรือไม่อย่างไร ความรู้ชัด ความรู้ตัว เป็นลักษณะแห่งความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานี้ เรียกว่า “สัมปชัญญะ”

“สัมปชัญญะ” เป็นธรรมที่ปฏิบัติคู่กับสติ แยกกันไม่ออก กล่าวคือสติเป็นเครื่องระลึกควบคุมยับยั้งจิตมิให้คิด พูด หรือทำชั่ว ส่วนสัมปชัญญะจะทำหน้าที่กำหนดรู้ในเวลาคิด พูด หรือทำอยู่ ดังนั้น จึงเรียกว่า สติสัมปชัญญะ

สติ ระลึกได้ทั้งในเรื่องอดีต อนาคต และปัจจุบัน ต้องใช้ในเวลาก่อนคิด พูด และทำ...สัมปชัญญะ รู้ตัวในปัจจุบัน ต้องใช้ในขณะที่กำลังคิด พูด และทำอยู่

สติและสัมปชัญญะนี้จัดเป็นกุศลธรรมที่คู่กันเสมอ จะแยกจากกันมิได้ เมื่อมีสติต้องมีสัมปชัญญะ สติเปรียบเหมือนดวงไฟ ส่วนสัมปชัญญะเปรียบเหมือนแสงสว่างของดวงไฟ

การทำหน้าที่ คนเราจำต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ คือควรเจริญให้เกิดมีขึ้นในตนตลอดเวลา ทั้งในขณะจะทำ พูด หรือคิด เพราะสติสัมปชัญญะจะคอยคุมรักษาจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่ในทางที่ดีมีประโยชน์ ไม่ให้ความชั่วร้ายเข้าครอบงำจิตได้ ดังนั้น สติสัมปชัญญะจึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง

“สติสัมปชัญญะ” มีอุปการะมากแก่คนเรา โดยเป็นธรรมควบคุมเส้นทางดำเนินชีวิตไม่ให้พลั้งเผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควร ท่านเปรียบเหมือนหางเสือ ที่คอยกำหนดทิศทางไม่ให้เรือแล่นไปเกยตื้น เป็นเครื่องปลุกเร้าให้บุคคลมีเหตุผล รู้จักไตร่ตรองด้วยปัญญา และสนับสนุนธรรมคือการรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล

พฤติกรรมของผู้มีสติสัมปชัญญะจะแสดงออกมาในลักษณะที่พิจารณาด้วยปัญญาแล้วบริโภคอาหาร รู้จักประมาณ รู้จักคุณโทษของอาหารที่จะบริโภค ไม่เผลอสติในการทำงาน มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการทำกิจ เป็นต้น

ผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมมีความสำนึกรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่อย่างไร เมื่อปฏิบัติหน้าที่อยู่ รู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร ดีหรือชั่ว เป็นคุณหรือโทษ เท่ากับว่าควบคุมตัวเองไว้ได้ตลอดเวลา

ด้วยความสำคัญดังกล่าวมานี้ ท่านจึงจัดสติสัมปชัญญะว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก คือเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนเรา และเป็นธรรมมีอุปการะให้กุศลธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นดำรงมั่นคงอยู่ในจิตได้



.....................................................

คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 31 คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด

บันทึกการเข้า

m-16-150
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 27
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 580



ดูรายละเอียด
« ตอบ #59 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2010, 21:31:50 »

มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง wanwan017
บันทึกการเข้า

นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่...
นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรดับไป...

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 141   ขึ้นบน
พิมพ์