ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปGeneral (ถามคุยวิชาการ IM)พ็อพ อาร์ต.ในจิตวิญญาณRoy Lichtenstein
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: พ็อพ อาร์ต.ในจิตวิญญาณRoy Lichtenstein  (อ่าน 14319 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
deerbonjovi
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 เมษายน 2010, 11:47:31 »

Roy Lichtenstein
พ็อพ อาร์ต เป็นศิลปะที่เฉลิมฉลองวัฒนธรรมพ็อพ (พ็อพพูลาร์ คัลเจอร์) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมระดับมหาชน ที่ถูกจัดว่าเป็นวัฒนธรรมหรือศิลปะระดับล่าง โดยมีศิลปะชั้นสูงเป็นขั้วตรงกันข้าม ศิลปะชั้นสูงที่ว่านี้คือ บรรดางานศิลปะที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นของดีมีคุณภาพ แต่ละชิ้นมีความเป็นต้นแบบต้นฉบับ มีเพียงหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร มีคุณค่าเสียจนสถาบันศิลปะหรือสถาบันระดับรัฐต้องซื้อเก็บสะสมไว้ใน พิพิธภัณฑ์ของประเทศชาติ 
 
Kiss V, 1964. Collection Charles Simonyi, Seattle © Estate of Roy Lichtenstein
ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1940-1950 แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (Abstract Expressionism) กระเสือกกระสนแสวงหาชื่อเสียงและการยอมรับ จนกระทั่งนักวิจารณ์ยกย่อง พิพิธภัณฑ์ซื้องานเพื่อเปิดแสดง แต่ชาวบ้านไม่เข้าใจ ภาพเขียน แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ กลายเป็นศิลปะสมัยใหม่ชั้นสูง เป็นสิ่งที่จำกัดอยู่ในชนชั้นสูงหรือชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี เป็นของจำเพาะสำหรับคนในวงการศิลปะ ตรงกันข้ามกับวัฒนธรรมพ็อพ ที่เป็นวิถีปฏิบัติและรสนิยมแบบตลาดดาษดื่น เป็นวัฒนธรรมแห่งการเสพสินค้าที่ผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม มีจำนวนมากๆ ทุกชิ้นผลิตออกมาเหมือนกัน คนหมู่มากซื้อมาใช้เหมือนกันไปหมด เทียบไม่ได้กับงานฝีมือ งานสร้างสรรค์ชั้นสูง
 
พ็อพ อาร์ต คือแนวศิลปะที่เป็นปฏิกริยาโต้ตอบกับศิลปะลัทธิ แอ็บสแตรค เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ ซึ่งเน้นการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก การแสดงความเป็นส่วนตัว มีแนวงานเป็นของตัวเองและเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ แต่ พ็อพ อาร์ต กลับหยิบยืมเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด เช่น วัสดุสำเร็จรูป มานำเสนออย่างมีชีวิตชีวา งานของ พ็อพ อาร์ต มักจะมีอารมณ์ขัน ขี้เล่นและชอบเสียดสี เย้ยหยันต่อศิลปะและชีวิต เราจะกล่าวถึง Roy Lichtensteinเป็น ศิลปินชาวอเมริกันแนวป๊อปอาร์ตในแบบ Pop Art ที่ง่ายยิ่งกว่าใครๆ เขาได้หยิบเอาการ์ตุน และภาพโฆษณา ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน มาทำเป็นงานศิลปะ โดยเขาได้ใช้เทคนิควิธีการ ที่นำภาพเหล่านั้นมาขยายให้ใหญ่โตขึ้น ตามขนาด และ สัดส่วนที่เป็นจริง โดยใช้สีนำมัน หรือ สีอะครีลิคลงสีให้เป็นบริเวณแบน เรียบ และ มีเส้นวาดที่ชัดเจน หรือไม่ก็ ทำเป็นจุดๆ แต่ความเป็นมาของเขาเป็นอย่างไร อ่านในบทถัดไป

