3 ชั่วโมง
มาแล้วครับเพื่อนๆ สรุปให้กับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ไปสัมมนาครั้งนี้
ตกหล่นยังไง ก็ขออภัยนะครับ ใครจะเสริม จะแก้ไขอะไร ก็เชิญตามสบายเลยครับ ใครถ่ายรูปไว้บ้าง ก็โพสต์ให้ดูกันบ้างก็ดีนะครับ
ผมขอสรุปย่อๆ แบบนี้นะครับช่วงที่ 1
วิทยากร:คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ ทีมงานรุ่นบุกเบิกผู้วางระบบให้ Pantip.comWeb 1.0 ยุคแรก คือการพยายามทำสิ่งรอบๆ ตัว เท่าที่จะทำได้ แปลงให้กลายเป็น digital เช่น นิตยสาร จดหมาย บริการธนาคาร ฯลฯ โดยแนวคิดยังคล้ายๆ กับโลก offline เช่น สื่อโฆษณาในเว็บไซต์ ก็จะมีการแบ่งเนื้อที่ขาย วิธีการขาย คล้ายๆ ในหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือเว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลโดยไม่ได้มีการสื่อสารสองทางกับผู้ใช้
Web 2.0 พัฒนาต่อยอดโดยเพิ่มแนวคิด “ทำให้ชีวิตผู้คนง่ายขึ้น” สะดวกขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การค้นคว้าข้อมูลทำรายงาน ถ้าเป็นสมัย 10 กว่าปีก่อน ก็ต้องเข้าห้องสมุด หาข้อมูล ต้องนั่งรถ เดินทาง อาจใช้เวลาเป็นวัน แต่ปัจจุบัน การค้นหาข้อมูลทำได้ง่าย เช่น ใช้ Google Search ก็จะหาข้อมูลด้วยระยะเวลาน้อยมาก ไม่มีค่าเดินทาง สะดวกสบายขึ้น ชีวิตง่ายขึ้น นี่คือสิ่งที่ web 2.0 ทำให้เกิดขึ้นได้
ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือทำธุรกิจ มันจะมี Transaction Cost เกิดขึ้น
จากตัวอย่างข้างบน การเดินทางไปหาข้อมูลทำรายงาน ค่ารถ ก็คือ Transaction Cost อย่างนึงนั่นเอง
ดังนั้น Transaction Cost มาก ชีวิตก็วุ่นๆ แต่ถ้า Transaction Cost น้อยลง ชีวิตก็ “ง่ายขึ้น”
แนวคิดของสินค้าและบริการที่เกิดขึ้น ก็คือ ทำยังไงให้ผู้คนใช้ชีวิตง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เช่นตัวอย่างโลก offline- ห้างโลตัส ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้นกว่าเดิม แทนที่คนจะต้องไปฟาร์มไก่เพื่อซื้อเนื้อไก่ ไปฟาร์มหมูซื้อหมู คงไม่สนุกแน่นอน และเกิด Transaction Cost ขึ้นมาก แม้ไปซื้อหน้าฟาร์มราคาถูก แต่เมื่อคิดค่าเดินทางไปโน่นมานี่แล้ว ไม่คุ้มครับ นี่เองคือสิ่งที่ห้างโลตัส เข้ามาเป็นตัวกลาง แม้จะขายราคาแพงกว่าหน้าฟาร์ม แต่ผู้คนยินดีซื้อ เพราะเข้าห้างเดียว จะซื้ออะไรก็ซื้อได้เกือบทุกอย่าง
ตัวอย่างโลกออนไลน์- แทนที่ web publisher กับ advertiser จะต้อง deal กันเอง case by case กว่าจะหาจุดร่วมที่พอดีกัน คงใช้เวลามาก แต่เมื่อมี Google AdWords และ Google AdSense ต่างก็ทำให้ชีวิตของ publisher กับ advertiser ง่ายขึ้น ต่างฝ่ายต่างติดต่อผ่าน Google ทางเดียว จบ!
