เห็นว่าฮาดี หลายคนอาจอยากรู้ (แต่ว่าจริงหรือเท็จ ผมไม่ทราบนะ)
เครดิต KennyHass @ Tirkx (หลายคนชอบเรียกว่าเว็บชาวตุรกี

)
---------------------------------------------
สวัสดี...ท่านผู้ชม...
รายการภาษาไทยวันละฮาวันนี้...เสนอคำว่า...
"เซ็งเป็ด"เซ็งเป็ด เป็นภาษาไทยที่มีมาแต่โบราณกาล ประมาณพุทธศักราช 2549 มีความหมายว่า
"อาการของคนที่เบื่อหรือผิดหวัง แต่ต้องเผชิญกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องพรบ.คอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่กลับได้รับการปฏิเสธว่าไม่สนโว้ย กูไม่อ่านเวป มีไรป่ะ ประชาชนก็รู้สึกผิดหวัง และมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำใจ อย่างงี้แหล่ะ ถึงเรียกว่า เซ็งเป็ด
ที่มาของคำว่าเซ็งเป็ด เกิดขึ้นมาจากเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ย เทพเจ้าแห่งความอุตสาหะ ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ดั่งเทพกลมๆที่เราใช้ห้อยคอให้ร่ำรวย ซึ่งมีผู้กราบไหว้บูชามากมาย จนมีคนตั้งศาลเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยข้างตรอกโรงเจ
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เดิมทีเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยมีภรรยาชื่อไผ่เสี่ยวเมิ่น ซึ่งเจ้าพ่อรักและทนุถนอมมาก แต่ทว่า ไผ่เสี้ยวเมิ่นกลับไปคบชู้สู่ชายกับฮัวซวี่เฉิน เจ้าของฟาร์มเลี้ยงเป็ด เจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยรู้เข้า จึงเดินทางไปยังฟาร์มเลี้ยงเป็ดของฮัวซวี่เฉิน และสาปให้ทั้งสองคนกลายเป็นเป็ด และนำเป็ดที่อยู่ในฟาร์มทั้งหมด รวมทั้งเป็ดสองตัวมาต้มแกงกับซีอิ๊วหวานมากินให้หายแค้น
แต่ด้วยนิสัยของเจ้าพ่อที่เมื่อผูกใจเจ็บใครแล้ว จะเจ็บแค้นไปชั่วกาลนาน ด้วยเหตุนี้ หากใครจะไปบนบานอะไรกับเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ย จะต้องนำเป็ดมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เสมอ และเหตุนี้เอง ในศาลเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยจึงมีแต่เป็ดอยู่เต็มไปหมด ทั้งแบบต้มทั้งตัวและหั่นเป็นชิ้น และของโปรดของเจ้าพ่อ นั่นก็คือ แกงเป็ดต้มซีอิ๊วหวาน
ในละแวกตรอกโรงเจ มีชุมชนสลัมอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งทุกเย็นลูกศิษย์ศาลเจ้าพ่อจะนำเป็ดที่ผ่านพิธีลาเครื่องเซ่นไหว้ ไปมอบให้กับชุมชนสลัมเป็นประจำ ทุกคนในชุมชนนั้นก็ได้รับประทานเป็ดจนอิ่มหนำสำราญทุกวัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจเนอเรชั่นจากรุ่นสู่รุ่น ลูกเด็กเล็กแดงก็เริ่มเอียนกับเป็ดมากขึ้นทุกที เพราะมันไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเป็ดต้ม เป็ดต้ม เป็ดต้ม เป็นต้ม และก็เป็ดต้ม วนเวียนอยู่แบบนี้ทุกมื้อทุกวัน หลังจากนั้นเป็นต้นมา พอรถตู้จากศาลเจ้าไผ่สุ่ยเอี้ยขับมาจอดตรงหน้าชุมชนสลัมเมื่อไหร่ ชาวบ้านก็จะพูดบ่นเสมอว่า
"เป็ดอีกแล้ว เซ็งจังว่ะ" แต่ก็ได้แค่บ่น เพราะถ้าไม่เอาก็หมายความว่าไม่มีอะไรจะกิน จึงต้องกลั้นใจกินเป็ดต่อไป เพื่อให้อิ่มท้องไปหนึ่งมื้อ
แม้ว่าปัจจุบันชุมชนสลัมในตรอกโรงเจ จะได้รับการฟื้นฟูทั้งในด้านความเป็นอยู่และการศึกษา จนมีภูมิปัญญาเหมือนกันคนอื่นๆแล้ว แต่ความทรงจำอันขมขื่นที่ทุกวันต้องกินแต่เป็ดก็ไม่มีวันลบเลือนไปได้ ดั่งผืนผ้าหมองคล้ำค้างปีที่ใช้ไฮเตอร์ขัดออกไม่หมด ทุกครั้งที่ชาวบ้านต้องออกเดินทาง หากเลี่ยงได้ พวกเขาจะพยายามเลี่ยงไม่เดินเฉียดใกล้ศาลเจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยหรือร้านขายเป็ดที่ไหนเป็นอันขาด
เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้แหล่ะ...
พบกันใหม่ในรายการภาษาไทยวันละฮาครั้งหน้า...สำหรับวันนี้...
สวัสดี...ท่านผู้ชม...
(เสริม : แกงที่เจ้าพ่อไผ่สุ่ยเอี้ยได้นำไผ่เสี่ยวเมิ่นกับฮัวซวี่เฉินมาต้มกิน มีชื่อว่า "แกงพิโรธ" แต่คนไทยมีนิสัยประหลาด ถ้าไม่วิบัติแล้วจะไม่เท่ห์ ด้วยเหตุนี้ แกงพิโรธจึงเพี่ยนมาเป็น "แกงพะโล้" ตั้งแต่นั้นมา)