รอย ลิเคนสไตน์  (Roy Lichtenstein)  เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1923ในแมนฮัตตัน  New York City  ในครอบครัวชนชั้นกลาง  เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเอกชน จนเมื่อรอยอายุครบ 12 ปี เขาลง ทะเบียน ที่ โรงเรียนมัธยมชาย Manhattan's Franklin, ซึ่งในช่วงระยะนี้เขาได้มีความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับศิลปะและ การ ออกแบบเป็นงานอดิเรก.  ซึ่งไม่มีอยู่ ในหลักสูตรของโรงเรียน   นอกจากนี้เขายังชื่นชอบและหลงใหลเกี่ยวกับดนตรีแจ๊สมาก  ซึ่งมัก จะ เข้า ร่วมชมการแสดงคอนเสิร์ต ณ  โรงละครอพอลโล ในเขต Harlem.  เขามักจะวาดภาพเหมือนบรรดากลุ่มนักดนตรี ในขณะที่แสดงดนตรี  หลังจากที่จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมชาย Manhattan's Franklin  Lichtenstein เข้า เรียนในภาคเรียนฤดู ร้อนที่ Art Students League of New York  ใน New York  ซึ่งเขาทำงานศิลปะภายใต้การดูแลของ Reginald Marsh

Lichtenstein ได้ย้ายจากNew York เพื่อเข้าศึกษาที่ มหาวิทยาลัย รัฐโอไฮโอ  ในหลักสูตรปริญญาตรี  สาขาวิจิตรศิลป์ ในช่วงเวลานี้ได้เกิดสงครามโลกครังที่ 2 ทำให้ต้องถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารในกองทัพสหรัฐ  ฉะนั้นการศึกษาของเขาต้องถูกพักไประหว่างปี คศ. 1943 จนถึง 1946. Lichtenstein จึงได้กลับไปเพื่อเยี่ยมพ่อของเขา  แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็กลับพบว่าพ่อของเขานั้นได้จากไปแล้ว   หลังจากนั้นจึงได้ ลาออกจากรับราชการทหาร  แล้วกลับไป ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอที่เคยได้พักการเรียนเอาไว้   โดยการกลับมาศึกษาต่อครั้งนี้  อาจารย์ที่ปรึกษาของเขา Hoyt L. Sherman  ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวาง  นั้นมีอิทธิพลสำคัญและนำทางในรูปแบบการทำงานศิลปะของเขา ในระยะเวลาต่อมา  หลังจากที่เรียนจบในระดับปริญญาตรี  Lichtenstein ก็ได้ศึกษาต่อในสาขาและสถาบันเดิมที่และบางเวลาก็ได้ว่าจ้างเป็นครู พิเศษช่วยสอน  ใน 1949 Lichtenstein จบปริญญาโทในสาขาวิจิตรศิลป์จาก มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ และใน ปี เดียวกันเขาได้แต่งงานกับ Isabel Wilson (แต่หย่า ด 1965) ใน 1951 Lichtenstein ได้ เป็นศิลปินคนแรกที่จัดแสดง ที่  Carlebach Gallery ใน New York
ในปีเดียวกันเขาได้ย้ายไปที่ Cleveland เป็นเวลาหกปี  แต่บ่อยครั้งที่มักจะเดินทางกลับยัง New York. เพื่อรับงานที่ถูกว่าจ้าง เป็นคนเขียนแบบร่างในการออกแบบตกแต่งบานหน้าต่าง   ใน ช่วงเวลานี้แนวทางรูปแบบทางผลงานของ Lichtenstein จะออกไปทางแนว Cubism และ แนว Expressionism สลับกันไป ใน ปีค.ศ. 1957   เขาได้ย้ายกลับไปยัง ทางเขตตอนเหนือ ของ รัฐ New York และ กลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในอาชีพครูศิลปะอีกครั้ง  ช่วงเวลานี้ที่งานศิลปะของ Lichtenstein รับเอารูปแบบของศิลปะแนว Abstract และ Expressionism แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในแนวทางของเขา

ยุคที่เริ่มมีชื่อเสียง

 
 

Drowning Girl (1963). ใน การจัดแสดงผลงานที่พิพิธภัณฑ์ Modern Art, New York.
 