สรุป ใครลด Transaction Cost ได้มาก และสามารถทำให้ชีวิตผู้ใช้ “ง่ายขึ้น” ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
4 Ways for your online business1.Disintermediaring คือ ตัดตัวกลางออก แต่ก็สามารถทำ Transaction Cost ได้ต่ำกว่า เช่น DELL ทำการประกอบคอมพิวเตอร์ตามสั่งของลูกค้า และส่งตรงถึงลูกค้าได้ภายใน 3 วัน สามารถเอาชนะ Model ของ Compaq ที่ทำการตลาดผ่าน Best Buy โดยใช้เวลาส่งของถึงมือลูกค้า 45 วัน
2.Be Intermediaring คือ มาเป็นตัวกลางเอง เช่น ห้างโลตัส, Google AdWords, Google AdSense
3.Reduce Transaction Cost to compete with existing Intermediaring คือเป็นตัวกลางเหมือนกัน แต่ทำการแข่งขันกับตัวกลางที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพื่อลด Transaction Cost ให้น้อยกว่า
4. Be Intermediaring of Intermediaring คือเป็นตัวกลางของตัวกลางอีกที เช่น ผู้ให้บริการทำโฆษณา Google AdWords หรือ ผู้ให้บริการบริหารการประมูลของใน ebay ตามตัวอย่าง (จากความเข้าใจผมเอง)
บริษัททั่วไป – [ผู้ให้บริการทำโฆษณา Google AdWords] - Google AdWords – ผู้ชมเว็บไซต์
กรณีนี้ ผู้ให้บริการทำโฆษณา Google AdWords และ Google AdWords ต่างก็เป็น Intermediaring
มี case ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ ทำไม Google ซื้อ Double Click ในราคา $3.1 Billion ขณะที่ปีที่แล้วก็ซื้อ youtube ไปแล้ว $1.76 Billion
-Google Profit 2006 = $3 Billion
-Double Click Profit/year = Max.$300 Million
ทำไม Google ใช้เงินกำไรทั้งปี 2006 ซื้อ Double Click ทั้งๆ ที่มูลค่ากำไรต่อปีของ Double Click นั้นน้อยกว่าเงินที่ลงทุนซื้อมาก อาจเพราะ Double Click มี Performic อยู่ก็ได้ (คล้ายๆ CJ)
และ Google อาจจะพัฒนาต่อยอด จาก Perfomic ทำการรวมตัวกลายเป็น Affiliate provider ซะเอง และอาจจะชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาจาก Affiliate Provider รายอื่นๆ ได้ในที่สุด
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยากรท่านนี้
ดูเพิ่มได้ที่
http://blog.macroart.net http://www.thaiebaybilble.com http://www.gchoice.com *******************************************************************
ช่วงที่ 2
วิทยากร: คุณปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บัณฑิตเซ็นเตอร์ จำกัด และ ผู้บริหาร Kapook.comคุณปรเมศวร์ขึ้นรูปให้ดูระหว่างรถ 2 คันครับ
คันซ้ายเป็นรถแลนด์โรวอร์(มั้ง) คันใหญ่ คันขวาเป็น toyota vios คันเล็ก
ถ้าเทียบแล้วก็คือ รถแลนด์โรวอร์คือ web 1.0 และ toyota vios เป็น web 2.0
Web 2.0 คือมีความเฉพาะเจาะจง และตรงกลุ่มเป้าหมายกว่า web 1.0 และมีขนาดกะทัดรัด คล่องตัว
และก็ได้นำรูปถ่ายจากงาน Web2.0 Expo มาให้ดูกันครับ
ตัวอย่างที่นำมาคุยกันคือ Flickr.com ไม่น่าเชื่อว่ามีพนักงานเพียง 8 คน และเป็นเว็บที่มีจุดขายคือเรื่อง photo sharing เพียงอย่างเดียว ก็แจ้งเกิดในวงการได้อย่างสบายๆ
และก็มีภาพนี้ครับ
คือแสดงให้เห็นถึงการเป็นทั้งผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้ร่วมสร้าง content ให้เกิดขึ้นด้วย จากนั้นก็ viral marketing ต่อๆ กันไปด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ youtube(0.16%), Flickr(0.2%), Wikipedia(4.59%) ตัวเลขในวงเล็บคือจำนวนผู้ใช้ที่ทำการ upload content เทียบกับจำนวนผู้เยี่ยมชม
จะเห็นว่าแม้จะเปอร์เซ็นต์การร่วมสร้าง content นี้ จะน้อย แต่ก็ยังสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโลกอินเตอร์เน็ตได้
Trend ของ web 2.0 ก็คือลักษณะข้างต้น คือผู้ใช้ ก็เป็นผู้ร่วมสร้าง content ไปด้วย เช่น Blog, Video Sharing, Photo Sharing, Social Media รวมถึงการนำโอเพ่นซอร์สที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น Google Map โดยยกตัวอย่างเช่น การที่ “กระปุกเจี๊ยวจ๊าว”
