ช่วยวิจารณ์งานเขียนของผมด้วยครับ (ความฝันของผมครับ)
ผมต้องการเป็นนักเขียนที่มีคุณภาพ แต่ผมไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเราเจ๋งแล้ว งานเราดีแล้วได้เลย
ถ้าไม่มีคนที่กล้าเปิดใจ วิจารณ์งานเขียน ติเพื่อก่อให้กับผม
เพื่อนๆในไทยเสียว เป็นเพื่อนที่มีความรู้ความสามารถและรสนิยมหลากหลาย
ผมเชื่อว่าผมจะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อีกแน่ๆถ้ามีเพื่อนๆคอยช่วยเหลือเกื้อกูลผม
ผมไม่รู้จักท่าน ท่านไม่รู้จักผม
แต่ตอนนี้ถ้าท่านเปิดใจงานเขียนของผม เท่ากับเรารู้จักกันเเล้ว
ขอความกรุณาด้วยครับ
เขาว่ากันว่าสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตมนุษย์ก็คือ "การเริ่มต้น" ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีคนหลายคนเห็นด้วย และทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำพูดใดที่จะสร้างหรือหักล้างคำพูดนี้ได้ลง ความเห็นทั้งหมดจึงพร้อมใจกันลงเอยที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ การเริ่มต้นมันยากที่สุดเสมอ คำถามคือจริงหรือเปล่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า เราลองมาไล่เรื่องราวเป็นฉากๆดีไหมครับ แบบว่ามาพิสูจน์กันตามหลักการและเหตุผลที่พอจะยอมรับได้กันซักทีดีไหม
เริ่มตั้งแต่สมัยตอนที่เรายังเป็นอสุจิ เราจะต้องแข่งกับพี่น้องของเรานับล้านๆตัว กว่าเราจะไปถึงรังไข่และคว้าชัยชนะจนได้รับรางวัลด้วยการเกิดใหม่ก็ลำบากตรากตรำแสนเข็ญ (ยังจำบรรยากาศในตอนนั้นได้ไหมครับ หลายๆคนลืมไปเเล้วว่ามันเหนื่อยหนาสาหัสแค่ไหน) เมื่อเราหันหลังกลับไปมองจากจุดเริ่มต้นแรกของการกำเนิดชีวิตเรา เราก็เห็นพี่น้องเราเสียสละชีพไปเป็นล้านๆชีวิตแล้ว พวกเขาเหล่านั้นเสียสละให้กับผู้ชนะ
ถัดจากนั้นมาอีกซักประมาณ 9 เดือน เราก็ต้องถูกบังคับให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ยากที่สุดอีก คือการหัดร้อง อุแว้ อุแว้เป็นครั้งแรก ความจริงเสียงมันน่าจะเป็นเสียงร้องไห้มากกว่า แต่การเขียน อุแว้ อุแว้ มันอยู่คุ้นตานักอ่านมากกว่า ลองคิดดูสิครับ มันไม่ง่ายเลยนะ ที่เราจะต้องทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาเลย มันเป็นการเดิมพันครั้งแรกที่เราต้องเอาชีวิตเป็นประกัน ถ้าเราทำได้เราก็รอด ถ้าเราทำไม่ได้การเริ่มต้นนั้นก็จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของเรา แต่ใครๆจะคาดคิดเล่าครับ ว่าเด็กน้อยที่พึ่งออกจากท้องแม่มาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถส่งเสียงอันส่งพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยปาฏิหารย์ที่สามารถทำให้ใครหลายต่อหลายคนมีความสุขจนน้ำหูน้ำตาไหลได้แล้ว