 
The Head  (1992), Barcelona
 

Lichtenstein เริ่มต้นงานสอนใน เขตเหนือของรัฐนิวยอร์ค ที่ State University of New York ที่ Oswego ใน 1,958

ใน 1,960 เขาเริ่มต้นเป็นครูสอนที่  Rutgers Universit ที่นี่เองผลงานของAllan kaprowส่งอิทธิพลต่อเขามากจนทำให้เขาเปลี่ยนสไตล์ภาพวาดมาใช้เส้นโครงร่าง ที่คมชัดและจุดสไตล์ Benday Dots ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปรากฏได้ชัดมากในงานชื่อ Look Mickey (1961 National Gallery, Washington D.C.)และในเดียวกันนี้เขาได้สร้างสรรค์ภาพวาดอีก6ชิ้นโดยอาศัยตัวละครที่ หยิบยืมมาจากหนังสือการ์ตูนและกระดาษห่อหมากฝรั่งในปี 1961 Leo Castelli นำภาพวาดของเขาออกแสดงในแกลลอรี่ของเขาเองที่นิวยอร์คเขาเริ่มมีงาน แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี1962ซึ่งผลงานทั้งคอลเล็คชั่นนั้นถูกซื้อเหมาหมดจาก นักสะสมงานศิลป์คนหนึ่งเมื่อเห็นว่าเขาสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากการวาดรูปเขา ถึงหยุดการสอนตั้งแต่นั้นสไตล์งานที่ใช้สีน้ำมันและสีอะคริลิก Magna  พร้อมกับภาพลายเส้นที่คมชัด การเล่นสีสันที่สดใสสะดุดตาพร้อมกับสไตล์การใช้จุดแบบ Benday Dots  ในตัวภาพเหมือนกับภาพที่ถ่ายขึ้นมาสิ่งเหล่านี้ปรากฏชัดมากในผลงานที่มี ชื่อของเขาอีกชิ้นอย่าง Drowning Girl (1963สมบัติของMuseum of Modern Art, New York) ผลงานภาพวาดในช่วงนี้มักสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่วงการสื่อพยายามแสดงออกมาผล งานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งงเขาคือ Whaam! (1963, Tate Modern, London ) คือหนึ่งของตัวอย่างงานป๊อบอาร์ตยุคแรกเริ่มของอเมริกามันเป็นภาพของ เครื่องบินรบลำหนึ่งที่กำลังยิงจรวดใส่เครื่องของฝ่ายศัตรูพร้อมกับภาพ ระเบิดสีเหลืองแดงสดใสเน้นย้ำสไตล์ของการ์ตูนด้วยการใช้ตัวหนังสือ WHAM แทนเสียงระเบิดถึงแม้ผลงานของเขาส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกับภาพวาดการ์ตูนของ ศิลปินอื่นๆ อาทิเช่น Russ Heath, Tony Abruzzo, Irv Novick แต่มันก็แค่คล้ายไม่ใช่เป็นการคัดลอกมาถึงกระนั้นยังมิวายมีเสียงตำหนิถึงผล งานของเขาจากเพื่อนศิลปินอย่าง Dave ว่าเขาลอกเลียนแบบผลงานภาพวาดของศิลปิน
ในขณะนี้ Roy Lichtenstein เริ่มมีชื่อเสียงไม่ เพียงแค่ในสหรัฐอเมริกา  แต่ ทั่ว โลก. เขา ย้าย กลับ ไป นิวยอร์ค เพื่อ เป็น ศูนย์กลาง ของ ฉาก ศิลปะ และ ลา ออก จาก Rutgers University    Lichtenstein  ได้กล่าวถึงผลงานของเขานั้นมีทั้ง   Abstract และ Expressionists "นำสิ่งเหลานี้ลง ใน ภาพ และ ตอบ สิ่ง ที่ พวก เขา ทำ เพื่อ ตำแหน่ง สี และ ขนาด. สไตล์ ของ ฉัน ดู สมบูรณ์ แตก ต่าง กัน แต่ ลักษณะ การ วาง ลง เส้น สวย มาก ยัง เหมือน เดิม ; ฉัน เพียง ไม่ ออก มา หา calligraphic เช่น Pollock หรือ Kline's.

