สุดยอดเทคนิค "เลือก Ebook จาก Clickbank มาขายยังไง? ให้ยอดกระฉูดติดเพดาน"

ไปอ่านเจอมาจากบอร์ดเพื่อนบ้านครับ เลยนำมาแชร์ให้กับคนที่ยังไม่เคยอ่านครับ ผมไม่ได้เขียนเอง

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าสินค้าใน Clickbank ส่วนมากจะเป็น Ebook หรือสินค้าประเภทข้อมูลเป็นส่วนมาก ซึ่งสินค้าประเภทข้อมูลนั้นทุกคนสามารถค้นหาได้ Search Engine ต่างๆได้ฟรี นั่นเป็นสาเหตุทำให้ Ebook จาก Clickbank ที่เราเอามาโปรโมทกันนั้นขายยากชนิดที่ว่า 300 คลิก / 1 ออร์เดอร์ หรือบางคนอาจจะ 1,000 คลิกถึงจะมีออร์เดอร์ จนทำให้คนที่เข้ามาในยุทธจักร Clickbank วิ่งหนีกันเป็นแถวเลยทีเดียว

แล้วเราจะหา Ebook มาขายยังไงให้มันมี Conversion ประมาณ 1% - 3%?

คำ ถามด้านบนผมเชื่อทุกคนที่เข้ามาในยุทธจักร Clickbank ทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในหัว ผมมีคำตอบให้ครับ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง 100% แต่ผมก็เชื่อว่ามันอาจจะเป็นแนวทางที่ทำให้คุณสามารถกลายเป็น "สุดยอดจอมยุทธในยุทธจักร Clickbank" ได้ในไม่นานนี้

แต่ก่อนอื่นผมอยากจะให้ทุกคนทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนครับว่า Ebook มันคือสินค้าที่เป็น "ข้อมูล" ซึ่งทุกคนสามารถหามันได้ฟรีจาก Search Engine ต่างๆ แต่ว่ากว่าจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการนั้นมันก็ต้องใช้เวลามาก และบางทีอาจจะไม่ครบด้วยซ้ำไป เพราะฉนั้นการที่ใครซักคนยอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อที่จะซื้อ "ข้อมูล" นั่นก็เพื่อที่จะ "ซื้อเวลาที่ต้องเสียไปในการค้นหาข้อมูล"

เคล็ดลับที่จะทำให้เราขาย Ebook ได้นั่นก็คือ "ลูกค้าถูกขีดเส้นตายด้วยเวลา" ตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น

1. ผู้หญิงที่จะแต่งงานในอีก 1 เดือนข้างหน้า แต่ว่าเธอยังไม่พอใจในรูปร่าง ต้องการลดน้ำหนัก 10 กิโลภายใน 1 เดือน โดยวิธีธรรมชาติและไม่เป็นอันตราย เธอถูกขีดเส้นตายด้วยเวลา 1 เดือน ถ้าอยู่ดีๆคุณไปบอกเธอว่า "ผมมีวิธีที่จะลดน้ำหนักให้หุ่นเฟิร์มด้วยวิธีธรรมชาติและไม่เป็นอันตราย ด้วย" บางทีเธออาจจะเปลี่ยนเจ้าบ่าวมาเป็นคุณก็ได้นะครับ

2. ชายคนนึงกำลังจะถูกยึดบ้านภายใน 1 เดือน ถ้าไม่จ่ายหนี้ให้ธนาคารในอีก 1 เดือนข้างหน้า เขาก็ต้องนอนข้างถนน เขาถูกขีดเส้นตายด้วยเวลา 1 เดือน ถ้าคุณไปบอกเขาว่า "ผมมีวิธีที่จะทำให้บ้านของคุณไม่ถูกยึดโดยไม่ต้องจ่ายหนี้ให้ธนาคารอีกด้วย แต่ว่าคุณต้องยอมเป็นของผมนะ (ชายได้ชาย ย่อมเป็นยอดชาย)" อันนี้ผมอยากให้คุณไปลองดูเองนะครับว่าเขาจะยอมรึเปล่า เพราะผมก็ไม่เคยเหมือนกัน

นอกจากนี้ผมยังได้อ่าน Ebook ของคุณ supersonics และโดนใจมากๆกับวิธีวิเคราะห์สินค้าแบบ Bum Marketing ที่เค้าใช้ประโยชน์ของ "ปัญหาของผู้อื่น" ได้อย่างน่าทึ่งมาก ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า "ปัญหาของผู้อื่น คือโอกาสของเรา ถ้าเราแก้ปัญหาให้เค้าได้ เท่ากับเราได้ทำบุญใหญ่แล้วล่ะ"

1. คนคิดถึงปัญหานี้วันละกี่หน ถ้าเกิน 5 หนต่อวัน ใช่เลย! ยกตัวอย่าง ถ้าจะขายตำราทำกับข้าว คนเราจะคิดถึงตำราทำกับข้าวห้าหนต่อวันหรือเปล่า? คำตอบคือไม่น่าจะใช่ แต่คนที่บ้านกำลังจะโดนยึด เขาจะคิดถึงเรื่องการโดนยึดบ้านเกิน 5 หนต่อวันหรือเปล่า? คำตอบคือ?ใช่แน่นอน! ดังนั้นถ้ามีคู่มือสำหรับการเจรจาประนอมหนี้ไม่ให้บ้านโดนยึด แล้วนำเสนอสินค้าตัวนี้แก่คนที่บ้านกำลังจะถูกยึดน่าจะขายได้ คนซื้อหมามาเลี้ยงใหม่ๆแล้วหมาไล่กัดเฟอร์นิเจอร์กระจุยทั้งบ้านเขาคิดถึง ปัญหานี้เกินห้าหนต่อวันหรือเปล่า? ? แน่นอน! ภรรยาที่สงสัยว่าสามีกำลังจะมีเมียน้อยจะคิดถึงปัญหานี้เกินห้าหนต่อวันหรือ เปล่า? ?ใช่เลย! ถ้ามีสินค้าที่ตรงกับปัญหานี้มันน่าจะขายได้ไหม คนอยากศึกษาเรื่องการสะกดจิตนี่เขาจะคิดถึงเรื่องนี้บ่อยไหม? ถ้าไม่บ่อย คือสี่ห้าวันคิดที คู่มือการสะกดจิตก็ไม่เข้าเกณฑ์และไม่น่าจะขายง่าย