หลังจากนั้น เราก็ต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครอง บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นปู่ย่าตายาย บางคนเป็นพี่ๆน้องๆญาติๆทั้งหลาย หรือบางคนดูโชคร้ายกว่าคนอื่น คือเขาถูกดูแลจากคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันธ์ใดๆกับเขาเลย แน่นอนว่าตอนนั้นเรายังเป็นแค่เด็กร่างกายเล็กๆ ต่อให้มดมากัดเรา เราก็ไม่มีปัญญาปกป้องอะไรได้ มีแต่ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมให้ถูกกระทำได้อยู่ฝ่ายเดียว แล้วเราจะทำอะไรได้จากการที่เรามีร่างกายเล็กๆนั่นหละ นอกจากจะพยายามทำตัวให้น่ารักและพยายามพูดว่า "กุหิวนม กุหิวข้าว กุจะขี้ กุจะเยี่ยว" บลาๆๆ โดยพูดออกมาเป็นภาษาร้องไห้ ในตอนนั้นเราไม่มีความสามารถอะไรมากกว่านั้นอีกเลย
เวลาเดินผ่านไปอีก แล้วอีกครั้งที่เราก็ต้องพยายามเริ่มต้นทำเรื่องยากๆ เมื่อเรารู้ตัวเองว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องหยุดที่จะเป็นฝ่ายนอนรอให้คนอื่นมาหาเราแต่เพียงฝ่ายเดียว เราเริ่มพยายามหัดคลาน และเป็นการหัดคลานที่ทุลักทุเลด้วย การที่จะเปลี่ยนจากนอนมาตลอดชีวิตมาเป็นการใช้สองแขนกระดึ๊บๆไป คุณว่ามันจะต้องใช้ความพยายามขนาดไหน คุณยังจำวันเวลานั้นได้หรือเปล่า ว่าตอนที่คุณหัดคลานสำเร็จเป็นครั้งแรกมันท้าทายความสามารถคุณอย่างไร ถ้าใครบอกว่ามันไม่ยากเลย มันง่ายมากเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคุณเถอะ ผมนับถือ แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆอย่างผมและใครๆอีกหลายคนแล้ว มันคือการเอาชนะชะตากรรมและวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
เมื่อเราเลิกที่จะเอาแต่นอนอย่างเดียวเป็นการคลานได้สำเร็จ เราหยุดท้าทายตัวเองไหม ถ้าเราหยุดท้าทายตัวเองก็ลองนึกสภาพตัวคุณเองในวันนี้สิครับ คลานไปอาบน้ำ คลานไปเรียน คลานไปทำงานทั้งๆที่มีอวัยวะครบสมบูรณ์ มันคงดูผ่าเหล่าพึลึก ธรรมชาติไม่ได้บอกให้เราพอใจแค่การคลาน เด็กน้อยคิดการณ์ไกลไปกว่านั้น การคลานมันเป็นของกล้วยๆสำหรับเด็กน้อยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญไปเสียแล้ว ความสำเร็จต่อไปที่เด็กน้อยอย่างผม คุณและใครๆอีกหลายคนก็คือการ "เดิน" สำหรับผู้ใหญ่ที่เดินคล่องแล้ว คนพวกนั้นก็อาจจะหัวเราะหรือใจหายเวลาที่เห็นเราพยายามเดินแต่ล้มเหลว แต่เชื่อไหมครับ ผมว่ามันไม่เคยมีใครด่าว่าเราโง่เวลาที่เราหัดเดินแล้วล้ม หรือพยายามวิ่งแล้วกลับหัวขมำแทนที่จะสำเร็จ มีแต่คนเป็นกำลังใจ มีแต่คนเอาใจช่วยให้เราทำมันสำเร็จกันทั้งนั้น
เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีตั้งแต่เราเกิดมา เราเริ่มต้นทำสิ่งมหัศจรรย์หลายต่อหลายเรื่องอย่างที่เราไม่เคยรู้ตัว สิ่งยากๆที่เราไม่เคยคิดว่าจะเราจะทำได้เราก็ทำได้ เช่นการพูด การออกเสียง การอ่านเขียน การร้องเพลงที่เป็นเพลงบ้างไม่เป็นเพลงบ้าง สิ่งง่ายๆที่เราทำได้เราก็ยิ่งทำได้คล่องใหญ่ เราเสพการประสบความสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ในโลกนี้จะมีอะไรที่ยากกว่าการหัดคลานในตอนที่เราคลานไม่เป็น หัดเดินในตอนที่เราเดินไม่เป็น หัดพูดในตอนที่เราพูดไม่เป็น หัดเรียนในตอนที่เราเรียนไม่เป็น แล้วทำไม คำคมที่ว่า "สิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์คือการเริ่มต้น" ยังคงความขลัง และไม่มีใครสามารถนิยายประโยคใหม่ที่มันมาทำลายล้างประโยคนี้ได้เสียที
ทำไมบางคนอยากพูดภาษาต่างประเทศได้ แต่พูดไม่ได้...
ทำไมบางคนอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ทำไม่ได้...
ทำไมบางคนอยากเป็นนักร้อง แต่ทำไม่ได้...
ทำไมบางคนอยากจะเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น แต่ทำไม่ได้...
หรือมันมีบางสิ่งที่หายไปจากชีวิตเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากตอนยังเป็นเด็ก...
หรือเราเคยชินที่จะอยู่ในโซนปลอดภัยของชีวิต มากกว่าที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ...
หรือเรากลัวผลลัพธ์จะทำให้เราผิดหวัง เลยไม่ทำมันเลยดีกว่าจะได้ไม่ผิดหวัง...
หรือเพราะบางทีที่การเริ่มต้นมันไม่ได้ยากที่ตัวมันเอง แต่เพราะมันยากที่จะเริ่มต้น...
ความจริงสาเหตุที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะก่อนหน้าที่จะเขียนบทความนี้ไม่กี่ชั่วโมง ผมได้รับข่าวจากญาติผม ว่าได้มีคนคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว สาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆเลย เขาตายในห้องน้ำในบ้านของเขา ตายจากกิจวัตรประจำวันอย่างง่ายดายเหมือนเอาลมหายใจดับเทียน เราอยู่ในโลกที่พูดกันกรอกหูว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด แต่จะมีซักกี่คน ที่จะสามารถตายได้อย่างที่ไม่ต้องมาเสียใจว่า "ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้...เราทำอย่างนั้นอย่างนี้ตั้งนานแล้ว" หรือต่อให้เราไม่ใกล้ตาย ผมก็เชื่อว่าคำพูดนี้ก็ดังในหัวใครต่อใครเป็นว่าเล่นเช่นกัน
กลับมาที่คำถามที่สำคัญของชีวิตอีกครั้ง สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น คำถามที่ว่านั้นคือ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ...??
ถึงแม้ศักยภาพของคนเราจะไม่เท่าเทียมกัน แต่ผมเชื่อว่าคำพูดดังกล่างข้างต้น มันไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน ชีวิตตั้งแต่เกิดจนมาถึงวันนี้ของทุกๆคนล้วนผ่านชัยชนะมาแบบนับครั้งไม่ถ้วน เราเกิดมาไม่ได้มีข้อจำกัดใดๆให้กับชีวิต ธรรมชาติไม่ได้ออกแบบจิตใจของเราให้ยอมแพ้ได้ง่ายๆหากเราไม่ได้อนุญาตให้ตัวเราเองยอมแพ้ ที่เราเริ่มต้นไม่ได้หรือไม่สำเร็จไม่ว่ามันเป็นเรื่องใดๆ ไม่ใช่เพราะการเริ่มต้นมันยาก แต่เรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ยอมให้ภาพว่าเรามันกระจอก เรามันห่วย มาฉายวนเวียนเป็นหนังที่ไม่รู้จักจบอยู่ในหัวเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่ว่าคุณมีความฝันว่าอยากจะทำอะไรก็ตาม ถามจริงๆเถอะครับ ความต้องการของคุณมันยากกว่าที่สิ่งที่คุณเคยทำสำเร็จอย่างการหัดร้อง หัดคลาน หัดเดิน หัดวิ่ง หัดพูด ตรงไหน มีอะไรยากกว่าการเริ่มต้นที่คุณเคยผ่านมาอีก
อย่าลืมว่าการเริ่มต้นมันจะยากหรือง่าย มันตัดสินกันที่ใจเพรียวๆ ใจถึงก็ชนะ ใจฝ่อก็กลายเป็นหมาขี้แพ้ โลกเรามันก็มีแค่นั้น เด็กทารกไม่เคยมีความกลัวที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราแข็งแรงกว่า เข้มแข็งกว่า แต่ถ้าเราไม่กล้าเริ่มต้นในสิ่งที่เราปรารถนา ไม่กล้าก้าวข้ามไปในโลกที่เราใฝ่ฝัน ไม่กล้าออกจากชีวีตอยู่ในขวดโหลใบเก่าที่เราไม่ต้องการ ก็แสดงว่าเรายังเต็มใจที่จะมองว่าการเริ่มต้นมันเป็นสิ่งที่ยาก และผลลัพธ์ปลายทางทางของชีวิตเราก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นอย่างแน่นอน