แทนที่จะ พยายาม กว่า ทำ เรื่อง ของ เขา ทำงาน ของ เขา tackled สื่อมวลชน ทาง portrays พวก เขา. Lichtenstein จะ ไม่ ใช้ ตัว เอง มาก เกินไป แต่ อย่าง จริงจัง: "ฉัน คิด ว่า งาน ของ ฉัน จะ แตก ต่าง จาก แถบ ขบขัน-แต่ ฉัน จะ ไม่ เรียก การ เปลี่ยนแปลง มัน ฉัน ไม่ คิด ว่า สิ่ง ที่ มี ขึ้น โดย มี ความ สำคัญ ต่อ ศิลปะเมื่องาน ของ เขา ได้ เปิด ตัว แรก นัก วิจารณ์ ศิลปะ หลาย เวลา ที่ ท้าทาย ความ คิด ริเริ่ม ของ. บ่อย กว่า ไม่ ทำให้ พวก เขา พยายาม ที่ จะ เป็น บวก. Lichtenstein ตอบ การ เรียก ร้อง ดัง กล่าว โดย ตอบ เสนอ เช่น ต่อ ไป นี้: "ใกล้ งาน ของ ฉัน คือ เดิม เนื้อหา. เพิ่มเติม คุกคาม และ ที่ สำคัญ แต่ การ ทำงาน ของ ฉัน เปลี่ยน ทั้งหมด ใน ที่ วัตถุประสงค์ และ ความ เข้าใจ ของ ฉัน จะ แตก ต่าง กัน อย่าง สิ้นเชิง. ฉัน คิด ว่าภาพ เขียน ของ ฉัน เปลี่ยน ฉกรรจ์ แต่ ก็ ยาก จะ พิสูจน์ ได้ โดย สาย เหตุผล ใด อาร์กิวเมนต์
 

Whaam! (1963). สีMagna หรือสี อะคริลิค บน ผ้าใบ. Tate Modern, London.
 
Original comic book panel from All-American Men of War #89, 1962 (DC Comics)

ในปี คศ. 1965ผลงานของเขารู้จักดีในการหยิบยืมต้นฉบับที่เป็นการ์ตูนมาซึ่งถูกวาดโดยนักวาดการ์ตูน เช่น Jack Kirby และ DC Comic ศิลปิน Russ Helt, Tony Abruzzo, Irv Novick และ Jerry Grandenetti ประยุก์มาเป็นผลงาน โดยใส่การล้อเลียน หยอกล้อต้นฉบับที่ บางครั้งมีการเปลี่ยนโทนสีและปรับเปลี่ยนลักษณะองค์ประกอบให้แตกต่างออกไป
ในปี ค.ศ. 1967 จัดแสดง ชุดผลงานเก่าๆของเขาโดยจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Pasadena ใน California. นอกจากนี้ในปีเดียวกัน Lichtenstien ได้มีโอกาสจัดการแสดงผลงานเดี่ยวเป็นครั้งแรกในทวีปยุโรป โดยจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ ใน อัมสเตอร์ดัม, ลอนดอน, เบอร์น และ แฮนโนเวอร์  ต่อมาเขาได้แต่งงานกับ ภรรยาคนที่สอง คือ  Dorothy Herzka ในปี คศ. 1,968

ในในช่วง คศ.1970 ถึง 1980 งาน ของ เขา เริ่มคลี่คลายจากรูปแบบศิลปะที่เขาเคยทำมาและพัฒนารูปแบบศิลปะของเขาสู่ความก้าวหน้าและยังไม่เคยทำ.  เขาได้สร้างสรรค์ผลงาน ชุด Artist's Studio, Look Mickey (1973, Walker Art Center, Minneapolis)   

ใน ปลาย คศ.1970 ผลงานRoy เริ่มก้วเข้ามาสู่รูปแบบความเป็นศิลปะ surrealism  เช่น Pow Wow (1979, Ludwig Forum für Internationale Kunst, Aachen)
ใน 1,977 เขา ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทรถยนต์  BMW ให้เพ้นท์สีบนรถแข่ง BMWรุ่น  320i สำหรับจัดแสดงในโครงการ BMW Art Car Project.