2. ปัญหานี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หรือไม่? ยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสขายได้ กลับมาที่เรื่องเมียหลวงเมียน้อยอีก ถ้าเมียหลวงสงสัยว่าสามีนอกใจ อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงไหม?เปลี่ยน! คนเป็นสิวกำลังมองหาวิธีแก้สิว อารมณ์เปลี่ยนไหม?ไม่เปลี่ยน! คนอยากรู้เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ อารมณ์เปลี่ยนไหม?ไม่เปลี่ยน! คนจะโดนยึดบ้าน อารมณ์เปลี่ยนไหม?เปลี่ยน!

3. ถ้าไม่แก้ปัญหาแต่ละทิ้งปล่อยไว้ ต้นทุนมันจะสูงไหม? ย้อนไปเรื่องบ้านโดนยึด จะเห็นชัดเจนว่าต้นทุนสูงหรือเปล่า ชีวิตครอบครัวล่มสลายต้นทุนสูงหรือเปล่า เป็นสิวต่อไปต้นทุนสูงหรือไม่ นักเล่นหุ้นที่เล่นไม่เก่งถ้าปล่อยให้ตัวเองเจ๊งต่อไปต้นทุนสูงหรือไม่ นักเลงกอล์ฟที่ไม่พัฒนาฝีมือขึ้นอาจจะมีต้นทุนทางสังคมสูงก็ได้ที่ไม่เทียม หน้าเทียมตาเพื่อนฝูง คำว่าต้นทุนไม่ได้หมายถึงตัวเงินอย่างเดียว อาจจะหมายถึงศักดิ์ศรี สถานะทางสังคม ชีวิตครอบครัว

4. จำนวนคนที่มีปัญหานี้มีมากพอหรือไม่? ถึงแม้ว่าจะผ่านการทดสอบสามด่านแรก คือ คิดถึงปัญหานี้วันละหลายหน ปัญหานี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ถ้าปล่อยไว้โดยไม่แก้ต้นทุนจะสูง แต่ปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่จะทำให้นายแทรวิสลงมาจับสินค้าตัวนี้ คือ ฐานลูกค้าต้องกว้างพอ สมมุติคนมีปัญหาเรื่องความจำไม่ค่อยดี มีคู่มือสำหรับพัฒนาความจำ แต่ถ้าฐานลูกค้ามันเล็กเกินไป นายแทรวิสจะไม่เอา แต่ปัญหาที่ฐานกว้าง คนอ้วนมีทุกหย่อมหญ้า คนเลี้ยงหมามีทุกแห่งหน คนกำลังมีปัญหาผ่อนบ้านมีกันทั่วประเทศ อันนี้ถือว่าฐานกว้างพอที่จะลงมาเล่นได้โดยไม่เหนื่อยเปล่า

5. เขาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด? เมื่อตอบโจทย์สี่ข้อแรกได้แล้ว ข้อนี้ก็ต้องตอบให้ได้ด้วยครับ ถึงแม้ว่าทั้งสี่ประเด็นแรกสอบผ่านหมด พอถึงประเด็นสุดท้ายเขาไม่ถือว่าสินค้าของเราเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มันก็จบ ขายไม่ได้เหมือนกันยกตัวอย่าง Tattoo ซึ่งเมื่ออดีตกาลครั้งหนึ่งเคยขายดี แต่ปัจจุบันมันขายยาก เพราะว่ามันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดของเขา เขาสามารถเลือกภาพ tattoo ได้หลายพันแบบ ดาวน์โหลดภาพเหล่านั้นมาลงคอมพิวเตอร์ได้ แต่มันก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาของคนอยากมี tattoo ได้อย่างแท้จริง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องไปปรึกษาร้านที่รับสัก tattoo อีกทีว่าแบบนี้ลายนี้มันเหมาะหรือเปล่า ถ้าช่างสักบอกว่าไม่เหมาะ เขาก็ต้องเปลี่ยนใจ ไปนั่งเลือกแบบในร้านสักกันใหม่อีก สรุปแล้วไอ้ที่ยอมเสียตังค์จ่ายให้ chopper-tattoo หรือ tattoomenow มันไม่คุ้ม มันไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ปล. สุดยอดเทคนิคในตอนนี้ ผมขอยกเครดิตให้กับคุณ supersonics หมดเลยนะครับ ผมแค่เอามารวบรวมแยกเอาไว้อ่านง่ายๆเท่านั้น

หาก ท่านได้รับประโยชน์จากบทความนี้และอยากทำบุญขอเชิญดูรายละเอียดการทำบุญได้ และหากท่านนำบทความนี้ไปลงที่อื่นก็ขอขอบคุณที่นำรายละเอียดการทำบุญไปลง ด้วยนะครับ อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

ขอเชิญทำบุญให้วัดพระบาทน้ำพุง่ายๆ เพียงโทรไปที่ 1900-222-002, 1900-222-020, 1900-222-200 ครั้งละ 9 บาท