http://jeawjaw.kapook.com/ นำมาเสริมความน่าสนใจของ content นั่นคือ การใช้สิ่งที่ดี ที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ นำมา Apply การใช้งานให้เหมาะกับ content เว็บของเราเอง
สุดท้าย ได้หยิบยกคำพูดของ Eric Schmidt – CEO ของ Google ในงาน web 2.0 Expo
Eric Schmidt ‘Advertisers want a single source where computers can allocate media buying for them across all media.’ Paraphrased from Google CEO Eric Schmidt in his Web 2.0 Expo keynote interview with John Battelle, 4/17/07
อีริค ชมิดท์ ผู้เป็น CEO ของ Google กล่าวในการสัมภาษณ์โดย John Battelle ในงาน Web 2.0 Expo เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2550 ใจความสำคัญว่า “เหล่าผู้โฆษณาต้องการแหล่งๆเดียว ที่ที่คอมพิวเตอร์สามารถกำหนดการซื้อสื่อเพื่อผ่านไปยังสื่อต่างๆทั้งหมด ให้กับพวกเขาได้”
คือ คุณปรเมศวร์ ก็วิเคราะห์ต่อว่า อีกหน่อยสื่อต่างๆ ทั้งหมด ทั้ง TV, Newspaper, etc นั้น อาจจะทำได้ง่ายๆ เพียง advertiser ติดต่อผ่าน Google เท่านั้น
เรื่องนี้สอดคล้องกับที่คุณอภิศิลป์พูดไว้ตอนต้น Google กำลังทำให้ชีวิตของ Advertisers และของคนต่างๆ ง่ายขึ้นนั่นเอง
สุดท้าย คุณปรเมศวร์ แนะนำโครงการดีดี จาก สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย นั่นคือ “คลังปัญญาไทย”
http://www.panyathai.or.th/ “การร่วมพัฒนาฐานความรู้ซึ่งเยาวชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้สามารถบริจาคความรู้ของตนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชาวไทย ถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนม์มายุครบ 80 พรรษา”
ขอให้ทุกคนเข้าไปช่วยๆ กันครับ
*******************************************************************
ช่วงที่ 3
วิทยากร: คุณตราวุธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้แต่งหนังสือ Google Make me richได้บรรยายถึงโมเดลการทำ Affiliate Marketing ขั้นพื้นฐาน ซึ่งแนะนำผู้ฟังว่า เป็นธุรกิจ ทีเริ่มได้ง่าย ไม่ต้องดูแลเรื่องสินค้า ไม่ต้องมีภาคบริการลูกค้า เพียงแต่สมัครขอ Link ID จาก Affiliate Provider เช่น CJ, ClickBank etc แล้วนำไปโปรโมทด้วยวิธีต่างๆ เช่น PPC Advertising, MSN-Name, E-mail Signature, offline Media, etc แล้วถ้ามี Action เกิดขึ้น ตามที่ เจ้าของสินค้าหรือบริการกำหนด เราก็จะได้ค่าคอมมิสชั่น
การสร้างแบรนด์ eBay ในยุคเริ่มต้น ก็เน้น Affiliate เพื่อให้คนมารู้จัก มาใช้ eBay มากขึ้น
Amazon ก็มีระบบ Affiliate และยังมีระบบ aStore ที่จะทำให้ Affiliate Marketer ชีวิตง่ายขึ้น คือสร้าง Landing Page ที่มีรูปและรายละเอียดของสินค้าได้เพียงไม่กี่คลิก ก็นำไปโปรโมทขายสินค้าได้เลย
Affiliate แทรกซึมอยู่ทุกๆ ที่ จนบางครั้ง คนเราก็ไม่รู้ตัวว่า Action นั้นๆ ผ่าน Affiliate Link ของใครบางคนอยู่ก็ได้ (นั่นคือ Silent Sale)
คำคม: โอกาสมีอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่ามองเห็นโอกาสนั้นไหม และทำโอกาสนั้นให้กลายเป็นเงินได้อย่างไร!******************************************************************
ช่วงที่ 4
วิทยากร: คุณธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ (โซวบักท้ง) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ThaiSEOBoard.comคุณโซวได้อธิบายคร่าวๆ ถึง E-Business ว่าได้ถูกนำมาใช้อย่างไร เช่น
-Supply Chain Management
-Procurement
-**Outsourcing เช่น จ้างมืออาชีพจากประเทศต่างๆ ได้โดยผ่าน E-Business ช่วยลดต้นทุน เวลา ได้
-CRM (Customer Relation Management)
-E-commerce
-**Advertising สื่อโฆษณาออนไลน์ ที่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสิ่งหนึ่งใน E-Business
-Promotioning (การส่งเสริมการขาย)
และ เทคโนโลยีสมัยนี้ ทำให้วิถี แนวคิด ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยแนะนำให้อ่านหนังสือ The World is Flat กันครับ
ย้อนกลับมาเรื่องที่คุณโซวพูดครับ...