 
นอกจากผลงานของเขาจะเป็นงานประเภทจิตรกรรมแล้ว Lichtenstien  ยังทำประติมากรรมที่ทำจากโลหะและพลาสติก รวม ถึง บาง ประติมากรรม สาธารณะ ชื่อเสียง เช่น โคม ใน เซนต์ แมรี่ของ จอร์เจียในปี 1978 และ  มากกว่า 300 งานพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานภาพพิมพ์ซิลค์สกรีน 

 
 

ในปี  1989 Torpedo...Los !, ถูกประมูลขาย โดยบริษัทคริสตีในราคา   5.5 ล้านเหรียญสหัฐ  ทำให้ Roy Lichtenstien เป็น1ใน3ศิลปินที่มีผลงานในราคาแพงที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่
ใน ปี 1996 National Gallery of Art ใน วอชิงตัน ดี ซี เป็น พื้นที่ เก็บ ข้อมูล เดียว ที่ ใหญ่ ที่สุด ใน งาน ของ ศิลปิน เมื่อครั้งที่คเขาเคยบริจาค ผลงานศิลปะที่เป็นภาพพิมพ์ 154 งานพิมพ์ หนังสือ 2เล่ม. รวม ไปถึงการจัดแสดงผลงาน 4,500 โดยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป 

เขาเสียชีวิตด้วยโรค ปอดบวม ใน วันที่ 29 กันยายน 1997 ที่ศูนย์การแพทย์. New York University

สรุป

เป็นศิลปินในแบบ Pop Art ที่ง่ายยิ่งกว่าใครๆ เขาได้หยิบเอาการ์ตุน และภาพโฆษณา ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน มาทำเป็นงานศิลปะ โดยเขาได้ใช้เทคนิควิธีการที่นำภาพเหล่านั้นมาขยายให้ใหญ่โตขึ้น ตามขนาด และ สัดส่วนที่เป็นจริง โดยใช้สีน้ำมัน หรือ สีอะครีลิคลงสีให้เป็นบริเวณแบน เรียบ และ มีเส้นวาดที่ชัดเจน หรือไม่ก็ ทำเป็นจุดๆ เราจะเห็นงานลักษณะนี้ ได้จากภาพ Artist's Studio with Model ซึ่งเป็นภาพขนาดใหญ่มาก จากเด็กน้อยที่หลงใหลในการแสดงดนตรีแจ๊ส ต่อมาเป็นศิลปินแนว Pop Art ที่มีพื้นฐานจากการ์ตูน และศิลปะเชิงพานิชย์โดยประยุกตาเป็นรูปแบบของตน ในบางครั้งหยิบยก หรือ้อเลียนศิลปะชั้นครูเช่น ปิกาสโซ อองรี มาติสส์ ใส่เข้ามาในผลงาน ซึ่งแสดงถึงลักษณะนิสัยของศิลปินที่มีลักษณะขี้เล่น อารมณ์ดี  โดยใช้โทนสีที่ดูสดใสเรียบแบน โดยสะท้อนถึงอิทธิพลทางศิลปะที่มทั้ง Cubism, Abstract, Expressionism ซึ่งต่อมาผลงานระยะหลังจะออกไปทาง Cubism และ Surrealism แต่กระนั้นเอกลักษณ์ที่เป็นการ์ตูนสีสันสดใสของเขาก็ยังไม่ได้ละทิ้งไป


อ้างอิง
http://www.telegraph.co.uk/cul...-darling-of-the-art-world.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Roy_Lichtenstein
http://www.artofcolour.com/popart3.html
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์