มีเว็บไปทำไม มีเว็บแล้วต้องให้เว็บนั้นสร้างเงินรายได้ให้กับเราด้วย
ด้วยไดอะแกรมง่ายๆ 3 ตัวนี้เอง
Traffic ------> Website ------> Moneyจะ web1.0 หรือ 2.0 คุณโซว
ไม่สนใจครับ เพราะยังไง มันก็ไม่หนีจากรูปแบบข้างบนแน่นอน
-เว็บไซต์คือการสื่อสาร 2 ทาง ดังนั้น จงใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่
-จะให้ User ทำอะไรบนเว็บเรา เช่น จะให้ซื้อของ จะให้คลิกแอด สมัครสมาชิก ฯลฯ เลือกเอาสักอย่าง อย่าทำให้ user สับสน เพราะสุดท้ายแล้ว user อาจจะออกจากเว็บไป โดยไม่ทำอะไรเลย
-เราจึงต้องใช้องค์ประกอบ Web Design + Programming + Copy (Content) 3 อย่างนี้ในการชักนำให้ User เกิดการกระทำตามที่เราต้องการ
หนทางในการ Convert Traffic to Money -ขายของ
-ขายงานบริการ
-ขายข้อมูล (เช่น แทนที่จะขายงานบริการทำ SEO แต่เปลี่ยนมาเขียน E-book เกี่ยวกับการทำ SEO ขายแทน)
และเมื่อเรามีเว็บไซต์ ก็ต้องมีการนำเว็บไซต์ไป Promote ด้วยวิธีต่างๆ ทั้ง SEO, PPC Advertising, Viral Marketing, E-mail Group(not spam), Affiliate, etc.
แต่หลักๆ ก็คือ SEO แต่อย่าไปยึดแค่ทางเดียว เช่น SEO; หาก Algorithm ของ Search Engine เปลี่ยน ก็จะมีผลกระทบได้ ถ้ามีทางอื่นรองรับไว้ ก็ยังสามารถประคับประคองกันไปได้)
คุณโซว ก็แนะนำคร่าวๆ ว่า จะสมัคร AdSense ได้อย่างไร ที่ไหน AdSense ทำงานอย่างไร
และก็พูดถึงแนวคิด
-ทำ 1 เว็บคุณภาพ ได้ $100/วัน
-หรือ ทำ 100 เว็บห่วย ได้เว็บละ $1/วัน
ข้อดีข้อเสียแต่ละอย่างเป็นอย่างไร ทั้งในเรื่องความเร็วในการสร้างเว็บ การดูแล การติดอันดับใน SEO และการทำเงิน ฯลฯ (จำไม่ได้
)
เมื่อทั้ง 2 แบบ มีทั้งข้อดีข้อเสีย
คุณโซวจึงสรุปว่า ก็ทำมันทั้ง 2 อย่างนั่นแหละ !! หมุนเงินลงทุนให้ถูก แบ่งพอร์ตให้ถูกช่วงเวลา ช่วงไหน เว็บแบบไหนรุ่ง ก็ทำแบบนั้น
สุดท้าย คุณโซว ได้ฝากคติข้อคิดไว้ว่า
“ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณทำได้ หรือคุณทำไม่ได้....
..คุณคิดถูกเสมอ” ******************************************************************
หลังจบงานสัมมนา มีการโหวตเนื้อหาการสัมมนาคราวหน้า สรุปเป็นเรื่อง Social Network & WikiThai ครับ
14 ก.ค.50 (รอข่าว Confirm อีกทีนะครับ) ที่เดิม ฟรีเหมือนเดิม หลังงานสัมมนา จับสลาก แจกทั้งของรางวัล และก็สิทธิการเข้าร่วมงานสัมมนาด้วยครับ
หลังจากสัมมนา ก็มีการแยกถ่ายรูปหมูไทยเสียวบอร์ดกัน ขอบอกว่ากลุ่มใหญ่มั่กๆ และก็ไปทานข้าว และก็แลกเปลี่ยน พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่นั่งๆ อยู่ข้างๆ กัน อย่างสนุกสนาน เป็นกันเองดีครับ โต๊ะยาววววมาก
แต่ถ้าเงียบๆ ก็ฟังคุณโซวพูดได้ถนัด คุณโซว ก็ขอให้แต่ละคนแนะนำตัว แล้วก็.....อาหารก็มาถึง
อิ่มกันถ้วนหน้า...
สไลด์และไฟล์งานสัมมนา รอดูใน Blog ของ ThaiVenture นะครับ
http://thaiventureblog.blogspot.com/